ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 247 วังโกลาหล ปกป้องชายา (2)
แม่นางสกุลพานพูดอันใดไม่ออก แม้ว่ายามปกติสามีจะเชื่อฟังคำพูดของตน เพราะตนเกิดในตระกูลแม่ทัพ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะพูดคุยเรื่องการทหารและราชสำนักกับตน แต่เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก นางจะสอดมือเข้าไปได้อย่างไร ใครจะสามารถไม่มีความลำเอียงได้บ้าง ใจนางเองยังคิดอยากจะให้ฉินอ๋องผ่านความลำบากนี้ไปได้ด้วยซ้ำ เช่นนี้แล้ว พระชายาฉินอ๋องที่มีรายนามอยู่ในคนที่ต้องฝังร่วมบางทีอาจจะสามารถรอดตายก็ได้ แต่หากสามีพาทหารเข้าวังไปช่วยเหลือ ปราบปรามฉินอ๋อง เช่นนั้นพระชายาฉินอ๋องก็เกรงว่า…
แม่นางสกุลพานแอบถอนหายใจเบาๆ เสียดายก็แต่น้องอวิ๋นผู้นั้น ในขณะนั้นเองกลับได้ยินผู้ดูแลเฒ่าของจวนจวิ้นอ๋องหอบหายใจวิ่งเข้ามา “จวิ้นอ๋อง!”
“มีอันใดรึ” จิ่งหยางอ๋องถามด้วยความสงสัย
ผู้ดูแลเฒ่าหยุดพักหายใจ “มีคนมาหาจวิ้นอ๋องขอรับ!”
ยามนี้จะมีใครมาหาอีก จิ่งหยางอ๋องเอ่ยถามว่า “ใครรึ”
“ดูเหมือนจะเป็น…จ๋างสื่อของจวนฉินอ๋องขอรับ ยังพาคนรับใช้มาด้วยอีกขอรับ”
“ตลกหรือไร จะมาร้องขอความเห็นใจให้ผู้เป็นนายอย่างนั้นรึ” จิ่งหยางอ๋องหัวเราะเยาะ แขนแกร่งโบกขึ้น “ไล่กลับไป! ไม่พบ!”
ในขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงโหวกเหวกโวยวายก็ดังมาจากประตูวงพระจันทร์ที่ลานบ้าน จิ่งหยางอ๋องสองสามีภรรยาหันไปมองตามเสียง เห็นจ๋างสื่อแซ่เกาของจวนฉินอ๋องพาผู้คุ้มกันเรือนกับคนรับใช้ของจวนฝ่าเข้ามาในจวนจวิ้นอ๋อง จนถึงโถงใหญ่นี้แล้ว
“มีอย่างนี้ที่ไหนกัน!” จิ่งหยางอ๋องเดือดดาลขึ้นมา กำลังจะเข้าไปไล่คนกลับเห็นแม่นางพานขวางตนไว้ “จวิ้นอ๋องอย่ารีบร้อนไป ท่านดูท่าทางของพวกเขาสิเจ้าคะ ไม่เหมือนว่าจะมาหาท่านเพื่อขอความเห็นใจสักนิด ไหนๆ ก็มาแล้ว ไม่สู้ฟังพวกเขาว่าจะพูดอย่างไรดีกว่า”
ได้ยินคำพูดของชายารัก จิ่งหยางอ๋องก็ระงับโทสะไว้ แล้วให้คนเข้ามา
เกาจ๋างสื่อพาคนรับใช้เข้ามา ประสานมือขึ้น “ข้าน้อยบุ่มบ่าม จิ่งหยางอ๋อง พระชายาจิ่งหยางขออภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“พาคนรับใช้ทั้งกลุ่มบุกเข้ามาในจวนจวิ้นอ๋อง จ๋างสื่อก็ทราบดีว่าบุ่มบ่ามเข้าแล้ว! มีธุระใดก็รีบพูดเสีย!” จิ่งหยางอ๋องไม่พอใจอย่างมาก แทบจะลุกขึ้นไล่คนในทันที
เกาจ๋างสื่อเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “มิได้มีเรื่องอื่นใด เพียงแค่มาส่งคนให้จวิ้นอ๋องเท่านั้น ส่งให้เสร็จเราก็จะไปพ่ะย่ะค่ะ”
ส่งคนรึ จิ่งหยางอ๋องกับแม่นางพานแปลกใจ มองไปยังเกาจ๋างสื่อ สายตาจับจ้องไปยังคนรับใช้เหล่านั้นที่อยู่ข้างกายเขา
ราตรีดึกสงัด แสงจันทราหลบเร้นลงไปครึ่งหนึ่ง คืนนี้ไร้ฝน แต่เมฆกลับดำทะมึน อากาศก็อบอ้าวอย่างมาก
เหล่าคนรับใช้ขยับกาย ด้านหลังมีสตรีชราท่าทางสะอาดสะอ้านผ่ายผอมคนหนึ่งเดินออกมา แม้จะแต่งกายเรียบง่าย ธรรมดาเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่ทั่วทั้งร่างกลบเต็มไปด้วยความสูงศักดิ์และนุ่มนวลสงบนิ่ง ดูแล้วเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
สตรีชราก้มหน้าเดินออกมา เดินมาถึงกลางลานบ้านก็เอ่ยกับสองสามีภรรยาจิ่งหยางตรงขอบประตูอย่างอ่อนโยนว่า “ขอจวิ้นอ๋องโปรดรั้งทหารไว้เถิด”
เสียงคุ้นหูอย่างมาก บรรดาผู้อาวุโสในครอบครัวของจวนจวิ้นอ๋องต่างได้ยินอย่างชัดเจน นิ่งอึ้งกันโดยพลัน แล้วมองไปยังจวิ้นอ๋องของตนที่กำลังตกตะลึงเช่นกัน นิ่งงันไปครู่หนึ่ง
แม่นางสกุลพานเอ่ยขึ้นอย่างตกใจขึ้นมาคนแรก “ท่านยาย โปรดเงยหน้าขึ้นมา!”
สตรีนางนั้นเงยหน้าขึ้น ไฟจากระเบียงส่องใบหน้าให้ชัดเจนยิ่ง
แม่นางพานปิดหน้าไว้ เกือบจะหลุดเสียงออกมา นึกไม่ถึงว่าจะเป็นพระชายาซ่งที่ถูกส่งไปยังชานเมืองเพื่อรอความตายจากโรคระบาด คงมิได้ตาฝาดไปกระมัง มิใช่ว่ากระทั่งศพก็เผาไปแล้วหรอกหรือ
หากแต่ใต้หล้านี้ไม่มีคนที่เหมือนกันเช่นนี้อีกแล้ว กระทั่งตำแหน่งไฝแดงตรงหางคิ้วเม็ดนั้นก็ไม่ย้ายที่เลยสักนิด!
บรรดาผู้อาวุโสในครอบครัวของจวนจวิ้นอ๋องก็ตกตะลึงเช่นกัน “เป็นพระชายาหรือ ไม่ เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…”
ในขณะนั้นเอง สวามีข้างกายก็เหมือนสัตว์ร้ายที่หลุดจากการคุมขัง ลงบันไดไปอย่างตระหนก ยืนอยู่เบื้องหน้าสตรีนางนั้น หยั่งเชิงว่า “เจ้าเป็น…เจ้าเป็น…”
คืนนี้แม่นางสวีถูกรับตัวมาจากสวนแอปริคอต พอได้ทราบว่าจะได้พบลูกชาย จิตใจก็สั่นไหว ปีนั้นโรคระบาดร้ายทำร้ายสองแม่ลูกให้พรากจาก ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ได้พบครอบครัวอีกครั้ง ยามนี้ได้เห็นลูกชายแล้ว ก็ตื้นตันดีใจจนขอบตาแดงก่ำ ทว่าฝืนยิ้มยินดี “หู่โถว เจ้าสูงขึ้นมาไม่น้อยอีกแล้ว ผิงเหนียงยังคงเหมือนเก่า มิได้เปลี่ยนไปเลย พี่ฟางกับเอ้อร์หลังสบายดีหรือไม่ เกรงว่าคงไม่รู้จักข้าแล้วกระมัง”
พี่ฟางกับเอ๋อร์หลังเป็นลูกสาวกับลูกชายของจิ่งหยางอ๋องและแม่นางพาน ส่วนหู่โถวนั้นเป็นตอนที่จิ่งหยางอ๋องยังเด็ก แม่นางสวีกลัวว่าเขาเป็นลูกคนเดียวจะถูกโอ๋จนเปราะบาง เดี๋ยวจะถูกผีสางมาเอาไป จึงได้ตั้งชื่อเล่นน่ากลัวและกล้าหาญเช่นนี้ให้ ตั้งแต่เด็กจนโตก็มีแม่นางสวีผู้เดียวที่เรียกลูกชายเช่นนี้ เพราะชื่อนี้ฟังดูไม่เพราะ พอโตได้สามสี่ขวบก็ไม่ได้เรียกแล้ว จึงแทบจะไม่มีใครรู้
ที่แท้ก็เป็นเสด็จแม่จริงๆ เสด็จแม่ยังไม่ตาย จิ่งหยางอ๋องทนไม่ไหวอีกต่อไป ความเหี่ยวเฉาในหลายปีมานี้พลั่งพลูออกมาดั่งน้ำหลากในพริบตา เขาคุกเข่าลง น้ำตานองดั่งฝนกระหน่ำ “ท่านแม่ เป็นลูกที่อกตัญญู…”
มีเพียงแม่นางพานที่จะรู้ว่าหลายปีมานี้เรื่องของแม่เป็นปมใหญ่หลวงในใจของจิ่งหยางอ๋อง ยามนี้พอได้เห็นก็ร้องห่มร้องไห้จนไร้เสียง นางเดินเข้าไปคุกเข่ากับพื้นข้างสามี แล้วร้องไห้ออกมา
เกาจ๋างสื่อเห็นครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ก็ประสานมือพาคนรับใช้ออกไป
ครูต่อมา จิ่งหยางอ๋องจึงได้ลุกขึ้นจากพื้น ทว่ายังคงกุมมือแม่นางสวีไว้ไม่ปล่อย แม้ว่าจะผ่านไปหลายปีแล้ว ใบหน้าของเสด็จแม่สูงวัยขึ้น แต่ไม่เห็นความเหี่ยวแห้งที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนเลยสักนิด แค่มองก็รู้ว่าถูกดูแลอย่างดีมาก ไม่ได้รับความลำบากเลยแม้แต่น้อย
ไม่ต้องถามให้มากความ ใจเขาพอจะรู้แล้วว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร ปีนั้นนึกไม่ถึงว่าองค์ชายสามผู้นั้นจะช่วยเสด็จแม่ใกล้ตายที่ถูกทิ้งไว้ชานเมือง ซ้ำยังรักษาให้นางหาย หลายปีมานี้เสด็จแม่อิ่มหนำสำราญสวมใส่ไม่ขาดเหลือ ล้วนเป็นเพราะเขารับมาดูแล
ในขณะที่กำลังตื่นตระหนกนั้นเอง มือทั้งสองของแม่นางสวีก็วางบนหลังมือลูกชาย กุมไว้แน่น “ฉินอ๋องรับผู้ป่วยโรคระบาดมาโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์และลาภยศ เห็นได้ชัดว่ามิใช่คนนิสัยเลวร้ายโดยกำเนิด หากไม่มีฉินอ๋อง เราสองคนแม่ลูกก็คงไม่อาจได้พบหน้ากันแน่แล้ว ขอจวิ้นอ๋องเปิดทางให้ด้วย”
ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์และลาภยศหรือ เกรงว่าเก็บเอาไว้หลังจากนั้นหลายปีค่อยเอามาใช้เสียมากกว่ากระมัง ฉินอ๋องในตอนนั้นเพิ่งจะอายุเท่าใดเอง สิบสามสิบสี่ยังไม่ถึงเลยกระมัง ตอนนั้นล้วนสามารถมีความอดทนมองการณ์ไกลแล้ว เห็นได้ชัดว่าจิตใจยากจะหยั่งถึง จิ่งหยางอ๋องทอดถอนใจ แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่อย่างไรเสียชีวิตของท่านแม่ก็เป็นเขาที่ช่วยไว้ ไข้ใจของตนก็ได้เขากำจัดสิ้น ไม่ว่าอย่างไรตนก็ติดค้างเขาไว้หนึ่งอย่าง
ห่างออกไปในวังหลวง คนผู้นั้นจับตนไว้อย่างแน่นหนา ทำให้ตนเกิดความขัดแย้งกับตัวเองอย่างยิ่ง
ทหารเหล่านี้ก็ไม่รู้ว่าจะพาบุกหรือว่าไม่บุกดี
ทางด้านตำหนักกระดิ่งทองในวังหลวง
ไท่จื่อพ่ายแพ้ติดต่อกันสามกระดาน ยังไม่ทันได้ฟังรายงานจากนอกตำหนักว่าจิ่งหยางอ๋องเข้าวังมา ก็เดือดดาลจนสงบลงไม่ค่อยได้แล้ว
ถังน้ำหยดบอกเวลาลึกขึ้นเรื่อยๆ แสงไฟนอกตำหนักก็ยิ่งสว่างไสว กองกำลังเสริมเกรงว่าคงถูกสกัดกั้นไว้แล้ว ซย่าโหวซื่อถิงจิตใจมั่นคง ไม่ลังเลอีกต่อไป เขานั่งตัวตรง เอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจว่า “ไท่จื่อ ครึ่งชั่วยามผ่านไปนานแล้ว”
จิ่งหยางอ๋องไม่มาเสียที องครักษ์ทั้งนอกทั้งในตำหนักใหญ่ก็รู้สึกว่าไม่ชอบมาพากลเช่นกัน เหงื่อจากมือชุ่มด้ามดาบตั้งนานแล้ว
ไท่จื่อสงบพระทัยมั่น เงยพระพักตร์ขึ้นจากกระดานหมาก แย้มยิ้มออกมา
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นเขาเผยรอยยิ้มออกมา ใบหน้าก็ดุดันขึ้น รู้ดีว่าเขาคิดจะต่อต้านจนถึงที่สุด ไม่มีทางยินยอมปล่อยคนได้ จึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง มือคลายลง หมากตัวสุดท้ายตกลงบนกระดานเสียงใส กางแขนอ้าออก พลิกกระดานไปจนเกิดเสียง
เสียงดังนี้ ทำให้ซือเหยาอันกับเหล่าขุนนางทหารที่อยู่นอกตำหนักรู้ทันที ออกคำสั่งกับกองทัพ ทหารแนวหน้าสามแถวถือดาบเข้ามา บุกเข้าตำหนักกระดิ่งทอง แนวหลังอีกสามแถวเสริมกำลังอย่างต่อเนื่อง