ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 80-5
ศาลาปทุมหอม ในสวนหลวง
ศาลาทรงสูงและกว้างใหญ่ข้างทะเลสาบเฉิงเทียน ตั้งอยู่บนผืนดินที่บรรจบกับผืนน้ำ รอบๆ บริเวณเป็นสนามหญ้าเปิดโล่งเขียวขจีขนาดใหญ่
นอกศาลา ด้านล่างของบันได ทั้งซ้ายและขวา มีโต๊ะจีนวางเรียงรายยาวดั่งงูเลื้อยอยู่สองแถว บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารและสุราเลิศรส อีกทั้งของว่างและผลไม้ ทุกอย่างล้วนเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อย และมีแขกเข้ามานั่งบ้างแล้ว โดยแขกที่ยิ่งนั่งติดริมทะเลสาบ ก็ยิ่งเป็นแขกที่ใกล้ชิดกับเจี่ยไทเฮา และย่อมเป็นแขกที่มีสถานะสูงส่ง
ด้านหลังของแต่ละโต๊ะมีราชองครักษ์ ขันทีและนางใน ยืนกระจายกันไปในแต่ละจุด รอรับใช้แขกเหรื่อ
เจี่ยไทเฮายังมิได้เสด็จมาที่ศาลา
โต๊ะที่อยู่ด้านล่างศาลาและใกล้เจี่ยไทเฮามากสุด มีผู้สูงศักดิ์แต่งตัวหรูหรางามสง่านั่งอยู่หลายคน
สตรีนางหนึ่งอายุมากหน่อย สวมชุดสีแดงส้ม ท่าทางสงบนิ่ง
อีกนางหนึ่งสวมชุดสีแดงม่วง อายุน้อยหน่อย แม้หน้าตาสะสวย แต่ท่าทางไม่ค่อยน่าเข้าใกล้ สายตามีแววเย่อหยิ่งจองหอง
สนมเอกเฮ่อเหลียนพาอวิ๋นหว่านชิ่นและเหล่าผู้ติดตาม เข้าไปคารวะ
“ถวายพระพรฮองเฮา ถวายพระพรพระมเหสีรอง”
มเหสีรองเหวยกำลังถือถ้วยชากระเบื้องเคลือบที่มีชาผูเอ่อร์สีเหลืองทองอยู่ จึงหันดวงตาหงส์ที่เชิดขึ้นเล็กน้อยมา ก่อนแค่นเสียงเย็นชาเบาๆ คล้ายเสียงยุงไปสองที
กลับเป็นเจี่ยงฮองเฮาที่ถือถ้วยชามรกตไว้ในมือ พลางพูดเสียงอ่อนโยน
“สนมเอกมาแล้ว ลุกขึ้นเถิดแล้วไปนั่งประจำที่”
อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จึงเห็นคนคุ้นเคยที่ยืนตรงอยู่ด้านหลังเจี่ยงฮองเฮา ไป๋ซิ่วฮุ่ย
ซึ่งนางก็กำลังมองมาเช่นกัน น่าจะได้ยินจากนายหญิงของนางมาก่อนแล้วว่าอวิ๋นหว่านชิ่นก็เข้าวังมาร่วมงานเลี้ยงด้วย จึงมิได้แปลกใจอะไรมาก เพียงใช้สายตาที่เย็นชา จ้องมองมาอย่างไม่วางตา
ถ้าสายตาสามารถทิ่มแทงคนได้ ร่างที่ถูกจ้อง น่าจะพรุนไปด้วยรูทั้งตัวตั้งแต่แรกแล้ว
เรื่องดอกลำโพง ไป๋ซิ่วฮุ่ยเคยนึกย้อนว่า วันนั้นตอนออกจากวัง แล้วรีบกลับเข้าวังนั้น ระหว่างทางนางมิได้มีปฏิสัมพันธ์กับใคร ยกเว้นพี่สาว ส่วนคนนอกที่สัมผัสนางในระยะประชิด ก็มีเพียงนังเด็กอวิ๋นหว่านชิ่นนี่ล่ะ…นางในฝ่ายซักรีดเป็นผู้พบดอกลำโพงในแขนเสื้อนาง ซึ่งก่อนจากมา นางถูกเด็กนี่ดึงแขนเสื้อชัดๆ
ถ้าไม่ใช่เด็กนี่แล้ว จะเป็นใครไปได้?
เพียงแต่ไป๋ซิ่วฮุ่ยคิดไม่ถึงว่า ผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากอย่างตน จะถูกคนซุ่มพลิกเรือในรางน้ำ ถูกเด็กบ้านๆ คนหนึ่งเล่นงานเข้าให้
พอได้รับการอำนวยความสะดวกจากเจี่ยงฮองเฮา อวิ๋นหว่านชิ่นก็หันเดิมตามสนมเอกเฮ่อเหลียนเข้าไปนั่งที่โต๊ะ แต่เพิ่งหันไปได้ครึ่งร่าง ก็ได้ยินเสียงของเจี่ยงฮองเฮาดังมา
“แม่นางผู้ติดตามสนมเอกผู้นี้ คือคุณหนูอวิ๋นใช่หรือไม่”
สนมเอกเฮ่อเหลียนจึงรีบหันมาตอบ “เรียนฮองเฮา ใช่เพคะ นางเป็นบุตรสาวคนโตของท่านรองเจ้ากรมอวิ๋น” แล้วจึงหันหาอวิ๋นหว่านชิ่น “ยังไม่รีบเข้าไปกล่าวถวายพระพรฮองเฮาอีก”
อวิ๋นหว่านชิ่นก้าวเข้าไป ก่อนพูดเสียงเบา “ถวายพระพรฮองเฮา ขอจงทรงพระเจริญเพคะ”
เมื่อครู่เจี่ยงฮองเฮาไม่ทันสังเกต รอจนเด็กสาวหันข้างกำลังจะเดินจากไป ค่อยเหลือบมองโดยไม่ได้ตั้งใจ พอเห็นใบหน้าสวยๆ ด้านข้างเข้า ก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนรีบเรียกนางตามสัญชาตญาณ
“ไหนเจ้าเงยหน้าขึ้นซิ” เจี่ยงฮองเฮาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเงยหน้าขึ้นตามคำสั่ง และผู้ที่อยู่ตรงหน้าก็กวาดตามองนางจากหัวจรดเท้า
สีหน้าเจี่ยงฮองเฮาค่อยๆ นิ่ง แล้วรอยยิ้มอันอ่อนโยนและใจดีก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก
“กิริยามารยาทงดงามจริงๆ รับใช้สนมเอกให้ดีๆ ล่ะ ไปเถิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่คิดว่า การที่เจี่ยงฮองเฮาเรียกตนไว้ เพื่อมองตนให้ถ้วนถี่และชมเชยตน แต่ความจริงคืออะไรนั้น ตนก็ไม่อาจจะรู้ได้ พอได้ยินเสียงเร่งให้เดินตามมาของพวกหลานถิง จึงได้แต่เดินตามสนมเอกเฮ่อเหลียนไปยังโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าก่อน
พอเด็กสาวจากไป เจี่ยงฮองเฮาก็ยังคงมองตามไปยังโต๊ะตรงข้ามโดยไม่รู้ตัว แล้วจึงอ้าและหุบริมฝีปาก พลางขมวดคิ้วแน่น
สายตาเมื่อครู่ เหมือนมากจริงๆ แต่ตอนนี้มองไป คล้ายไม่ค่อยเหมือนแล้ว…
ไป๋ซิ่วฮุ่ยรับใช้ข้างกายเจี่ยงฮองเฮามาหลายปี มีหรือจะดูปฏิกิริยาแปลกๆ ในตอนนี้ของนางไม่ออก ตอนที่เห็นนางโพล่งเรียกเฉพาะอวิ๋นหว่านชิ่น ดวงตาก็ร้อนผะผ่าว หัวสมองพลันมีภาพขณะอยู่ในจวนสกุลอวิ๋นวาบผ่าน โดยตอนนั้นตนรู้สึกเหมือนเคยเห็นเด็กคนนี้มาก่อน แต่ก็คิดว่าอาจคิดมากเกินไป หรือ…ตนมิได้คิดมาก?
พอคิดได้เช่นนี้ ไป๋ซิ่วฮุ่ยก็ถกกระโปรงขึ้นสองข้าง รีบก้าวเข้าไปยืนข้างๆ เจี่ยงฮองเฮา แล้วกระซิบข้างหู
“ฮองเฮาเพคะ รู้สึกใช่ไหมว่าคุณหนูอวิ๋นดูคุ้นหน้า เหมือนเคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน”
ไหล่อันบอบบางของเจี่ยงไท่เฮาสะดุ้ง ที่แท้ หัวหน้าไป๋ก็ดูออกเหมือนกัน จึงกดเสียงให้ต่ำลง
“เจ้าก็รู้สึกเช่นนี้หรือ ไหนลองดูซิว่า เค้าหน้าของเด็กคนนี้ ทั้งตาจมูกปาก เหมือน…มากจริงๆ ใช่หรือไม่”
เจี่ยงฮองเฮากลืนน้ำลายลง มิได้พูดออกมา คล้ายเป็นเรื่องต้องห้าม ไม่สะดวกที่จะพูดในสถานที่เช่นนี้ ทว่าไป๋ซิ่วฮุ่ยนึกทุกสิ่งทุกอย่างออกแล้ว และรู้ว่าเจี่ยงฮองเฮาพูดถึงอะไร
“ตอนที่บ่าวเห็นนางครั้งแรก ก็รู้สึกเช่นนี้ แต่ก็มิได้คิดมาก คิดไม่ถึงว่าฮองเฮาก็ทรงคิดเช่นเดียวกัน…” ไป๋ซิ่วฮุ่ยพูดเสียงต่ำ
สายตาของเจี่ยงฮองเฮาเลื่อนลอยและสับสนไปชั่วขณะ
“ใต้หล้ามีคนหน้าเหมือนมากมาย อาจแค่คล้ายกันเท่านั้น” แล้วจึงโบกมือปราม ให้ไป๋ซิ่วฮุ่ยถอยกลับไปด้วยนางรู้สึกไม่ค่อยสบายอย่างเห็นได้ชัด
และแล้ว งานเลี้ยงสังสรรค์ก็เริ่มต้นขึ้น
เจี่ยไทเฮาเสด็จมางานเลี้ยง ท่ามกลางผู้คนในวังห้อมล้อม
ผู้คนที่อยู่กันเต็มพื้นที่ต่างพากันยืนขึ้น แสดงความเคารพและถวายพระพร
เจี่ยไทเฮายังปลื้มปีติยินดีกับพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาไม่หาย จึงมีพลังมากมาย ตอนบอกให้ทุกคนทำตัวตามสบาย น้ำเสียงจึงดังก้องกังวาน
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่า แม้นางอายุหกสิบกว่าแล้ว แต่ก็ยังรักษาสุขภาพร่างกายได้ดีจนดูสาวกว่าผู้สูงอายุในรุ่นราวคราวเดียวกัน ชนิดที่ว่า อายุหกสิบ แต่ดูๆ ไปอย่างมากก็ราวสี่สิบ หรือถ้าบอกว่าสามสิบกว่าก็มีคนเชื่อ
อย่างว่า หมอหลวงที่มีชื่อเสียงด้านการรักษาอายุขัยให้ยืนยาวนั้นมีอยู่ไม่น้อย มิน่าเล่าหญิงสาวหลายคนถึงได้อยากเข้าวัง ขึ้นชื่อว่าผู้หญิง ใครบ้างไม่รักสวยรักงาม เฉพาะแค่บอกว่าสามารถรักษาความอ่อนเยาว์ให้คงอยู่ตลอดกาล ก็ได้ใจผู้หญิงไม่รู้กี่มากน้อยแล้ว และเพียงได้เห็นจิตใจที่เข้มแข็งของเจี่ยไทเฮา ถ้าไม่บอกกันก่อนหน้า ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่านางเป็นภูมิแพ้ละอองเกสรดอกไม้ โรคที่ยากรักษาหายและต้องทรมานไปทั้งชีวิต
เจี่ยไทเฮาเพิ่งเสด็จมาถึงและประทับนั่งลง อวิ๋นหว่านชิ่นก็หันมองไปรอบๆ ด้านขวาของศาลาที่อยู่ใกล้ไทเฮา ยังมีที่นั่งว่างอยู่หลายที่
ขณะเดียวกัน นอกศาลาก็มีเสียงขันทีรายงาน
“องค์รัชทายาท องค์ชายสามฉินอ๋อง องค์ชายแปดเยี่ยนอ๋อง องค์ชายสิบสองลี่อ๋อง องค์ชายสิบสามจิ่งอ๋อง และองค์ชายสิบห้าเฝินอ๋อง เสด็จ”