ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 143-1 ยอมจำนน
บนเตียงลายปักดิ้นทอง เส้นพู่สีทองบนม่านนั้นสั่นสะเทือนเนื่องจากท่วงท่าของทั้งสอง ในเตาธูปป๋อซันทางด้านหน้าควันธูปลอยฟุ้งกระจาย
ชายหนุ่มมงกุฏทองผมดกดำมัดรวบ จอนผมดั่งมีดตัด เนื่องจากหลายวันมานี้ช่วงกลางวันต้องไปฝึกที่ค่ายทหาร สีผิวที่ปกติแล้วไร้เลือดฝาดนั้นจึงถูกแดดเผาจนคล้ำลงเล็กน้อย ผอมโซลงอยู่บ้าง โครงหน้ายิ่งชัดเจน เพิ่มมาดความแข็งแกร่งขึ้น
“หม่อมฉันมิได้เรียกให้หรุ่ยจือติดตามรับใช้ดูแล แต่องค์ชายสามก็อย่าลืมดูแลตนเอง อย่าให้โรคเก่ากำเริบนะเพคะ” ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่ก็ยังวางใจได้ ประการแรก ในขบวนทหารของเขามีหมอทหารอยู่ มีคนเฝ้าระวังดูแล ประการที่สอง เขาพกงูโอสถเอาไว้ช่วยชีวิตยามฉุกเฉิน ได้คำนวณไว้ก่อนแล้วว่า วันที่เดินทางนั้น เป็นวันที่อาการป่วยของเขาจะไม่กำเริบ อวิ๋นหว่านชิ่นยกมือขึ้น ลูบไล้ไปตามโครงกระดูกของใบหน้าอันประณีตแล้วเลื่อนลง กริยาท่าทีที่ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องทางโลกสามส่วนนั้น ในใจนั้นกลับซ่อนความทะเยอทะยานมุ่งร้ายต่อตำแหน่งผู้ปกครองไพร่ฟ้าบ้านเมืองไว้เจ็ดส่วน
การได้รับประสบการณ์ชีวิตสมรสที่ล้มเหลวในชาติก่อน ชาตินี้ในเมื่อสมรสกับเขาแล้ว นางก็ต้องประคับประคองไว้เป็นอย่างดี ส่วนชายผู้นี้ ไม่ว่าในภายภาคหน้าจะเป็นมังกรหรือจะเป็นคนร่ำรวยสูงศักดิ์ว่างงานชีวิตเรียบง่ายตลอดชีวิต หญิงอื่นก็อย่าได้คิดจะฉกฉวยได้
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นว่านางพูดถึงหรุ่ยจืออีก ขยับปากเล็กน้อย จับมืออันงดงามของนางอย่างหลวมๆ “อาการป่วยนี้อยู่กับข้ามาหลายปี กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายข้าไปแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก” สีหน้าจริงจังไปสักครู่ “ข้าทิ้งราชองครักษ์ของจวนอ๋องไว้สองสามคน สั่งเสียพ่อบ้านเกาไว้แล้ว หากฮองเฮาเรียกเจ้าเข้าวัง นอกจากพวกชูซย่าเจินจูแล้ว ก็จำเป็นต้องพาราชองครักษ์เข้าไปด้วย” สิ่งที่เขาไม่ได้บอกนางคือ ราชองครักษ์เหล่านั้นเป็นหน่วยกล้าตายของจวนอ๋อง เป็นกลุ่มคนที่จะปกป้องนายอย่างไม่คิดชีวิต
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าฮองเฮาอาจจะไม่หาเรื่องให้นางลำบากใจ แต่ตนเคยประสบพบเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง ก็จะไม่ให้ความเสี่ยงอันตรายแม้เพียงเล็กน้อยนี้มีโอกาสตกถึงตัวของคนข้างกายเป็นอันขาด
“อืม” นางขานรับ เปรียบดั่งผีเสื้อกระพือปีก พุ่งกระโจนเข้าใส่ทรวงอกของเขา
เขาพลิกตัวกระทันหัน แขวนตัวกลางอากาศบนตัวของนาง
“ท่านทำอะไร…” อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องเขาตาเขม็ง เสร็จกิจจริงจัง มาถึงกิจที่ไม่จริงจังแล้วหรือ
เขาใช้แขนอันเรียวยาวข้างหนึ่งดันขอบเตียงสองข้าง มืออีกข้างหนึ่งยกคางอันแหลมเรียวดั่งหน่อไม้อ่อนของหญิงสาวที่อยู่ใต้กายขึ้น คิ้วตาดั่งบ่อน้ำลึก ให้ความรู้สึกไม่สามารถมองได้ทะลุปรุโปร่งอันติดตัวมาแต่กำเนิด ทันใดนั้นดั่งสายลมพัดผ่าน พัดพาจนเกิดแรงกระเพื่อมเล็กน้อย สายตาดั่งสายน้ำ มองดูหญิงสาวใต้กายอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เพิ่งจะอภิเษกสมรสได้ไม่นานก็ต้องจากเมืองหลวงไป ก่อนออกเดินทาง เขาอยากจะดูทุกส่วนของนางให้ละเอียดถี่ถ้วนทุกซอกทุกมุม
หลายวันมานี้ต้องวิ่งเต้นบากบั่นอยู่ข้างนอก ตอนที่ยุ่งมากก็ยังพอจดจ่อได้ แต่เมื่อว่างลง ในหัวก็เต็มไปด้วยความทุกข์และรอยยิ้มของนาง
ในบางครั้งกลางดึกอันเงียบสงัดถึงจะเสร็จกิจกลับจวน กลับเข้าห้องนอน เห็นในมือนางกำมุมเล่มตำราแพทย์ไว้เล่มหนึ่ง ใส่เสื้อผ้าอยู่แล้วพิงเตียงนอนหลับไป เขาอุ้มนางขึ้นเตียงอย่างระมัดระวัง มองสังเกตแก้มอันงดงามบริสุทธิ์และขนตาดั่งปีกผีเสื้อขณะนางหลับ หลายครั้งที่มองจนใจสั่นใจเต้น ทุกครั้งกลับทำได้เพียงยับยั้งชั่งใจไว้ สุดท้ายก้มตัวลง เหมือนดั่งเด็กน้อย ประทับรอยจูบบนหน้าผากของนางอย่างรู้สึกผิด แล้วจึงเดินย่องออกจากห้องนอนไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
บางครั้งเสร็จงาน ระหว่างทางจากค่ายทหารกลับเรือน ซือเหยาอันเห็นนายฝีเท้าเร่งรีบ หยอกเย้าว่าสามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันนั้นล้วนเป็นเช่นนี้กัน
เขากลับรู้สึกผิดเล็กน้อยที่มอบชีวิตเพิ่งสมรสเช่นนี้แก่นาง ชีวิตเพิ่งสมรสของสามีภรรยาคู่อื่น เป็นไปได้ว่าส่วนใหญ่ล้วนแต่ตัวแช่ติดกันอยู่ด้วยกันทั้งวัน แต่นางเข้าเรือนเพียงไม่กี่วัน แค่เวลาอยู่กับนางทั้งวันเขากลับให้ไม่ได้ อีกอย่าง…
ทำให้นางไม่ได้ลิ้มรสการเป็นภรรยาในครั้งแรก
หัวคิ้วขมวดกันเล็กน้อย แรงที่เขาบีบคางของนางนั้นเพิ่มขึ้นกว่าเดิม เกิดอารมณ์โกรธขึ้นในใจที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดมิได้ เป็นความโกรธที่มีต่อตนเอง
หญิงสาวตรงหน้านั้นถึงแม้จะสมรสแล้ว แต่ก็ยังเป็นดอกไม้ที่ยังไม่เคยได้ผลิบาน ห้อหุ้มน้ำที่อุดมสมบูรณ์เอาไว้
สายตาของชายหนุ่มค่อยๆ เลื่อนจากใบหน้าอันขาวผ่องงดงามของนางลงไปข้างล่าง เป็นลำคออันบอบบาง ลงไปตามส่วนเว้าของแอ่งคออันขาวนุ่มนั้น เป็นเนินเขาในร่มที่เสื้อผ้าบางๆ ปกปิดไว้ไม่มิด ยึดครองสายตาของเขาไว้อย่างภาคภูมิและเอาแต่ใจ กระตุ้นทุกอณูในร่างกายอันแข่งแกร่งของเขา
ความมืดมิดของเขาดั่งตะวันยามเย็นที่ตกลงดินนอกหน้าต่าง ประกายแสงสีแดงเข้ม ช่วงเวลานี้ความเร่าร้อนที่ใคร่ประทุแต่ยากจะระบายในร่างกายนั้นเปรียบดั่งงูหลามที่บุกรุกรวดเร็วเกินต้านทานกำลังจะพุ่งกระโจนออกมา…
ความชุ่มชื้นและเรียบเนียนของแหวนหยกยิงธนูของชายหนุ่มลูบไล้บนผิวใต้คางอยู่หลายครั้ง เสียงที่แทบจะถูกแผดเผาจนแหบพร่า “ที่รัก…”
นางรู้สึกถึงส่วนหนึ่งของร่างกายเขานั้นร้อนลวกและแข็งแกร่ง อีกยังค่อยๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น เชื่อมต่อติดกันกับโคนขาของตน กำลังทักทายกับตนอย่างไม่เกรงใจใดๆ
เสื้อผ้าบางๆ ของทั้งสองคนในห้องนั้นมิอาจต้านทานความร้อนลุ่มขณะส่วนนั้นกลายเป็นรูปเป็นร่างได้ ใบหน้าของนางร้อนผ่าวลงไปถึงลำคอ เห็นปลายจมูกอันงดงามดั่งงานสลักของเขามีเม็ดเหงื่อซึมออกมา รีบผลักอกของเขาออก “รอกลับมาแล้วค่อยว่ากันเถิด…”
แต่เรี่ยวแรงในการพูดจาในวันนี้กลับอ่อนแอกว่าหลายวันก่อนอย่างเห็นได้ชัด เสียงพูดแผ่วเบานั้น วนเวียนอยู่รอบม่านเตียง เขาต้านทานเสียงหวานออดอ้อนนี้ไม่ไหว ตามติดมาด้วยแท่งเหล็กหลอมตรงต้นขาอันบอบบางของนางยิ่งเหมือนจะตั้งโด่ขึ้นอีกเล็กน้อย
ความรู้สึกนี้นางคุ้นเคยยิ่งนัก หลายวันมานี้ ถึงแม้ซย่าโหวซื่อถิงจะออกเช้ากลับดึก แต่ทั้งสองกอดกันเข้านอนแทบจะทุกคืน ท่าทางที่เขาคุ้นเคยก็คือโอบกอดนางจากด้านหลัง บางครั้ง ขณะกึ่งหลับกึ่งตื่น นางรู้สึกได้ถึงร่างกายของเขามีปฏิกริยาที่ผิดปกติ โดยเฉพาะในเวลาเช้าตรู่จะยิ่งเด่นชัดขึ้น นางรู้อยู่แล้วว่านั่นคืออะไร แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ตรงหน้านั้น สีหน้าท่าทีของชายหนุ่มเหมือนกับถูกลงโทษในแดนชำระบาป คิ้วอันดกหนาผูกปม เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทุรนทุราย นางถึงได้เข้าใจว่า หลายคืนมานี้ ขณะที่เขากอดตนอยู่นั้น ต้องทนทุกข์ต่อความทรมานอะไรบ้าง
ในขณะที่อวิ๋นหว่านชิ่นเกิดความรู้สึกเห็นใจสงสาร กำลังจะยกธงขาวแล้ว กลับเห็นใบหน้าอันงดงามของเขานั้นเหงื่อไหลดั่งสายฝนโปรย หน้าตาเริ่มบิดเบี้ยวขึ้นมา
วันนั้นหลังจากได้พูดคุยกับหมออิงแล้ว นางก็รู้ปฏิกริยาตอนแผลยาพิษนี้กำเริบขึ้น รวบรวมสติสักครู่ แล้วรีบนั่งขึ้นพยุงไหล่ทั้งสองข้างของเขา ให้เขาพิงพนักเตียงแกะสลักลายดอกไม้ “เป็นอย่างไรบ้างเพคะ” หยิบผ้าเช็ดหน้าบนโต๊ะเตี้ยเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้เขา แล้วบอกให้เขาหายใจให้สม่ำเสมอ เมื่อเขาดีขึ้นมากแล้ว จึงได้โน้มตัวไป “หมออิงบอกว่าเขากับหมอหลวงเหยากำลังหาวิธี…”
บาดแผลนี้ก็เหมือนกับภูติผีปีศาจอันโหดร้าย แอบซ่อนตัวอยู่ในร่างกาย คอยขัดขวางอารมณ์ไม่ให้เหวี่ยงจนสุดขั้วอยู่ทุกขณะ มิเช่นนั้นก็จะทำให้โรคกำเริบ แต่ต่อหน้านางแล้ว จะให้อารมณ์เขาไม่แปรปรวนได้อย่างไร
เนื่องจากเกือบจะทำให้โรคกำเริบขึ้น ในที่สุดเขาก็ไม่ได้ออกแรงทำต่อ แต่เม็ดเหงื่อที่สุกสกาวนั้นยังคงไหลไม่หยุด
นางลังเลอยู่สักครู่ แขนอันเรียวเล็กโบยผ่าน ใส่เข้าไปใต้ชายชุดคลุม คั่นกลางด้วยเสื้อตัวกลางผ้าไหมตัวเบาบางของเขา จับความตั้งตระหง่านอย่างภาคภูมิที่ต้องทุกข์ทนกับความไม่สำเร็จดั่งใจหวังนั้น ครอบล้อมเอาไว้ในฝ่ามือ
หลังจากตกตะลึงไปชั่วครู่ ซย่าโหวซื่อถิงก็รู้ว่านางจะทำอะไร
ประดุจหนึ่งภูติที่มาดับกระหาย ขณะที่มืออันเรียวสวยระบำโบยโบกอยู่นั้น ก็บรรเทารอยปริแตกร้าวและความทุกข์ทรมานของเขาไปได้ชั่วขณะ