ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 67-2 เหล่าสะใภ้ห้ำหั่นกัน
แม้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่ต้องดูแลหวงน้าสี่ด้วยตัวเอง แต่นับจากวันแรกที่ทั้งสองปะทะคารมกัน หลายวันต่อมา ก็ยังมองหน้ากันไม่ติด ไป๋เสวี่ยฮุ่ยหงุดหงิดใจมาก พี่สะใภ้นั่น เหมือนเอาแต่ได้ ชี้นิ้วสั่งสาวใช้ทุกวันว่า อยากกินอยากดื่มโน่นนั่นนี่ ถ้าวันไหนได้ลิ้มลองขนมหรือผลไม้ที่มีความประณีตและเก็บไว้ได้นานหน่อย กินเสร็จก็จะสั่งให้สาวใช้ทำเพิ่มให้อีกชุด เพื่อนำกลับบ้านไปฝากสามีและลูกชายคนโตที่ไม่ได้มาด้วย
วันนั้น หวงน้าสี่ถูกใจปิ่นปักผมบนศีรษะไป๋เสวี่ยฮุ่ย ก็ไม่เกรงใจ ออดอ้อนไปตามตรงว่าอยากได้ และพอถงฮูหยินที่ยืนอยู่ข้างๆ ช่วยพูด นางจึงต้องให้ไป
แม้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยมิได้ชอบปิ่นปักผมอันนี้มากมาย แต่ก็เป็นเครื่องประดับส่วนตัวของนาง การแย่งเอาไปดื้อๆ เช่นนี้ ย่อมทำให้นางไม่สบอารมณ์ จึงสบถในใจ
อีบ้านนอก นอกจากไม่เคยเห็นโลกภายนอกแล้ว ยังหน้าด้านหน้าทนอีก ได้โอกาสมาบ้านญาติรวยๆ ทั้งที อะไรก็เอาหมด จากนั้นก็ทำหน้าบึ้งตึง
ถงฮูหยินย่อมปกป้องสะใภ้ใหญ่ที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาสิบกว่าปี พอเห็นสะใภ้รองชักสีหน้า ก็พูดไปตามความเคยชิน
“คนกันเองทั้งนั้น สะใภ้บ้านเดียวกัน ยังจะแบ่งแยกอะไรอีก ข้าไม่ชอบคนเมืองอย่างพวกเจ้าที่ชอบวางท่า และคิดเล็กคิดน้อย พี่สะใภ้เจ้านานๆ มาที อย่าว่าแต่ปิ่นอันเดียวเลย คนที่รู้กาลเทศะ ไม่ต้องพูด ก็ยื่นให้เองแล้ว ไม่ได้ว่าเพราะอยากได้ปิ่นราคาแพงของเจ้าหรอก ก็แค่น้ำใจเท่านั้นเอง”
“หรือไม่ใช่ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พี่ได้พบหน้าน้องสะใภ้ เราสองยากที่จะได้พบเจอกัน ครั้งหน้าก็ไม่รู้ว่าจะได้พบกันปีไหนเดือนไหนอีก พี่น่ะรักญาติพี่น้อง อยากได้เป็นที่ระลึกเท่านั้นเอง แต่ถ้าน้องสะใภ้ไม่ชอบ พี่คืนให้ก็ได้ ไม่อยากกลายเป็นคนโลภในสายตาน้อง…”
ว่าแล้วหวงน้าสี่ก็ยกมือขึ้นจับมวยผม และแตะๆ ปิ่นอันนั้นอยู่ครึ่งค่อนวัน มิได้ดึงออกมา
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยทั้งขันทั้งโกรธ จึงได้แต่พูดว่า “ถ้าพี่สะใภ้ชอบ ก็เอาไปเถิด”
ชั่วชีวิตนี้นางยังไม่เคยแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับสะใภ้ด้วยกันเองต่อหน้าแม่สามี พอได้ยินแม่สามีกับสะใภ้บ้านนอกสองคนประสานเสียงรับส่งกันเพื่อให้ได้ของของตนไปครอง แล้วยังพูดเหน็บแนมตนอีก แม้รู้สึกโกรธ ก็ต้องข่มกลั้นไว้ ระบายออกไม่ได้ ขืนพูดมาก ก็จะกลายเป็นว่าตนไม่รู้จักกาลเทศะ จึงได้แต่ก้มหน้าลง ฟังคำชี้แนะ
ส่วนลูกๆ ทั้งสามที่หวงน้าสี่พามาด้วย ก็ไม่ต้องพูดถึง
อย่างไรก็มาจากชนบท และเด็กสองคนก็กำลังอยู่ในวัยซนพอดี ราวกับลูกลิงอย่างไรอย่างนั้น ไหนเลยจะก่อกวนอยู่แค่เรือนๆ เดียว คนหนึ่งซน อีกคนก็อยากเอาชนะ ส่งเสียงเอะอะมะเทิ่ง วิ่งเล่นไปทั่วทั้งจวนเป็นประจำ
เหลือแต่เจ้าตัวเล็กที่ไม่วิ่งวุ่นวาย แต่ไม่รู้เป็นเพราะไม่ถูกกับสถานที่หรือเปล่า ถึงได้เอาแต่ร้องไห้ทั้งวี่ทั้งวัน แต่เหล่านี้ว่ากันไม่ได้เชียว มิเช่นนั้น หวงน้าสี่ก็จะรู้สึกว่าดูถูกลูกๆ ของนาง และนางก็จะทำตาขวาง มาเอาเรื่องไป๋เสวี่ยฮุ่ยอีก
ปกติไป๋เสวี่ยฮุ่ยติดนอนกลางวัน ทว่าตั้งแต่ครอบครัวแม่สามีมา นางก็มักจะนอนได้ไม่เต็มอิ่ม ต้องทรมานกับเสียงดังของเด็กๆ ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเมื่อก่อนชีวิตสุขสบายแค่ไหน นางจึงเอาแต่นับวัน หวังให้แม่สามีกลับไปเร็วๆ
อวิ๋นเสวียนฉั่งออกจากบ้านไปทำงานทุกวัน ไม่ได้อยู่ในบ้านกว่าครึ่งค่อนวัน จึงไม่รู้สึกอะไรกับเสียงรบกวนดังกล่าว แต่ไป๋เสวี่ยฮุ่ยอยู่บ้านตลอดทั้งวัน และยังต้องไปดูแลแม่สามีกับพี่สะใภ้ที่เรือนตะวันตกด้วยตัวเองอีก ขมขื่นสุดบรรยาย แต่ก็ไม่สามารถฟ้องอะไรกับสามีได้ เพราะสามีให้ความสำคัญกับการมาของมารดาในครั้งนี้มาก ซึ่งการปรนนิบัติแม่สามีเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าฟ้อง ก็จะกลายเป็นว่า ตนเห็นแก่ตัว อกตัญญู ซึ่งตนเพิ่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอวิ๋นเสวียนฉั่งได้หมาดๆ ถ้าทนไม่ได้ ก็ต้องหมางเมินกันอีก
ตรงนี้ต้องดูแลญาติจากชนบท ตรงนั้นก็ต้องเตรียมเรื่องออกเรือนของลูกสาว มีเรื่องให้จัดการมากมายจนไป๋เสวี่ยฮุ่ยแทบจะล้มป่วยอีกครั้ง
และในตอนนี้เอง นางก็ยื่นข้อเสนอว่า พี่เฉียวถูกขังไว้นานแล้ว ยอมรับผิดก็แล้ว โดนตีก็แล้ว ลงโทษก็แล้ว น่าจะปล่อยออกมาได้แล้ว
นี่มิใช่กินปูนร้อนท้องหรอกหรือ กลัวว่าถ้านานวันเข้า พี่เฉียวจะรับการทรมานไม่ไหว พูดความจริงออกมา ชูซย่าคิดว่าสบโอกาสพอดี จะได้ให้ท่านย่าได้รู้เสียทีว่าสะใภ้รองทำเรื่องอะไรไว้บ้าง พอคิดได้เช่นนี้ ก็รีบเสนอให้สอบสวนพี่เฉียว
อวิ๋นหว่านชิ่นครุ่นคิดสักพัก กลับว่า “ถ้านางอยากให้ปล่อย ก็ปล่อยออกมาสิ คืนคนให้นางไป”
“คืนให้ฮูหยินหรือเจ้าคะ”
“หมู่นี้ท่านแม่มิใช่ยุ่งจนมือเท้าเป็นระวิงหรอกหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ “ยกพี่เฉียวให้นางเอาไว้ใช้งานน่ะ ถ้านางถาม ก็บอกไปว่า แม้พี่เฉียวถูกลงโทษแล้ว แต่ถ้าให้อยู่ข้างกายคุณชาย ก็ยังไว้น่าไว้ใจ เราจึงไม่คิดใช้พี่เฉียวอีก”
ชูซย่าทำปากยื่นปากยาว ไม่ยอมอยู่บ้าง “คุณหนูเจ้าคะ แบบนี้เป็นการย้ายพี่เฉียวให้ห่างไกลจากคุณชายได้อย่างสมเหตุสมผลก็จริง แต่…จะปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้หรือเจ้าคะ ถ้าไม่ใช่เพราะท่านกับคุณชายดวงแข็ง ก็คง…คิดแล้วไม่อยากยอมให้จริงๆ”
อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ “คืนให้นางก่อนค่อยว่ากันอีกที”
จะรีบร้อนไปทำไม เมื่อเชิญท่านย่ามา ใครจะคิดเล่าว่าท่านย่าจะช่วยตนพาผู้ช่วยแรงดีอย่างหวงน้าสี่มาอีกคน เมื่อเวทีสร้างเสร็จ จะดูงิ้วก่อน หรือดูทีหลัง ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ รอให้หาหลักฐานได้ครบ แล้วค่อยแล่เนื้อเถือหนังนางยังได้
ที่เรือนหลัก
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเพิ่งกลับจากเรือนตะวันตก วันนี้นางถูกสั่งให้ทำโน่นทำนี่เกือบทั้งวัน จนปวดเมื่อยไปทั้งตัว จึงเรียกอาเถากับมอมออีกคนมาบีบนวด
“ตรงนั้นอีกนิด กดลงไปอีก! ออกแรงหน่อยไม่ได้รึไง!” ไป๋เสวี่ยฮุ่ยออกคำสั่ง
คนแก่จากบ้านนอกนี่ก็ไม่รู้ว่าร่างกายทำด้วยเหล็กไหลอะไร คึกยิ่งกว่าวัยรุ่นเสียอีก ตื่นแต่ไก่ยังไม่ทันโห่ได้ทุกวัน ฟ้ายังทันไม่สางก็เรียกให้ทุกคนไปพบแล้ว ตัวเองต้องลำบากตื่นแต่เช้าจนเคยชิน ยังให้คนอื่นแหกขี้ตาตื่นตามอีก คนอื่นสามารถกลับไปหลับฝันดีต่อ แต่นางต้องอยู่ดูแลแม่สามีต่อจนเที่ยง จึงจะกลับไปกินข้าวได้
ถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็ไม่ไหวจริงๆ ไม่รู้ว่าจะกลับกันเมื่อไหร่
ขณะกำลังด่าทอในใจ หน้าประตูก็มีบ่าวสองคนนำตัวคนคนหนึ่งเข้ามา เขาหยุดยืนตรงระเบียง แล้วตะเบ็งเสียง “ฮูหยิน”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยได้ยินเสียงเอะอะจากด้านนอก ก็เลิกผ้าม่านออกไปดู พอเห็นว่าเป็นพี่เฉียวก็อึ้ง
“ส่งมาให้ข้าทำไม ให้คืนคุณชายไปโน่น”
บ่าวผู้หนึ่งตอบ “คุณหนูใหญ่ว่า หมู่นี้ได้ยินฮูหยินบอกว่าขาดคน พอถงฮูหยินมา ก็มีเรื่องที่ต้องทำมากมาย จึงย้ายพี่เฉียวมาให้ฮูหยินใช้งาน”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเบะปาก นังตัวดีคืนหมอนี่มาให้ตนเองแล้ว
พี่เฉียวเพิ่งถูกปล่อยตัวออกมา พอได้ยินว่าถูกคุณหนูใหญ่ย้ายให้ไปรับใช้ฮูหยิน ก็ดีใจออกมาอย่างอดไม่ได้ แต่ตอนนี้พอเห็นฮูหยินเงียบ ก็เริ่มกลัวว่านางจะไม่รับตนไว้ เห็นตนเป็นลูกบอล เตะกลับคืนไปให้คุณหนูใหญ่อีก จึงร้องไห้ขี้มูกโป่ง คลานเข้าไปคุกเข่าตรงหน้า
“ฮูหยินให้บ่าวรับใช้เถิด เรื่องใช้แรงงานบ่าวทำได้ทุกอย่าง…”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเห็นว่าตามร่างกายเขายังมีรอยแผลจากการถูกไม้ฟาดอยู่ หลังจากที่เขาล่ออวิ๋นจิ่นจ้งขึ้นเขา อวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่ไว้ใจหมอนี่อีก จึงส่งต่อมาให้นาง เผื่อสักวันหมอนี่อาจพูดอะไรออกมาบ้าง
พลันโบกมือปราม แล้วพูดเสียงดัง
“ดีล่ะ เมื่อคุณหนูใหญ่กตัญญูเช่นนี้ เจ้าก็ทำงานจิปาถะอยู่นอกเรือนข้าก็แล้วกัน ต่อไป อย่าได้ทำอะไรผิดพลาดเช่นนั้นอีก”
พี่เฉียวโขกศีรษะ “ขอรับ ฮูหยิน!”
หลังจากบ่าวทั้งสองจากไป พี่เฉียวก็เหลียวซ้ายแลขวา พอเห็นว่าไม่มีใคร ก็ถอยหลังออก
อาเถากับมอมอจึงปิดประตูลง พี่เฉียวค่อยพูดผ่านม่านกั้น
“ฮูหยิน บ่าวกลัวว่าท่านจะไม่เอาบ่าวแล้ว ถ้าบ่าวต้องกลับไปรับใช้ข้างกายคุณชายอีก ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถมีชีวิตกลับมาภักดีต่อฮูหยินหรือไม่”
“นี่ก็ไม่ใช่ให้เจ้าอยู่ต่อหรอกรึ” ไป๋เสวี่ยฮุ่ยมองนิ่ง “เรื่องเล่นงานนังสารเลวอนุฟางกับคุณหนูใหญ่ เจ้าไม่ได้ซี้ซั้วพูดแน่นะ!”
“ฮูหยิน…ถ้าบ่าวพูด ตอนนี้คุณหนูใหญ่จะปล่อยบ่าวออกมาได้อย่างไร! บ่าวต้องกัดฟันทนเพื่อฮูหยิน
ยอมให้อนุฟางฟาดจนตาย ก็ไม่ยอมเผยอะไรสักคำเป็นอันขาด!” พี่เฉียวทุบหน้าอก
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยแค่นเสียง ‘เฮอะ’
“อย่ามาหาว่าข้าอยากให้ม้าวิ่งเร็ว แต่ไม่ให้ม้ากินหญ้าเสียล่ะ ถ้าเจ้าภักดีต่อข้า ข้าย่อมตอบแทนเจ้าอย่างงาม หนี้ที่บ่อนจี๋เล่อ ข้าก็ใช้ให้เจ้าหมด จนไม่มีใครตามทวงหนี้เจ้าอีก! ส่วนหงเยียนข้าก็ไถ่ตัวออกมาเรียบร้อย และส่งไปทำงานที่บ้านป้าสี่ของเจ้าชั่วคราวแล้ว…เจ้านี่มันจริงๆ คิ้วโจรตาหนู แต่สายตากลับไม่เลว สาวสวยที่สุดบนเรือสำราญว่านชุน ยังถูกเจ้าพบเห็นจนได้”
“ขอบคุณฮูหยิน ขอบคุณฮูหยิน!” พี่เฉียวดีใจจนโขกศีรษะติดต่อกันหลายครั้ง
ชีวิตกิน ดื่ม พนัน เคล้านารีเช่นนี้ ทำให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยส่ายหน้า ขณะมองตามหลังพี่เฉียวที่เดินตัวปลิวออกไป รู้สึกเสียดายอยู่บ้างว่า ถ้าให้เขาอยู่ข้างกายลูกเลี้ยงนานกว่านี้อีกสักหน่อย คงจะดีไม่น้อย ตนจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงมาก รับรองว่า ภายในสี่ห้าปี ก็สร้างลูกศิษย์สำมะเลเทเมาได้คนหนึ่งแล้ว ทว่าตอนนี้…
ช่างเถอะๆ แม้เรื่องที่บ้านสวน เขาทำไม่สำเร็จ แต่จะดีจะร้ายอย่างไร เขาก็ยังปากแข็ง ไม่เผยความจริงออกมาง่ายๆ ยังเห็นแก่ผู้หญิงและเงินอยู่ ถือว่าภักดีใช้ได้