ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 247 วังโกลาหล ปกป้องชายา (1)
ขันทีเห็นเขาสวมเครื่องแบบทหาร ดวงตาทั้งสองข้างเย็นยะเยือก บั้นเอวแขวนดาบพกติดกาย จึงเข้าไปรับหน้าเอ่ยว่า “ขอฉินอ๋องโปรดปลดอาวุธก่อน ค่อยเชิญด้านใน…” ยังพูดไม่ทันจบ แขนยาวของซย่าโหวซื่อถิงก็ขวางไว้ ผลักขันทีคนนั้นออกไป ฝีเท้ายังคงไม่หยุดเดิน ไร้ซึ่งเจตนาจะถอดเกราะปลดอาวุธแม้แต่น้อย
จนกระทั่งเขาเดินมาถึงหน้าประตูตำหนัก องครักษ์จึงได้สติกันขึ้น พุ่งเข้ามาขวางไว้ เอ่ยย้ำอีกครั้งว่า “ฉินอ๋องโปรดปลดอาวุธบนตัวก่อนค่อยเข้าตำหนัก!”
“ข้าไม่ต้องการปลด หากไท่จื่อหวาดกลัวนักก็เชิญเขาออกมาปรึกษากันด้านนอก” หน้าตำหนัก เขาเคลื่อนมือลงบนด้ามดาบข้างเอวสอบ คล้ายกำลังท้าทาย แล้วเงยหน้าขึ้น แสงจันทร์สะท้อนดวงตาทั้งสองข้างเงียบงันลุ่มลึก มุมปากแสยะยิ้ม
องครักษ์หน้าประตูพลันตื่นตะลึง ไม่คิดว่าฉินอ๋องจะเพ้อเจ้อออกมา แต่ได้ยินเสียงกังวานจากในตำหนักดังขึ้นว่า “เชิญฉินอ๋องเข้ามาเถิด”
องครักษ์ถอยออกไปสองฝั่ง ซย่าโหวซื่อถิงจึงก้าวเข้าด้านในตำหนักกระดิ่งทอง
ไท่จื่อนั่งอยู่กลางตำหนักใหญ่ เบื้องหน้าวางโต๊ะเตี้ยไม้หอมไว้ตัวหนึ่ง ด้านบนมีกระดานหมากวางอยู่ ทรงแต่งกายดั่งยามปกติที่อยู่ในตงกง สบายๆ และหล่อเหลา กำลังวางหมากตัวสุดท้ายลงคนเดียว ด้านหลังมีเพียงเหนียนกงกงที่อยู่เป็นเพื่อน
เมื่อเห็นผู้มาเยือน ไท่จื่อแววตาขยับไหว เจ้าสามดูมีกำลังวังชาแข็งแกร่งเช่นนี้ ดูดีกว่ายามส่งพระศพเสด็จพ่อเมื่อสองวันก่อนเสียอีก ไหนเลยจะยังมีเงาของอดีตอยู่ ไม่รู้ว่ากินยาบำรุงกำลังขนานใหญ่อันใดไป จึงเหมือนเกิดใหม่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
หลังเสาทั้งสี่ทิศของตำหนักใหญ่มีเงาร่างกำยำกระจายตัวกันออกไป ล้วนเป็นองครักษ์ทั้งสิ้น แม้ว่าจะมีระยะห่างอยู่ไกล ทว่ามือแต่ละคนกลับจับดาบบนเอวกันด้วยความตึงเครียด หากผู้มาเยือนมีการกระทำที่ไม่ดีล่ะก็ จะพุ่งเข้าไปคุ้มกันผู้เป็นนายทันที
ซย่าโหวซื่อถิงกวาดตามองไปรอบๆ พลางยิ้มเรียบ “มิน่าเล่าไท่จื่อจึงได้วางใจปล่อยให้กระหม่อมเข้ามาเช่นนี้ ที่แท้ก็เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าแล้ว ดูท่าไท่จื่อก็คงจะรู้จักกลัวอยู่เช่นกัน”
ไท่จื่อก็ตรัสคล้ายล้อเล่นว่า “ข้าย่อมรู้จักกลัว ฉินอ๋องคิดว่าทุกคนใต้หล้าล้วนเป็นคนเสียสติเช่นเจ้าที่พาทหารหลายพันนายเข้ามาในวังหรือไร ได้ยินว่าฉินอ๋องมีเรื่องทางการทหารจะปรึกษาหรือ เช่นนั้นก็รีบว่ามาเถิด”
ซย่าโหวซื่อถิงกลับไม่รีบร้อน เหลือบมองเหนียนกงกงแวบหนึ่ง ยกมือทำเป็นท่าทาง
เหนียนกงกงกลืนน้ำลาย ยกเก้าอี้ทรงกลมตัวใหญ่ที่ยามปกติวางไว้ในตำหนักเพื่อให้ขุนนางอาวุโสที่สำคัญๆ ในราชสำนักนั่งเข้ามาวางข้างกายฉินอ๋อง
ไท่จื่อคิ้วกระตุก
ซย่าโหวซื่อถิงถลกชุดคลุมผ้าไหมใต้เกราะขึ้นเบาๆ นั่งลงตรงข้ามกระดานหมาก ราวกับได้รวบรวมความอดทนไว้เต็มอกเพื่อมารับมือในคืนนี้ เอ่ยอย่างไม่รีบร้อนว่า “ไม่รีบ นั่งพูดคุยก็ได้”
เข้าวังเข้าตำหนักมาอย่างไม่ถูกไม่ควรไม่น่าไว้วางใจแท้ๆ แต่ทำท่ามุ่งมาดปรารถนาเสียดิบเถื่อนเหมือนเป็นเจ้าของตำหนักกระดิ่งทองอย่างไรอย่างนั้น
สายตาไท่จื่อขยับไหวอย่างยากจะสังเกตเห็น เหลือบส่งสายตาไปยังหัวหน้าองครักษ์ที่คุ้มกันอยู่หลังเสาตำหนักฝั่งตรงข้าม
พอบุรุษตรงหน้าตอบเหตุผลอันใดมิได้ รอให้พระองค์ส่งสัญญาณมือก็จะจับเขาคาที่ทันที ถึงเวลานั้น ทหารของจิ่งหยางอ๋องที่จัดวางกำลังไว้แต่แรกแล้วก็จะเข้าวังมา คุมตัวทหารที่อยู่นอกตำหนักกระดิ่งทองสามพันนายเอาไว้จนหมด
บุรุษทั้งสองนั่งอยู่คนละด้านภายในตำหนักใหญ่ มีกระดานหมากกั้นกลางไว้ อารมณ์สบายๆ แต่กลับทำให้องครักษ์ลับแห่งวังหลวงที่แอบคุ้มกันในเงามืดมือชื้นเหงื่อ
ซย่าโหวซื่อถิงหยิบถาดหมากรุกสีดำของทางด้านไท่จื่อมาโดยไม่ถามไถ่ หยิบมันขึ้นมาตัวหนึ่ง วางลงบนกระดาน
การกระทำของฉินอ๋องทำให้เส้นประสาทในหัวทุกคนตึงเคร่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแสว่า “ก่อนจะถวายฎีกาสถานการณ์ทางการทหาร โปรดให้กระหม่อมส่งรองแม่ทัพไปรับตัวแม่นางอวิ๋นที่หอจื่อกวงออกมาก่อน พอแม่นางอวิ๋นปลอดภัย เลยเวลาร่วมฝังมาแล้ว กระหม่อมจะทูลบอกไท่จื่อก็ไม่สาย”
วาจานี้พูดอย่างเนิบช้า แต่ฝ่าฝืนพระราชโองการของฮ่องเต้พระองค์ก่อนอย่างเปิดเผย เขาจะมาชิงคน!
ไท่จื่อลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว แทบจะล้มกระดานหมาก พูดเข้าประเด็นดีเสียจริง ไม่อ้อมค้อมแม้แต่น้อย!
เหล่าทหารองครักษ์หลังเสาตำหนักก็ต่างปรากฏตัวขึ้น ดาบในขยับไหวดังโช้งเช้ง ธนูขึ้นสายพร้อม
“ในเมื่อวันนี้ฉินอ๋องขัดราชโองการมาชิงตัวคน เหตุใดต้องอ้างเรื่องรายงานสถานการณ์ทางการทหารเพื่อเข้าวังด้วยเล่า” ไท่จื่อหรี่ตาลง ตรัสอย่างเหน็บแนมเล็กน้อย ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว ทันใดนั้นสีหน้าก็ดุดันขึ้น “ฉินอ๋องแอบอ้างเรื่องราชกิจ บุกเข้าวังในยามวิกาล เพื่อเรื่องส่วนตัว ขัดคำสั่งเสียของฮ่องเต้พระองค์ก่อน แย่งชิงคนร่วมฝังของฮ่องเต้อย่างเปิดเผย ควรรับโทษใด!”
บุรุษรูปงามยังคงนั่งบนเก้าอี้ไหมทองตัวใหญ่ สองมือวางทับขาที่อ้าออกเล็กน้อย หลังตั้งตรง แล้วหยิบหมากอีกตัว เงยหน้าขึ้น ริมฝีปากบางขยับไหวช้าๆ เอ่ยทีละถ้อยทีละคำว่า “ควรรับโทษอันใดกัน ใครบอกว่ากระหม่อมแอบอ้างราชกิจกัน ราชกิจค่อยว่ากันทีหลังเท่านั้นเอง หมากยังเล่นไม่เสร็จ ไท่จื่ออย่าได้ตระหนกไปสิพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่จื่อกล้ามเนื้อบนพระพักตร์กระตุก ความอวดดีของเขามีมากกว่าที่พระองค์ทรงคิดไว้ ไม่ลังเลอีกต่อไป พระองค์ยกแขนขึ้นกลางอากาศ ฟาดลงมาอย่างหนัก พล่ามโทษที่ได้เตรียมเอาไว้แต่แรกแล้วออกมาว่า “ฉินอ๋องไม่สนใจกฎหมายบ้านเมือง อกตัญญูต่อฮ่องเต้พระองค์ก่อน ฝ่าฝืนกฎธรรมเนียม โทษไม่อาจอภัยได้ ใครก็ได้ รีบจับฉินอ๋องเข้าคุก!”
องครักษ์กรูกันเข้ามา ดาบและรองเท้าเหล็กดั่งคลื่นขนาดยักษ์สาดซัดหิน ซือเหยาอันที่อยู่นอกตำหนักกับเหล่าทหารของฉินอ๋องต่างตอบสนองทันที ภายในตำหนักต้องเกิดความวุ่นวายขึ้นแน่แล้ว เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับผู้เป็นนาย จึงกรูกันไปยังตำหนักใหญ่อย่างช้าๆ ดั่งคลื่นทะเล แม้องครักษ์หน้าตำหนักจะมีไม่เท่าจำนวนของทหารฉินอ๋อง แต่ได้ล้อมตำหนักใหญ่ไว้อย่างรัดกุม ถือง้าวยาวหันออกด้านนอก ทำให้เหล่าทหารไม่อาจเข้าใกล้ได้
ซย่าโหวซื่อถิงหันกลับไปมองแวบหนึ่ง ยกมือส่งสัญญาณ ความโกลาหลนอกตำหนักจึงได้หายไป แล้วหันหน้ากลับมาอีกครั้ง จ้องมองไท่จื่อนิ่ง “ไท่จื่อยังจะจับกระหม่อมอยู่อีกหรือ”
ไท่จื่อยิ้มเย็น “องครักษ์ภายในเขตพระราชฐานมีจำกัด เจ้าอาจไม่เห็นมันอยู่ในสายตา แต่ถ้าเป็นทหารทั่วทั้งเมืองหลวงเจ้าจะรับมืออย่างไรดี รอให้ทหารนอกวังมาก่อนเถิด เจ้าคงจะรู้ว่าจุดจบของเจ้ามันเป็นเช่นไร”
“จิ่งหยางอ๋องน่ะหรือ” หมากสีดำวางลง ตัดหนทางของหมากขาวไป ซย่าโหวซื่อถิงเงยหน้าขึ้น “เช่นนั้นก็ให้เวลาไท่จื่อครึ่งชั่วยามก็แล้วกัน พอหรือไม่ หากครึ่งชั่วยามองครักษ์คุ้มกันของจิ่งหยางอ๋องยังไม่มา ไท่จื่อก็พิจารณาข้อเสนอที่กระหม่อมได้ทูลไปเมื่อครู่ให้ดีอีกทีเถิด”
สีหน้ามั่นอกมั่นใจเต็มร้อย ไร้ซึ่งความตื่นตระหนกเลยสักนิด
ไท่จื่อรอยยิ้มพลันแข็งค้าง ค่อยๆ นั่งลงอย่างช้าๆ
ณ จวนจิ่งหยางอ๋อง
จัดเตรียมทหารลูกหลานของตระกูลเอาไว้เมื่อตอนกลางวันเรียบร้อยแล้ว ค่ายในระแวกใกล้ๆ นี้รอออกเดินทางพร้อมอาวุธครบครัน หลังจากรวมทัพกันแล้วก็จะเข้าเขตพระราชฐานไปด้วยกัน
ตกค่ำได้ไม่นาน ทางวังหลวงก็ให้ม้าเร็วส่งจดหมายลับมาให้ บอกว่าฉินอ๋องนำทัพเข้าวังมาแล้ว
ได้เวลาอันสมควรแล้ว จิ่งหยางอ๋องลุกขึ้นภายในโถงใหญ่ โพล่งออกคำสั่งกับรองแม่ทัพว่า “เคลื่อนทัพ!”
ด้านนอกโถงหลักของจวน แม่นางสกุลพานเห็นสวามีจะเข้าวัง จึงพาสาวใช้เดินเข้ามาหา “จวิ้นอ๋อง!”
จิ่งหยางอ๋องหยุดฝีเท้าลง สีหน้าตึงเครียดเมื่อครู่พลันอ่อนโยนขึ้นมาไม่น้อย รองแม่ทัพด้านข้างเอ่ยอย่างเคารพนอบน้อมว่า “พระชายาพาน”
แม่นางสกุลพานเดินเข้าไปหา เอ่ยว่า “ท่านเป็นกลางมาโดยตลอด ไม่เข้าฝักเข้าฝ่ายใด ครานี้เห็นได้ชัดว่าภายในราชวงศ์แย่งชิงบัลลังก์กัน ฉินอ๋องมีเจตนาไม่จงรักภักดีอย่างถ่องแท้ วิธีการก็อกตัญญูไร้คุณธรรมยิ่ง แต่ไท่จื่อก็วางกับดักเอาไว้อย่างชัดแจ้ง ยืมกำลังทหารของท่านไปต่อสู้กับฉินอ๋อง เหตุใดท่านต้องสอดมือเข้าไปให้ตัวเองแปดเปื้อนด้วย”
จิ่งหยางอ๋องยิ้มขื่น “ข้าเลี้ยงดูสั่งสอนทหารลูกหลานสายตรงสองหมื่นนายในเมืองหลวง อำนาจทางการทหารกว่าครึ่งในเมืองหลวงล้วนอยู่ในมือข้า ทั้งหมดล้วนอาศัยความไว้เนื้อเชื้อใจของฮ่องเต้พระองค์ก่อนและพระสนมในรัชกาลก่อน ยามนี้ฉินอ๋องบุกรุกวังหลวง อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในเมืองหลวงได้ จะให้ข้าอยู่เฉยๆ มองเมืองหลวงตกอยู่ในวิกฤตได้อย่างไร ไท่จื่อเป็นรัชทายาทที่ได้รับการแต่งตั้ง เป็นว่าที่ฮ่องเต้ ข้าจะไม่ช่วยพระองค์จัดการสถานการณ์เร่งด่วนตรงหน้าได้อย่างไร”