ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 86-2
ผ่านไปสักพัก หนิงซีฮ่องเต้ค่อยเอ่ยปาก
“ที่แท้คนที่เจ้าเล็งไว้ก็คือเด็กสาวคนนั้นนี่เอง แม้เราไม่เคยเห็นหน้านาง แต่เมื่อวานก็ได้ยินจูซุ่นกับเจี่ยงยิ่นพูดถึงอยู่ รู้สึกเหมือนกันว่านางมีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญแบบที่กุลสตรีทั่วไปไม่มี น่าสนใจ”
พอสนมเอกเฮ่อเหลียนได้ยินก็แอบดีใจ ขนาดฝ่าบาทก็ยังรู้สึกว่านังหนูใช้ได้ เช่นนี้ก็มีความหวังแล้ว
“แต่ ฝ่าบาทเพคะ เด็กสาวคนนั้นแม้ดูเป็นคนละเอียดอ่อน ไม่ละเลยสิ่งละอันพันละน้อย แต่ความคิดจิตใจคล้ายผู้ชายอยู่บ้าง เหมาะกับซื่อถิงมาก ถึงบิดานางเป็นรองเจ้ากรมกลาโหม แต่หม่อมฉันได้ยินมาว่า เหมือนจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้ากรมในไม่ช้า เช่นนั้นก็เท่ากับเป็นขุนนางชั้นสอง ซึ่งพอจะได้อยู่ถ้าจะให้เป็นชายารองของซื่อถิง”
พูดถึงตรงนี้ สนมเอกเฮ่อเหลียนก็คิดว่าเรื่องนี้น่าจะสำเร็จแปดถึงเก้าในสิบส่วน ด้วยสถานะของฝ่ายหญิงเหมาะสมกับตำแหน่ง อีกทั้งยังเป็นที่ชื่นชอบของเจี่ยไทเฮา และได้รับคำชมจากฝ่าบาทไม่น้อย ยังจะมีปัญหาใหญ่อะไรอีก
แต่ผิดคาด พอสนมเอกพูดออกมาตรงๆ เช่นนี้ หนิงซีฮ่องเต้กลับปิดปากเงียบ ไม่พูดไม่จา ไม่มีรอยยิ้มให้ชื่นชมแบบเมื่อครู่อีก
สนมเอกจึงสะดุดกึก “ฝ่าบาท ทรงรู้สึกว่าคุณหนูอวิ๋นไม่ดีหรือเพคะ…”
หนิงซีฮ่องเต้โบกมือ “ไม่ใช่ไม่ดี”
ไม่ใช่ไม่ดี อาการลังเลใจของฝ่าบาทที่จะให้อวิ๋นหว่านชิ่นเป็นชายารองของเจ้าสาม ทำให้สนมเอกเฮ่อเหลียนแปลกใจ หรือฝ่าบาทรู้สึกว่าคุณหนูอวิ๋นยังไม่ดีพอสำหรับตำแหน่งชายารอง ต้องรอพิจารณาอีก? แต่ดูจากสีหน้าของพระองค์ ก็ไม่เหมือนกำลังหาข้อบกพร่องของคุณหนูอวิ๋นอยู่…แต่จะพูดอะไรมากก็ไม่ดี จึงจัดฉลองพระองค์ให้เข้าที่ต่อ
พอดีกับเสียงอันนอบน้อมของเหยาฝูโซ่วดังขึ้นที่นอกม่าน
“เกี้ยวพระที่นั่งพร้อม ได้เวลาเสด็จท้องพระโรงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หนิงซีฮ่องเต้ “อืม” ออกมาคำหนึ่ง แต่พอเห็นสนมเอกคล้ายผิดหวังอยู่บ้าง ก็ทรงปลอบโยน
“อวี้เยียน วันนี้เราปฏิบัติราชกิจเสร็จ ค่อยมาชมดอกเหมยบานร่วมกับเจ้า เช้านี้เวลาจำกัด ยังชมได้ไม่เต็มอิ่มเท่าไหร่”
ตอนสนมเอกเฮ่อเหลียนไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัด ก็ผิดหวังจริงๆ แต่พอได้ยินฝ่าบาทว่า เสร็จราชกิจแล้วจะมาอีก ก็ดีใจ โค้งกายลงอย่างนิ่มนวล
“อวี้เยียนจะอยู่ในตำหนักคอยปรนนิบัติฝ่าบาททุกเมื่อเพคะ” ว่าแล้วก็เดินไปส่งพระองค์ออกว่าราชการ
ตอนหนิงซีฮ่องเต้เดินผ่านลานในตำหนัก ก็เหลือบไปเห็นหลานถิงเดินฝ่าความหนาวเย็นออกมาจากสวนดอกเหมย พลางอุ้มน้ำแข็งก้อนใหญ่ไว้กับอก พอเดินมาปะกับโอรสสวรรค์ ก็ยืนนิ่งอยู่กับที่
เมื่อวาน หลานถิงรีบทำตามคำแนะนำของคุณหนูอวิ๋น ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งก้อน แล้วขุดหลุมตื้นๆ ฝังไว้ใต้ต้นเหมย คุณหนูอวิ๋นยังบอกอีกว่า ถ้าดอกเหมยบานแล้ว ให้นำก้อนน้ำแข็งออกมา จะวางไว้ตลอดไม่ได้ เลี่ยงไม่ให้เกิดผลในทางกลับกัน และพอหลานถิงเห็นหนิงซีฮ่องเต้เดินออกจากสวนดอกเหมย ก็รีบทำตามคำพูดของคุณหนูอวิ๋น นำก้อนน้ำแข็งออกมา ด้วยเกรงว่าจะวางไว้ใต้ต้นเหมยนานจนเกินไป คิดไม่ถึงว่าจะพบเจอกับหนิงซีฮ่องเต้เข้า
เป็นไปตามคาด ทรงหยุดฝีเท้า ก่อนถามตามสามัญสำนึก
“อากาศเย็นขนาดนี้ เจ้าถือก้อนน้ำแข็งไว้ในมือทำไม”
หลานถิงมองนายหญิง ซึ่งพระสนมเอกก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง กลับคิดว่า นี่เป็นโอกาสดี จึงก้าวเข้าไปทูลเสียงเบา
“ฝ่าบาทเพคะ ปีนี้ที่หม่อมฉันโชคดี ได้ที่หนึ่งเรื่องดอกเหมย มิใช่เพราะเทพดอกไม้คุ้มครอง แต่เพราะได้ผู้เชี่ยวชาญอย่างคุณหนูอวิ๋นมาช่วยเหลือ พวกเราถึงได้ชื่นชมดอกเหมยในปลายฤดูใบไม้ร่วงต้นฤดูหนาวกัน”
หนิงซีฮ่องเต้อึ้ง “นาง ทำให้ดอกเหมยบานก่อนกำหนดได้อย่างไร”
สนมเอกเฮ่อเหลียนเล่าวิธีการของอวิ๋นหว่านชิ่นให้ฟังคร่าวๆ เพียงหวังให้ฝ่าบาทประทับใจ ชื่นชม และยอมรับในตัวอวิ๋นหว่านชิ่น นี่เป็นสิ่งที่นางสามารถช่วยโอรสเท่าที่จะช่วยได้มากที่สุด นอกเหนือจากนี้ก็ขึ้นกับโชคของเด็กสาวแล้ว
พอได้ยินว่า น้ำด่างเร่งดอกไม้ให้บานได้ คิ้วเข้มของหนิงซีฮ่องเต้ก็ขยับทันที พลางพึมพำ
“น้ำด่างเร่งดอกเหมยบาน”
“ใช่เพคะ” สนมเอกหัวเราะ “ตอนที่หม่อมฉันได้ยิน ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์เช่นกัน ไม่รู้ว่านังหนูไปเอาความคิดแผลงๆ นี้มาจากไหน ไม่คิดว่าจะใช้ได้ผลจริงๆ”
สีหน้าหนิงซีฮ่องเต้คืนกลับดังเดิม ยกมุมปากขึ้น ฝืนยิ้ม
“อืม ลูกสาวของอวิ๋นเสวียนฉั่งคนนี้ มีความคิดแผลงๆ ไม่น้อย”
แม้กำลังพูดชมเชย แต่น้ำเสียงกลับแห้งแล้งชอบกล คล้ายไม่เต็มใจพูดออกมา
เหยาฝูโซ่วอ่านสีหน้าคนเก่ง ลอบมองสีหน้าของหนิงซีฮ่องเต้ แล้วจึงกระแอมไอเบาๆ ออกมาสองที ก่อนพูดอย่างอ่อนน้อม
“ได้เวลาเสด็จท้องพระโรงแล้วพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าเหล่าขุนนางจะมากันพร้อมหน้าแล้ว”
สนมเอกเฮ่อเหลียนจึงไม่กล้าพัวพันฝ่าบาทอีก โค้งกายลง “น้อมส่งเสด็จ”
หนิงซีฮ่องเต้ปรายตามองสวนดอกเหมยจากระยะไกล แล้วจึงเสด็จออกจากตำหนักชุ่ยหมิงพร้อมเหยาฝูโซ่ว
ทว่า พอเกี้ยวพระที่นั่งเลี้ยวตรงมุมกำแพงมาได้ครึ่งทาง ก็พลันหยุดลง
เหยาฝูโซ่วที่เดินตามอยู่ด้านหลัง รีบวิ่งเข้ามา คิดว่าฝ่าบาทอาจมีธุระจะให้ไปดำเนินการ
พระหัตถ์เรียวยาวขาวเนียนของหนิงซีฮ่องเต้เลิกผ้าม่านขึ้น
“ดูเหมือนยังเช้าอยู่ เราขอไปถวายพระพรไทเฮาที่ตำหนักฉือหนิงก่อน แล้วค่อยไปท้องพระโรง”
ถวายพระพรไทเฮา? เหยาฝูโซ่วอึ้ง ฝ่าบาทเป็นคนกตัญญู ต่อให้ราชกิจยุ่งเพียงใด ในวันหนึ่งๆ ก็ต้องเจียดเวลาเสด็จไปถวายพระพรไทเฮาสองถึงสามครั้ง แต่ตามปกติ ช่วงเช้าจะเสด็จหลังประชุมท้องพระโรงนี่นา ไม่เคยรีบเสด็จก่อนประชุมมาก่อน ขณะจะถามเพิ่มเติม กลับเปลี่ยนใจ คิดว่าฝ่าบาทอาจมีจุดประสงค์อื่น…จึงกลืนคำถามลง รีบกำชับคนแบกเกี้ยวพระที่นั่งให้เปลี่ยนเส้นทางไปตำหนักฉือหนิง
ตำหนักฉือหนิง
เมื่อเย็นวาน หลังจากอวิ๋นหว่านชิ่นได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากเจี่ยไทเฮาให้พักค้างคืนในวังและมาถึงตำหนักฉือหนิง ก็ถูกจัดให้นั่งตรงเก้าอี้นั่งเล่นริมหน้าต่าง จับเข่าคุยอย่างเป็นกันเองกับเจี่ยไทเฮาอยู่นานสองนาน เนื่องจากเต็มไปด้วยเรื่องเล่าสนุกสนานของสามัญชน เรื่องสง่างามต่างๆ ของกุลสตรี อีกทั้งขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ ในการทำเครื่องประทินผิว นางล้วนเล่าออกมาหมด ซึ่งเจี่ยไทเฮาก็เพลิดเพลินยิ่ง หัวเราะจนหุบปากไม่ลง จวบจนได้ยินเสียงกรับบอกเวลายามสอง จูซุ่นและมอมอคนสนิทจึงเร่งรัดให้ทรงเข้าบรรทม เจี่ยไทเฮาจึงยอมเข้าบรรทมอย่างไม่เต็มใจนัก
จากนั้น อวิ๋นหว่านชิ่นก็ถูกจัดให้นอนในห้องที่ติดกับห้องพระบรรทม เดิมทีนึกว่าอาจนอนไม่หลับเพราะแปลกที่ แต่เข้าวังคราวนี้ เกิดเรื่องขึ้นมากมาย นางจึงรู้สึกอ่อนล้า พอได้นอนบนเตียงที่ใหญ่โตและนุ่มนิ่ม เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็แทบจะรวมเป็นเนื้อเดียวกับผิว พอหัวถึงหมอนไม่นานก็หลับปุ๋ย ไม่ฝันตลอดทั้งคืน
รุ่งเช้า พอฟ้าสว่าง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ตื่นขึ้น ล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย การนอนหลับสนิทบนที่นอนนุ่มนิ่มเมื่อคืน ทำให้จิตใจแจ่มใสเต็มที่ พอมองดูท้องฟ้า และเห็นว่าได้เวลาออกจากวัง สาวใช้ในตำหนักก็พาไปเฝ้าไทเฮาเพื่อถวายพระพรลา
เจี่ยไทเฮามองดูนังหนูที่ตื่นขึ้นพร้อมหน้าตาอิ่มเอิบแจ่มใส แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ ดวงตาทอประกาย ฉายแววฉลาดเฉลียวยิ่ง จากเสื้อผ้าสีอ่อนสวยสง่าที่ใส่ตอนเข้าวังเมื่อวาน ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นชุดใหม่ ที่คนในวังเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งเป็นคนละแบบกับเมื่อวาน ชุดกระโปรงผ้าแพรยาวลากพื้นห้าสี ทำให้ดูสดใสอ่อนโยน และมีเสน่ห์ ติ่งหูเล็กๆ ทั้งสองข้างห้อยต่างหูสีแดงปะการังไว้ ขับผิวให้ดูขาวเนียนดุจน้ำนมอย่างเห็นได้ชัด