ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 84-2
เมื่ออวี้โหรวจวงเห็นความหมองคล้ำบนใบหน้าของไทเฮาจางหาย และเห็นว่า คำพูดแต่ละคำของขันทีจู ล้วนเป็นการหาทางออกให้กับอวิ๋นหว่านชิ่นทั้งสิ้น ก็รู้สึกไม่ยอม ไฉนจะยอมรามือง่ายๆ เช่นนี้ จึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า จะไม่สนใจอะไรอีก ตอนอยู่บ้านสกุลอวิ๋นแพ้ก็ว่าไปอย่าง หรืออยู่ในวัง ตนยังจะสู้ลูกสาวของรองเจ้ากรมไม่ได้
รอยยิ้มเย็นชาจึงปรากฏขึ้นบนแก้มสวยดั่งดอกชบา อวี้โหรวจวงหันมามองอวิ๋นหว่านชิ่นตรงๆ พลางว่า
“นางโลมที่เข้าไปในจวนสามคนนั้น แม้คุณหนูอวิ๋นเล่นลิ้นว่าไม่รู้จัก เป็นผู้อื่นให้ร้าย ก็ยังพอจะอภัยให้ได้ แต่มีนางโลมคนหนึ่ง สามถึงห้าวันจะมาจวนรองเจ้ากรมครั้งหนึ่ง โดยแอบเข้าทางประตูข้าง ส่งจดหมายให้สาวใช้คนสนิทของคุณหนูอวิ๋น มองปราดเดียวก็รู้ว่า มีสัมพันธ์อันดีกับคุณหนูอวิ๋น! คุณหนูอวิ๋นจะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญอีกใช่หรือไม่ หรือจะเล่นลิ้นว่า บ่าวในบ้านคบหานางเอง ตนไม่รู้ไม่เห็นด้วย”
เจี่ยไทเฮาตกพระทัย “โหรวจวง นี่ นี่เอานางโลมจากไหนมาอีกคน อย่าซี๊ซั๊วพูดเชียว!”
พูดเช่นนี้ หรือจริงๆ แล้วนังหนูนี่มีนิสัยขบถ ถึงได้คบหากับคนในแวดวงคาวโลกีย์โดยเฉพาะ!
อวิ๋นหว่านชิ่นคิดไม่ถึงว่านางจะพูดถึงหงเยียน จึงเก็บสายตาคืนกลับ พลางคิด อวี้โหรวจวงนี่ ไม่รู้ว่าแอบจับตาดูตนมานานแค่ไหน รู้ลึกแค่ไหน!
สำหรับหงเยียน เป็นเรื่องที่น่ายินดีและไม่คาดคิดของอวี้โหรงจวง ด้วยเดิมทีนางให้เด็กรับใช้ในบ้านไปซื้อตัวเด็กจัดซื้อเครื่องสำอางบนเรือสำราญว่านชุน โดยใช้ประโยชน์จากอาการแพ้น้ำผึ้งของหานเจียว กระตุ้นให้กลุ่มนางคณิกาอย่างพวกนางไปเอาเรื่องกับอวิ๋นหว่านชิ่นที่บ้านสกุลอวิ๋น เด็กจัดซื้อโลภมาก พอได้เงินแล้ว ใยจะไม่ทำงานให้เล่า แถมยังเล่าให้ฟังด้วยว่า บนเรือมีพี่สาวคนหนึ่ง ชื่อหงเยียน หลายวันก่อนก็ถูกคนในบ้านสกุลอวิ๋นซื้อตัวไปเช่นกัน
พอได้ยินคำว่าสกุลอวิ๋น อวี้โหรวจวงก็สะดุ้ง และคิดว่าถ้าไม่ได้ขุดคุ้ย ต้องไม่ยอมรามือแน่ และพอฟังๆ ไป ก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงถามไปอีกหลายประโยค
ที่แท้หงเยียนมิได้เป็นสาวใช้ในบ้านสกุลอวิ๋น แต่อาศัยอยู่ที่ตรอกดอกบัวในบ้านหลังหนึ่ง แถมทำงานเป็นผู้จัดการร้านด้วย จึงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ครั้นบอกให้ลวี่สุ่ยแอบไปสืบดู จึงรู้ว่า หงเยียนไปที่บ้านสกุลอวิ๋นเป็นการส่วนตัวอยู่หลายครั้ง และสื่อสารกับอวิ๋นหว่านชิ่นโดยฝากคำพูดไปกับสาวใช้
พอนึกถึงเรื่องนี้ อวี้โหรวจวงก็ถกกระโปรงขึ้น แล้วคุกเข่าลง
“เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ หม่อมฉันเกรงว่าไทเฮาจะถูกหญิงสาวที่มีลับลมคมในหลอกลวงเอา จึงต้องพูดออกมา ส่วนเรื่องนางโลมสามคนนั่น พูดได้ว่าหม่อมฉันไม่คิดให้รอบคอบก่อนพูด แต่เรื่องนี้ คุณหนูอวิ๋นมิได้คบกับนางเพียงผิวเผินแน่! ซึ่งตอนนี้นางก็อาศัยอยู่ที่บ้านสกุลจู้ ในตรอกดอกบัวของเมืองหลวง นางมีชื่อว่าหงเยียน คล้ายทำงานเป็นผู้จัดการร้านๆ หนึ่งบนถนนจิ้นเป่า และมักไปหาคุณหนูอวิ๋นที่ประตูข้างของบ้านสกุลอวิ๋น…ทรงสามารถให้คนไปตรวจดูได้ทุกเมื่อ ก็จะรู้ทุกอย่างเพคะ!”
อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะ “คำพูดของคุณหนูอวี้ขัดแย้งในตัวเองจริงๆ เมื่อนางอาศัยอยู่ในบ้านของชาวบ้านธรรมดา อีกทั้งยังทำงานเป็นผู้จัดการร้าน แล้วนางโลมมาจากไหน! คุณหนูอวี้พูดแต่คำว่านางโลมๆ ทำให้ผู้หญิงดีๆ คนหนึ่งเสียหายก็แล้วกันไป แต่ไม่กังขาว่าจะทำให้ปากของตัวเองสกปรกหรือ!”
อวี้โหรวจวงเป็นคนเย่อหยิ่ง หลงตัวเองว่าสวยสง่า ไหนเลยจะอยากพูดคำว่านางโลมบ่อยๆ คิดแล้วก็คับแค้นใจ ที่ตนเองต้องเป็นเหมือนนางร้ายเช่นนี้ ก็เพราะอวิ๋นหว่านชิ่นบีบให้ทำ จึงพูดเย้ยหยันกลับ
“ไม่ว่าอย่างไร แม้เป็นนางโลมหนึ่งวัน ก็ต้องอัปยศไปชั่วชีวิต! คุณหนูอวิ๋นไม่รังเกียจคนเหล่านี้ก็แล้วกันไป แต่การคบหาเป็นสหายสนิทนี่สิ แม้จวนรองเจ้ากรมไม่ใช่จวนขุนนางชั้นสูง แต่เมื่อเป็นจวนขุนนางของราชสำนัก และคุณหนูอวิ๋นเป็นคุณหนูลูกขุนนาง ก็ควรระวังคำพูดและการกระทำของตน แต่พฤติกรรมในตอนนี้ เห็นกันจะๆ ว่าทำให้คุณหนูลูกขุนนางในเมืองหลวงทั้งหมดขายหน้า! ฝ่าบาททรงพระเมตตา ไทเฮาทรงพระกรุณา ต้าเซวียนเราเปิดกว้างทางอารยธรรม ผู้หญิงมิได้ถูกจำกัดการกระทำมากเท่าสมัยก่อน แต่แม้เปิดกว้าง ก็ไม่ถึงกับอยู่ปะปนกันได้ทุกชนชั้นโดยไม่มีขอบเขตจำกัด! คุณหนูอวิ๋นละเมิดคำสอนกุลสตรี ฝ่าฝืนธรรมเนียมปฏิบัติ ไทเฮาเพคะ คนเช่นนี้ อย่าว่าแต่พักค้างคืนในวังเลย งานเลี้ยงครั้งหน้า เกรงว่าคงไม่สะดวกที่จะเข้าร่วมงานอีก! เพื่อไม่ให้คุณหนูต้าเซวียนทั้งหลายเห็นนางเป็นเยี่ยงอย่าง แล้วเลียนแบบตาม พากันคบหาคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้า ทำให้แวดวงสตรีชั้นสูงยุ่งเหยิงกันไปหมด!”
แต่ละประโยคประหนึ่งสายฟ้าฟาด เฉียบคมและรุนแรง ฟาดเปรี้ยงหนักๆ ลงมา ไม่คิดถนอมน้ำใจไมตรีแม้แต่น้อย
กลุ่มคนกลั้นหายใจ สีหน้าที่เพิ่งดูดีขึ้นบ้างของเจี่ยไทเฮา เริ่มมืดครึ้ม หมองคล้ำไปสักพัก
อีกด้านหนึ่ง ขันทีน้อยที่รัชทายาทสั่งให้ไปสืบเรื่องดู ก็วิ่งกลับมาที่ศาลาปทุมหอม แล้วรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นริมทะเลสาบเฉิงเทียนให้รัชทายาทฟังอย่างละเอียด ทำให้องค์ชายที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน พลอยได้ยินไปด้วย
เยี่ยนอ๋องใช้ศอกสะกิดฉินอ๋อง ก่อนกระซิบล้อ
“ผู้หญิงของเสด็จพี่สามนี่โดดเด่นจริงๆ เพิ่งเข้าวังเป็นวันแรก ยังไม่ทันข้ามวัน ก็มีเรื่องไม่หยุดไม่หย่อน ถูกคนจับจ้องอีกแล้ว แต่ข้าว่านะ จากความสามารถของนาง น่าจะไม่มีปัญหา…”
ซย่าโหวซื่อถิงไม่ได้พูดอะไร สีหน้าก็ไม่เปลี่ยน เพียงหลุบตาลงขณะแววตามืดหม่น จะไม่มีปัญหาได้อย่างไร หญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน ถูกคนชี้หน้าด่าว่าคบหานางโลม ต่อหน้าคุณหนูสูงศักดิ์ทั้งเมืองหลวง ถ้าไม่ขจัดมลทินนี้ให้หลุดออกจากตัว ต่อไปก็ต้องแบกรับชื่อเสียงที่ไม่น่าฟังนี้ไปตลอดชีวิต
รัชทายาทที่นั่งอยู่ข้างๆ พอฟังจบ ก็ขมวดคิ้ว ก่อนเลิกคิ้วยาวขึ้น
“ระหว่างผู้หญิงด้วยกันนี่น่าเบื่อชะมัด บุตรีของอวี้เหวินผิงนั่นก็กินยาอะไรผิด ถึงรู้สึกไม่สบาย ถ้าไม่ได้หาเรื่อง”
ขันทีน้อยได้แต่ขานรับพ่ะย่ะค่ะ รัชทายาทพึมพำสักพัก ขณะจะลุกเดินไปดับไฟ ก็มีคนเอียงตัวเข้ามาใกล้ แกะฝ่ามือที่วางไว้บนตักออก แล้วยัดกระดาษแผ่นเล็กๆ แผ่นหนึ่งเข้าไป
เป็นฉินอ๋อง
รัชทายาทเอะใจ จึงก้มลงดูแผ่นกระดาษ เห็นมีคำพูดสั้นๆ เขียนไว้ และมีชื่อคนอีกสองคนกำกับอยู่
จึงหันมองคนข้างๆ ซึ่งนั่งหน้าตาเฉย คล้ายกำลังระแวดระวัง ก่อนวางท่าที หยิบถ้วยหยกขึ้น ค่อยๆ ละเลียดน้ำชา คล้ายเขาไม่ใช่คนส่งกระดาษให้
ชิ่นเอ๋อร์รู้จักพี่สามด้วยหรือ แถมยังทำให้ตอไม้หน้าตายอย่างพี่สามลงมือช่วยนางได้อีก? หึๆ เยี่ยมจริงๆ
รัชทายาทยกมุมปากขึ้น ไม่ได้พูดอะไรมาก หันไปกำชับขันทีน้อยคนสนิทเสียงเบา
“ไปเรือนเหยาหวา เชิญเสด็จลุงมาหน่อย”
ขันทีน้อยอึ้ง เรือนเหยาหวาที่รัชทายาทพูดถึง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตำหนักบูรพา ซึ่งขณะนี้พระมาตุลาเจี่ยงยิ่น พี่ชายของเจี่ยงฮองเฮาพำนักอยู่
พระมาตุลาท่านนี้ เป็นคนแปลก เมื่อก่อนตอนยังหนุ่มเป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก มีความซื่อสัตย์ยุติธรรม เป็นศัตรูกับคนชั่ว ทำอะไรเฉียบขาดแข็งกร้าว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม จึงได้รับความไว้วางใจจากหนิงซีฮ่องเต้เรื่อยมา เคยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ออกตรวจเยี่ยมประชาชนทั่วทุกสารทิศ กำจัดข้าราชการโกงกิน ขุนนางกบฏ ตรวจสอบความไม่เป็นธรรม บัญชาการรบ พร้อมกระบี่อาญาสิทธิ์ในมือ จึงมีอำนาจเด็ดขาดที่จะดำเนินการก่อน รายงานทีหลัง ดังนั้นไปถึงที่ใด ผู้ฉ้อราษฏร์บังหลวงล้วนตื่นตกใจ หลายคนเข่าอ่อน สารภาพความผิดออกมาเองในที่สุด
ต้าเซวียนในช่วงนั้นจึงมีขุนนางตงฉินจำนวนไม่น้อย กระทั่งเพลงพื้นบ้านที่ร้องว่า “มีเจี่ยงยิ่น ไร้โกงกิน” ก็ยังเป็นที่นิยมไปทั่วทั้งแผ่นดิน
พระมาตุลาเจี่ยงยิ่นอายุไม่ถึงสามสิบก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นอำมาตย์ ซึ่งหาได้ยากยิ่งในราชสำนัก อีกทั้งยังมีน้องสาวเป็นฮองเฮา มีรัชทายาทที่เรียกเขาว่าเสด็จลุง เดิมทีก็น่าจะยินดีปรีดากับอนาคตอันสุขสมบูรณ์ แต่เมื่อสามปีก่อน ไม่รู้ทำไม กลับขอลาออกจากราชการ ไปบำเพ็ญเพียรที่วัดในหุบเขาลึกเสีย
ซึ่งหนิงซีฮ่องเต้ย่อมไม่ปล่อยให้พระญาติขุนนางคนสำคัญจากไปดื้อๆ เช่นนี้ แต่รั้งตัวกี่ครั้ง ก็รั้งไว้ไม่อยู่ จึงได้แต่ปล่อยไป