ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 91-1
อวิ๋นหว่านถงบุกเรือนรุ่ยเสวี่ยกลางดึก แต่กลับถูกเว่ยอ๋องตบจนสะบักสะบอม ประหนึ่งถูกอสุนีบาตฟาดใส่ในพริบตา ยิ่งนึกไม่ถึงว่าเขาจะเอาผ้าขาวที่เปื้อนโลหิตจากหน้าผากตน สมมติเป็นผ้าที่เปื้อนโลหิตจากการเข้าห้องหอ ให้คนในวังไป…นี่หมายความว่า ไม่คิดแตะเนื้อต้องตัวตนสักนิดเลยหรือ
เยี่ยหนานเฟิงก็เช่นกัน มีนิสัยได้คืบจะเอาศอก พอเห็นท่านอ๋องปกป้องตนเอง โดยไม่ไว้หน้ากระทั่งชายารองที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ ก็หยุดร้องไห้แต่แรก ขยี้ตาไปมา ก่อนทำปากยื่นปากยาว พลางใช้สายตาของผู้ชนะเชิดใส่อวิ๋นหว่านถงอย่างได้ใจ
พอถูกเยี่ยหนานเฟิงมองด้วยสายตาเช่นนี้ อวิ๋นหว่านถงก็เดือดดาลทันที ลืมความเจ็บปวด กำมือแน่น นางจิ้งจอก ถ้ากระทั่งผู้ชาย ตนยังสู้ไม่ได้ จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม พอคิดได้เช่นนี้ ก็ได้แต่อดทน ยอมให้ยวนยางพยุงกลับห้อง ข่มกลั้นความโกรธไว้ ไม่แสดงออกชั่วคราว
หลังจากอวิ๋นหว่านถงออกเรือนไปจวนอ๋อง บ้านสกุลอวิ๋นก็ใช่ว่าจะได้พัก เพราะต้องเตรียมงานเลี้ยงรับกลับบ้านต่อ ซึ่งตามประเพณีวันกลับบ้านของต้าเซวียนนั้น ปกติแล้วถ้าเป็นคนทั่วไป เจ้าสาวจะกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านหลังแต่งงานสามวัน แต่ถ้าเป็นเชื้อจ้าว ก็เจ็ดวัน และนี่เป็นครั้งแรกของบ้านสกุลอวิ๋นในการจัดงานต้อนรับชายารอง ทุกคนจึงไม่กล้ารอช้า จัดการตกแต่งประดับประดาห้องโถง เตรียมสุราอาหารและบ่าวรับใช้ให้พร้อม เจ็ดวันจะบอกว่ายาวก็ไม่ยาว จะบอกว่าสั้นก็ไม่สั้น เวลายังคงมีไม่มากนัก
ประกอบกับอวิ๋นเสวียนฉั่งกำลังจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้ากรมกลาโหม จึงต้องแสดงให้เห็นว่าตนทำงานหนัก ไปเยี่ยมเยียนทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ หลายวันมานี้ถึงเอาอยู่แต่ในที่ทำงาน ยุ่งจนไม่มีเวลาว่าง จนต้องมอบหน้าที่แม่งานในการเตรียมงานเลี้ยงรับกลับบ้านให้ถงฮูหยิน แต่ด้วยเกรงว่าผู้สูงอายุคนเดียวจะรับมือไม่ไหว เดิมทีคิดเรียกอนุฟางมาช่วย แต่ความไม่พอใจในวันนั้นยังไม่จางหาย จึงเรียกอวิ๋นหว่านชิ่นมาช่วยแทน อีกอย่างก่อนหน้านี้ลูกสาวคนนี้ก็เคยดูแลหลังบ้านมาก่อน มีประสบการณ์มาแล้ว
ซึ่งถ้าให้ถงฮูหยินอยู่ในบ้านจัดการเรื่องขายบ่าวรับใช้ ลงโทษเด็กรับใช้ ย่อมไม่มีปัญหา แต่ถ้าให้นางรับผิดชอบงานเลี้ยงที่ใหญ่ขนาดนี้ อีกทั้งยังต้องต้อนรับคนในจวนอ๋องด้วย เกรงว่าอาจทำได้ไม่ดีพอและอาจถูกผู้เชี่ยวชาญหัวเราะเยาะได้ ดังนั้นทุกสิ่งอย่างนางจึงต้องหารือกับหลานสาวก่อน รวมทั้งตอนอวิ๋นหว่านถงกลับมา ต้องออกไปยืนรอที่หน้าประตูเมื่อไหร่ จัดบ่าวรอต้อนรับกี่คน จัดโต๊ะกี่โต๊ะ มีกับข้าวอะไรบ้าง ต้องใส่ซองให้ผู้ติดตามจากจวนอ๋องที่มาด้วยเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม เป็นต้น โดยไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ล้วนต้องผ่านความเห็นชอบจากหลานสาวก่อนทั้งสิ้น
เช่นนี้ ถ้าบอกว่าถงฮูหยินคือแม่งาน อวิ๋นหว่านชิ่นก็คือผู้ตัดสินใจ
อวิ๋นหว่านชิ่นจึงจัดการติดต่อคนปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ก่อน โดยวางเงินมัดจำ แล้วบอกให้ส่งผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์สดๆ มาที่จวนก่อนวันงานสองวัน จากนั้นก็เจาะจงหามอมอวัยกลางคนที่เคยทำงานในวังมาก่อน แต่ออกจากวังเพราะอายุมาก และยังอยู่ในเมือง พร้อมๆ ไปกับการเลือกบ่าวชายหญิงที่ซื่อสัตย์มีไหวพริบจำนวนหนึ่ง ให้สวมชุดแบบเดียวกัน แล้วก็ให้มอมอวัยกลางคนมาสอนมารยาทและธรรมเนียมปฏิบัติขั้นพื้นฐานในวัง เพื่อทำหน้าที่ต้อนรับแขกจากจวนอ๋อง
ขณะที่สองย่าหลานยุ่งจนสายตัวแทบขาด อนุฟางกลับนั่งหงุดหงิดอยู่ในเรือนชุนจี้ ผู้กลับบ้านเป็นลูกสาวของตนแท้ๆ เดิมที่คิดว่างานเลี้ยงรับกลับบ้าน ตนจะมีส่วนร่วมในการจัดงานด้วย ซึ่งงานเลี้ยงแบบนี้ ขี้หมูขี้หมาก็ต้องมีเงินเข้ากระเป๋าไม่น้อย แต่นายท่านกลับให้นังพี่ใหญ่นั่น ไม่ให้ตนเสีย คิดพลางฉีกผ้าเช็ดหน้าทิ้งไม่รู้กี่ผืนต่อกี่ผืนแล้ว
สาวใช้ข้างกายจึงอดไม่ได้ที่จะเตือนสตินาย “แม่เล็กจะกลุ้มใจไปทำไมเจ้าคะ คุณหนูสามก็ได้ดิบได้ดีไปแล้ว บ้านนี้นับว่า วันดีๆ ของท่านก็ได้มาถึงแล้วเช่นกัน ท่านก็แค่เอาอกเอาใจนายท่านอีกนิด ใยต้องกลุ้มด้วยว่า วันหน้าจะไม่ได้เป็นใหญ่”
อนุฟางได้ยินเช่นนี้ค่อยปล่อยวางลงได้บ้าง คิดว่าอีกไม่กี่วันพอลูกสาวกลับมา แต่ละคนจะได้เห็นดีกัน
ทว่าก็นึกเสียใจขึ้นมาว่า หมู่นี้ตนใจจดใจจ่ออยู่แต่กับลูกสาว อาจล่วงเกินท่านพี่ไปบ้าง จึงรีบเรียกคนให้ไปสืบดูความเคลื่อนไหวของท่านพี่
รุ่งขึ้น พออนุฟางได้ยินว่าอวิ๋นเสวียนฉั่งกลับบ้านเร็ว และกำลังนั่งพักอยู่ที่เรือนหลัก ก็รีบบอกให้บ่าวไปเชิญท่านพี่ให้มาที่นี่ บอกว่าท่านพี่ไม่ได้มาหาตนหลายวันแล้ว ตนอยากปรนนิบัติพัดวีให้
สองวันมานี้ อวิ๋นเสวียนฉั่งอารมณ์ดีขึ้นบ้าง เนื่องจากอีกไม่กี่วันลูกสาวคนเล็กก็จะกลับมาที่บ้านแล้ว ต้องเรียกอนุฟางมาเตือนหน่อยว่า อย่าทำโศกเศร้าเศร้าร้องห่มร้องไห้กับลูกสาวต่อหน้าธารกำนัล อาจทำให้ความสัมพันธ์ของตนกับคนจากจวนอ๋องสั่นคลอนได้ จึงโบกมือ แล้วว่า
“บอกให้นางมาที่นี่ก็แล้วกัน”
ด้วยตนมีเหลียนเหนียงปรนนิบัติอยู่ข้างๆ แล้ว หนังตาจึงกระตุก ไม่ได้พูดอะไรอีก
พออนุฟางได้ยิน ก็ดีใจจนออกนอกหน้า รีบส่องคันฉ่องดู แล้วเปลี่ยนชุดเป็นชุดกระโปรงจีบลายดอกเล็กๆ แต่งหน้าแต่งตาโปะแป้งหลายชั้นให้ดูขาวเข้าไว้ จากนั้นก็เลิกคิ้วโค้งปลายดั่งต้นหลิว
“แบบนี้ดูดีแล้วหรือยัง”
“ดูดี ดีมากเจ้าค่ะ” แป้งหนาเท่าผนังปูนขนาดนี้ อย่าว่าแต่ปกปิดรอยย่นกับจุดต่างดำเลย แม้แต่ยุงไม่ทันระวัง บินเข้าไปก็อาจจมแป้งตายได้ การแต่งหน้าแบบนี้นี่…จริงๆ สาวใช้จะพูดมากก็ไม่ดี จึงได้แต่เยินยอไป
แล้วอนุฟางก็เดินสะบัดบั้นท้ายออกจากเรือนพร้อมสาวใช้
ขณะเดินผ่านลานหน้าห้องครัวที่มีรั้วไม้กั้น อนุฟางก็ได้ยินเสียงฮือฮาดังมาจากด้านใน จึงหยุดฝีเท้า ชะเง้อดู ถึงได้รู้ว่า วันนี้ห้องครัวได้รับหมูที่ส่งมาจากตลาดตัวหนึ่ง เอาไว้ใช้ทำกับข้าวในงานเลี้ยงรับกลับบ้าน คนฆ่าหมูในตลาดก็ถูกเรียกตัวมาด้วย และกำลังเตรียมล้มหมู บ่าวหลายคนจึงพากันวิ่งมาดูความคึกคัก
พออนุฟางได้ยินว่าเป็นกับข้าวในงานเลี้ยงรับกลับบ้าน ก็หัวเราะเยาะ ทำเอาสาวใช้ที่ติดตามมาพลอยหยุดเดินและหันมองตาม
ลานหน้าห้องครัว หมูตัวเป็นๆ ถูกคนฆ่าหมูจับมัดไว้บนเก้าอี้ยาว จึงร้องครวญคราง พลางดิ้นด้วยการถีบเท้าทั้งสี่ข้าง ขณะที่คนฆ่าหมูกำลังนั่งยองๆ ลับมีดอยู่ด้านข้าง อนุฟางที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าก็ดึงผ้าเช็ดหน้าไปมาพลางถามอย่างกำกวมทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจดี
“หมูตัวนี้ใครเป็นคนสั่งมาน่ะ”
“คุณหนูใหญ่สั่งไว้เมื่อเช้าเจ้าค่ะ บอกว่าต้องล้มหมูล่วงหน้า แล้วหมักไว้ ถึงจะเข้าเนื้อ” บ่าวคนหนึ่งตอบ
อนุฟางจึงเดินเข้าไป วนดูหมูที่ร้องครวญครางรอบหนึ่ง ก่อนบ่นและพูดจาแดกดัน อย่างถ้าไม่พูดว่าหมูไม่มีชีวิตชีวาพอ ก็พูดว่าหมูยังไม่โตเต็มที่ ไม่รู้เป็นโรคหรือเปล่า แถมยังส่ายหน้าและพึมพำเสียงเบา
“ให้ผู้หญิงที่ยังไม่ได้ออกเรือนจัดการ ก็เป็นอย่างนี้แหละ เฮ้อ…”
บ่าวในบ้านต่างรู้ดีว่าหลายวันมานี้ อนุฟางรู้สึกไม่พอใจที่ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในงานเลี้ยงรับกลับบ้าน จึงหาเรื่องคนไปทั่ว แต่ไม่กล้ากับคุณหนูใหญ่และผู้อาวุโส ได้แต่แสดงท่าทีชี้โบ้ชี้เบ้ให้บ่าวทำโน่นทำนี่ ถ้าไม่บอกว่าตรงนี้ตกแต่งไม่ดี ขายหน้าคนจากจวนอ๋อง ก็บอกว่าประตูตรงนั้นแคบไป คนจากจวนอ๋องเดินเข้าไม่สะดวก วันนี้ยังดี ที่แม้แต่หมูก็ยังรู้จักล่วงเกินนาง
บ่าวในบ้านต่างไม่ส่งเสียง ทำเป็นไม่ได้ยินว่านางพูดอะไร
แต่คนฆ่าหมูไม่ใช่คนบ้านสกุลอวิ๋น และมาช่วยงานที่จวนรองเจ้ากรมเป็นครั้งแรก ไหนเลยจะรู้ว่าสตรีวัยกลางคนผู้นี้ชอบพูดจากระทบกระเทียบ พอได้ยินคนว่าหมูของตนไม่ดี หนังหน้าก็กระตุก และพอหันไปเห็นสตรีวัยกลางคนหน้าขาววอกยืนบ่นอยู่ไม่ไกล สักพักก็บอกว่าหมูของตนไม่ดี อีกสักพักก็บอกว่าเป็นโรค จึงลุกพรวดขึ้น แล้วโต้กลับอย่างตรงไปตรงมา
“เป็นโรค? เจ้าสิเป็นโรค! หมูของข้าแข็งแรง สุขภาพดี ร้านข้ามีชื่อมาหลายสิบปี ไม่เห็นมีคนบอกว่าข้าเลี้ยงหมูเป็นโรค! เจ้าตาบอดหรือเปล่า!”
คนฆ่าหมูอยู่ในตลาดเสียงดังจนเคยชินแล้ว แม้แต่พูดจาปกติก็เหมือนชวนทะเลาะอย่างไรอย่างนั้น อนุฟางไม่ทันตั้งตัว จึงยืนอึ้ง