ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 87-4
มิน่าเล่า
อวิ๋นหว่านชิ่นหันเดินออกไป จูงมือหงเยียนที่กำลังจัดสินค้าบนชั้นวาง เข้าไปหลังบ้าน
พอหงเยียนเห็นว่าคุณหนูใหญ่รู้เรื่องแล้ว ก็ยืนอึ้ง
เมื่อวาน ตอนราชองครักษ์พาออกนอกประตูวัง ตนเห็นสวี่มู่เจนยืนรออย่างกระวนกระวายใจ จึงนึกถึงก่อนเข้าวัง ที่เขาเข้ามาปลอบโยนขณะอยู่ในร้าน ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่าตนทำผิดอะไร ช่วงวัยเด็กที่ถังโจว ไม่ว่าตนจะฝึกวิชา หรือฝึกขี่ม้า บิดากับพี่ชายจะคอยยืนดูอยู่ไม่ห่าง ด้วยกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น ยามที่ตนล้มลงกับพื้น พี่ชายจะรีบวิ่งเข้ามาเป็นคนแรก แล้วกอดตนไว้
หลังผ่านความยากลำบากและต้องอยู่อย่างอัปยศมาสามปี ตอนออกจากวังแล้วรู้ว่า มีความเป็นไปได้ที่จะฟื้นคืนชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ใจนางก็เต้นโครมคราม ประกายแห่งความหวังถูกจุดขึ้นมาใหม่ หรือตนยังสามารถใช้ชีวิตแบบเดียวกับหญิงสาวธรรมดาทั่วไปได้
พอผละออกจากผู้คน หงเยียนก็ทำตามความรู้สึกของตน ยื่นแขนทั้งสองข้าง โอบเอวชายหนุ่มทันที
และการผลักออกของสวี่มู่เจิน ค่อยทำให้นางได้สติ
ทว่านางก็ไม่โกรธแต่อย่างใด เพียงตื่นขึ้นอย่างบริบูรณ์
คิดได้ว่า ต่อให้สามารถฟื้นคืนชื่อเสียงวงศ์ตระกูล นางก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีก
ชายใดจะชมชอบหญิงสาวที่แปดเปื้อนคาวโลกีย์
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่เคยเห็นแววตาในตอนนี้ของหงเยียนมาก่อน จึงงุนงงไปชั่วขณะ ได้แต่ตำหนิญาติผู้พี่ในใจ “หงเยียน ญาติผู้พี่ข้าเป็นคน…”
หงเยียนเงยหน้าขึ้นแย้มยิ้ม ก่อนยักคิ้วหลิ่วตา ดึงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดริมฝีปากชมพู พลางส่งเสียงหัวเราะดุจระฆังเงิน
“คุณหนูใหญ่พูดเรื่องอะไรน่ะ! ข้ากับคุณชายสวี่ก็มักจะเป็นแบบนี้ เขาคิดจริงจังก็แล้วกันไป แต่ท่านทำไมถึงพลอยจริงจังไปกับเขาด้วยเล่า! ถ้าพวกท่านล้วนเป็นแบบนี้ ต่อไปข้าก็ไม่กล้าล้อเล่นกับพวกท่านแล้ว!”
พอดีมีลูกค้าเดินเข้าร้านมา หงเยียนจึงรีบพยักหน้ายิ้ม พลางเดินออกไปทักทายลูกค้า
อวิ๋นหว่านชิ่นเพียงรู้สึกว่าการยิ้มแบบมองโลกในแง่ดีและไร้ซึ่งความกังวลใดๆ ของนาง เป็นการเสแสร้งแกล้งทำ ตนถามมากไปก็ไม่ดี แต่จากนิสัยใจคอของหงเยียน ไม่น่าจะมีอะไร ตนจึงต้องเข้าไปในร้าน เปิดอกพูดกับสวี่มู่เจินอีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นได้รับพระกรุณาธิคุณให้พักอยู่ในตำหนักฉือหนิงเมื่อเย็นวานนั้น ในจวนรองเจ้ากรมก็เริ่มมีบรรยากาศคึกคัก
ช่วงเย็นวาน หลังจากราชองครักษ์ส่งอวิ๋นหว่านถงกลับจวน ก็มีคนในวังมาที่จวน แจ้งเรื่องลูกสาวทั้งสองให้อวิ๋นเสวียนฉั่งทราบ บอกว่าลูกสาวคนโตถูกไทเฮารั้งตัวให้ค้างคืนในวัง ส่วนลูกสาวคนเล็กถูกไทเฮาจับคู่ให้แต่งเข้าจวนเว่ยอ๋อง รอก็แต่หนิงซีฮ่องเต้พระราชทานสมรส สำนักพระราชวังผูกดวง กำหนดฤกษ์ยาม พอจัดการทุกอย่างเสร็จ ถ้าไม่มีปัญหา จวนเว่ยอ๋องตกลงส่งคนมารับเจ้าสาว ค่อยลากตัวรองเจ้ากรมอวิ๋นมากำชับเพิ่มเติมอีกครั้ง
อวิ๋นเสวียนฉั่งกับถงฮูหยินจึงดีใจไม่หยุด สั่งให้คนในบ้านจัดสุราอาหารทันที แล้วหันไปบอกคนในวังให้อยู่ร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน จากนั้นก็ทำใจกว้างอย่างที่นานๆ จะเห็นสักครั้ง ด้วยการบอกให้ม่อไคไหลไปที่ห้องบัญชี หยิบเงินตำลึงมงคลใส่ซองแดงมา แล้วยัดใส่มือของคนในวังทุกคน
เมื่อลูกสาวทั้งสองล้วนทำสำเร็จ คนเล็กนั่น กระทั่งองค์ชายก็ยังตกได้ ไหนเลยจะมัวเสียดายเงินไม่กี่ตำลึงนี้อีก อนุฟางยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดีใจจนแทบจะหยุดหายใจเลยทีเดียว
และพอจนคนในวังจากไป บ้านสกุลอวิ๋นก็ยุ่งวุ่นวายกันยกใหญ่ ถงฮูหยินเป็นคนเก็บอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ เมื่อในบ้านมีภรรยาน้อยของอ๋องอยู่ทั้งคน ถือเป็นเกียรติและศักดิ์ศรีต่อบรรพบุรุษ จึงสั่งให้บ่าวไปซื้อห่านย่างหมูย่าง กลับมาจุดธูปบูชาบรรพบุรุษ ขาดแค่ซื้อปะทัดสองแถวมาจุดเท่านั้น
พออวิ๋นหว่านถงกลับถึงเรือน ก็รู้สึกว่าบ้านสกุลอวิ๋นไม่เหมือนเมื่อก่อน ไหนเลยยังมีความรู้สึกต้อยต่ำที่ต้องคอยเป็นผู้ตามแบบเมื่อก่อนอีก เวลาพูดก็เสียงดังขึ้นมาก ตนในตอนนี้คือความภาคภูมิใจของบ้านสกุลอวิ๋น เวลาไปไหนมาไหนก็ต้องเชิดหน้าให้สูงเข้าไว้
ด้านอวิ๋นเสวียนฉั่ง พอส่งคนในวังกลับ ก็เริ่มยุ่งอยู่กับการเตรียมออกเรือนของลูกสาวคนเล็ก โดยมีเถาฮวาคอยรับใช้นายอยู่ในเรือนหลัก ส่วนฮุ่ยหลานกับเหลียนเหนียงก็คอยช่วยถงฮูหยินทำธุระปะปัง
คืนนั้นบ่าวในบ้านไม่พอ ฮุ่ยหลานจึงถูกส่งไปช่วยเหลียนเหนียงในห้องครัว นางเฉือนเนื้อย่างเพื่อใช้เซ่นไหว้บรรพบุรุษ พลางทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้
“ล้วนเป็นเมียน้อยคนอื่นกันทั้งนั้น เป็นเมียน้อยจ้าวไม่รุ่งหรอก ดูอย่างคุณหนูรองที่เป็นอนุจวนโหวนั่นปะไร พูดมากไปก็ไม่ดีอีก”
“ก็แหงอยู่แล้ว” เหลียนเหนียงปาดเหงื่อ “การเป็นสะใภ้จ้าว ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะฝันกันได้ แต่พูดแล้วก็คิดไม่ถึงเหมือนกันนะ คุณหนูสามที่ดูเงียบๆ หงิมๆ อีกทั้งเป็นลูกเมียน้อย กลับได้แต่งกับคนที่ดีที่สุด”
แต่ฮุ่ยหลานไม่ค่อยจะเห็นด้วย
“คุณหนูใหญ่ยังไม่แต่งสักหน่อย จะตัดสินได้อย่างไรว่าคุณหนูสามได้แต่งกับคนที่ดีที่สุด เจ้าดูสิ คราวนี้คุณหนูใหญ่ถูกรั้งตัวให้ค้างคืนในวัง ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นที่ชื่นชอบ จะมีพระกรุณาธิคุณถึงเพียงนี้เชียวหรือ ข้าว่า ดวงของคุณหนูใหญ่ไม่แน่ว่าจะสู้ดวงของคุณหนูสามไม่ได้”
เหลียนเหนียงเฉือนชิ้นเนื้อ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองฮุ่ยหลาน จะว่าไป ลูกสาวทั้งสามของบ้านสกุลอวิ๋น สองคนน้องล้วนออกเรือนไปกันหมด กลับเป็นพี่ใหญ่ที่ยังไม่ออกเรือน แต่…ลึกๆ แล้ว สิ่งที่นางอยากให้เป็นไปมากที่สุดก็คือ คุณหนูใหญ่ออกเรือนไปเร็วหน่อย
ไม่รู้เพราะเหตุใด เหลียนเหนียงถึงได้รู้สึกว่า คุณหนูใหญ่ไม่ค่อยชอบตน คอยขัดตนแทบทุกเรื่อง แม้มิได้แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง แต่ตนก็รู้สึกได้ถึงความแรง
โดยเฉพาะตอนคุณหนูใหญ่อยู่ในจวน มักบอกให้สาวใช้ข้างกายอย่างเมี่ยวเอ๋อร์กับชูซย่าจับตาดูตนเป็นระยะ อย่าว่าแต่ก้าวออกจากก้นครัวควันขโมงโฉงเฉงนี้เลย ขยับตัวทำอะไรมากหน่อยก็ยังยาก
อีกทั้งเหลียนเหนียงยังรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่บ้าง ขณะมองผ่านหน้าต่างบานเล็กหลังห้องครัว แล้วเหลือบไปเห็นเรือนหลักที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล หรือขณะมองผ่านบานประตูที่เปิดออก แล้วเห็นโคมไฟสว่างไสวตรงระเบียงทางเดิน ก็คล้ายเห็นร่างอันบอบบางที่เริงร่ามีชีวิตชีวาของเถาฮวา…สายตาเหลียนเหนียงในตอนนี้จึงทั้งมืดมนและดุร้าย ไม่อ่อนโยนเหมือนวันก่อนๆ อีก
ซึ่งนอกจากต้องคอยมองดูยัยนั่นใกล้ชิดสนิทสนมและได้รับความไว้วางใจจากนายท่านในแต่ละวันแล้ว วันก่อน กระทั่งของล้ำค่าอย่างเข็มกลัดดอกกล้วยไม้ นายท่านก็ยังหลับหูหลับตาให้นางไปได้ นานวันเข้า ไหนเลยยังจะมีผลไม้ดีๆ สำหรับตนอยู่อีก
สองวันนี้ที่คุณหนูใหญ่ไม่อยู่บ้าน หลังบ้านจึงหย่อนยานลง ถือเป็นโอกาสที่ดี
โดยวันที่สอง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ยังอยู่ที่ร้านบนถนนจิ้นเป่า ยังไม่กลับมา หลังจากเหลียนเหนียงต้มน้ำและทำงานในครัวเหมือนทุกๆ วันเสร็จ ก็ได้ยินว่า วันนี้นายท่านไม่ไปขานชื่อ ทว่าออกนอกบ้านพร้อมพ่อบ้านม่อแต่เช้า ไปสั่งตัดชุดเจ้าสาวและจัดการเรื่องการออกเรือนให้คุณหนูสาม
ส่วนถงฮูหยินผู้ซึ่งไม่ชอบออกนอกบ้านเป็นที่สุด แต่เมื่อในบ้านมีเรื่องมงคลที่ใหญ่ขนาดนี้ จึงต้องพาหวงน้าสี่นั่งรถม้าออกจากบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ไปทำบุญไว้พระที่วัดทางทิศเหนือของเมือง
นี่เป็นโอกาสฟ้าประทานชัดๆ คนในบ้านล้วนไม่อยู่กันหมด โดยเฉพาะผู้ที่เปรียบดังดาวพิฆาตอย่างคุณหนูใหญ่ก็ยังไม่กลับ เหลียนเหนียงจึงจัดแจงผมเผ้าและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย สูดหายใจเข้าลึกๆ หันมองซ้ายขวา พอเห็นว่าปลอดคนเฝ้าดู ก็แอบย่องไปที่เรือนชุนจี้ของอนุฟาง
ต้องพูดว่า อนุฟางมัวแต่ดีใจกับเรื่องของอวิ๋นหว่านถง จนพลิกตัวไปมาตลอดทั้งคืน ไหนเลยยังนอนหลับได้ ยิ่งคิดไม่ถึงว่า โชคจะหล่นลงจากฟากฟ้าใส่ศีรษะตนเช่นนี้ ดังนั้นฟ้ายังไม่ทันสาง นางก็ตื่นแล้ว พอล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนชุดเรียบร้อย ค่อยพาสาวใช้ เดินเชิดหน้ายืดอกออกจากเรือน
ทว่าเพิ่งเดินออกจากลานหน้าบ้าน อนุฟางก็ตาไว เห็นร่างๆ หนึ่ง แต่งตัวแบบสาวใช้ ยืนอยู่ข้างรั้วกำแพงเตี้ย ชะเง้อมองอย่างลังเลใจ คล้ายคิดจะเข้ามา แต่ก็ไม่กล้า จึงตะเบ็งเสียงแหลมใส่
“บ่าวหน้าไหนมาทำลับๆ ล่อๆ ด้อมๆ มองๆ แต่เช้า เป็นขโมยหรือไง!”