ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 92-2
เมื่อเห็นท่าทีของเหลียนเหนียง อวิ๋นหว่านถงก็รู้ว่ามารดาตนไหนเลยจะรู้ทันเลห์เหลี่ยมของนาง ดีไม่ดีวันหนึ่งอาจโดนบ่าวนางนี้เหยียบย่ำจนมิด จากวิธีการและสีหน้าของนาง ไม่รู้ทำไมถึงได้ทำให้ตนรู้สึกว่า คล้ายกับนังจิ้งจอกเยี่ยหนานเฟิงที่ชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิงนั่นนัก จึงพูดกระทบกระเทียบอีก
“จะว่าไป ได้ยินว่าตอนอยู่ที่สมาคมม้าผอม อนุรองเคยร่ำเรียนศิลปะการชงชามาก่อน หมู่นี้รับใช้อยู่ข้างกายท่านพ่อ ก็ชงชาร้อนให้ท่านพ่อจิบทุกวัน เป็นที่ถูกใจท่านพ่อยิ่ง แถมยังแบ่งเวลาไปรับใช้ท่านแม่ได้อีก ดูๆ ไป บ้านสกุลอวิ๋นทั้งขึ้นทั้งล่อง คงไม่มีใครเอาอกเอาใจคนได้เท่าอนุรองแล้วกระมัง”
แก้มเหลียนเหนียงขยับ ได้แต่ก้มหน้าหดตัวเหมือนคนถูกข่มเหง พลางหันมองเจ้าบ้าน
อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นดังนี้ ก็เอ่ยปากถามบ่าว
“ทำไมคุณหนูใหญ่ยังไม่ออกมาอีก ให้คนไปดูอีกทีซิ”
เหลียนเหนียงย่อมรู้ว่า ท่านพี่จงใจขัดจังหวะเพื่อปกป้องตน เกรงว่าตนจะถูกชายารองข่มเหงน้ำใจอีก จึงรีบหยิบยืมความได้เปรียบ ถอยฉากไปหลบหลังเจ้าบ้านอย่างหญิงอ่อนแอ
พออวิ๋นหว่านถงเห็นบิดาปกป้องเหลียนเหนียงเช่นนี้ ถึงอยากพูดก็ไม่สะดวกที่จะพูดออกมา จึงขมวดคิ้วแทน
ด้านอวิ๋นหว่านชิ่น แม้เช้าตรู่จะอยู่หลังเรือนคอยสั่งการบ่าวเรื่องสุราอาหาร จึงไม่ได้ออกไปต้อนรับหน้าประตู แต่ก็ไม่ถึงกับไม่รู้อะไรเลย ยังคงหูผึ่งตาไวเสมอ และบอกให้เมี่ยวเอ๋อร์มารายงานสถานการณ์เป็นระยะ
พอได้ยินว่าชายารองคนใหม่ของบ้านใส่หมวกใบใหญ่กลับเข้าบ้าน และยังถูกอาเม่าดึงหมวกออกตรงหน้าบ้านอีก ที่แท้ใบหน้านางมีแผลฉกรรจ์นั่นเอง อีกทั้งหลังจากเข้ามานั่งในห้องโถง นางก็เริ่มติโน่นติงนี่
ตอนนี้พอเห็นบ่าวมาเรียกให้ตนออกไป จึงได้แต่ถอดปลอกแขนเสื้อกันเลอะออก กลับเรือนหยิงฝู ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
เมี่ยวเอ๋อร์เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นไม่มีท่าทีอนาทรร้อนใจแต่อย่างใด อารมณ์ก็ขึ้นอย่างอดไม่ได้ เมื่อนึกถึงท่าทีของคุณหนูสามเมื่อครู่
“คุณหนูใหญ่ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ ที่ชายารองนั่นพอกลับมาก็เย็นชากับผู้อาวุโส จนถึงตอนนี้ผู้อาวุโสก็ยังไม่หายโกรธ แล้วยังเล่นงานเหลียนเหนียงต่อ แดกดันสามส่วนข่มเหงเจ็ดส่วนแบบเดิม แสดงท่าทีหยิ่งยโส ราวกับคนทั้งบ้านติดค้างนางอย่างไรอย่างนั้น งานเลี้ยงครั้งนี้ ใช่งานเลี้ยงต้อนรับกลับบ้านที่ไหนกัน เป็นงานเลี้ยงแก้แค้นเห็นๆ ส่วนท่าน ยังไม่ทันพบหน้านาง นางก็พูดต่อว่าท่านบกพร่องโน่นนั่นนี่ ท่านออกไปอาจไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรดี บ่าวดูออกนะว่า นางน่ะเป็นคางคกขึ้นวอ หรือไม่ก็เป็นไก่ที่เพิ่งมีปีกงอกออกมา จึงอดไม่ได้ที่จะร้องกระโตกกระตาก ร้องให้คนเขารู้กันไปทั่ว! ท่านก็อย่าลืมเชียวว่า ท่านทำให้นางถูกเถามอมอกรีดหน้า ทำให้นางต้องเล่นเป็นนางจิ้งจอกที่โรงละครว่านไฉ่ อีกทั้งหลายปีมานี้นางยังอยู่ในสถานะลูกเมียน้อยที่เก็บกด หาทางระบายออกไม่ได้ ครั้งนี้จึงต้องฉวยโอกาสระบายทุกอย่างใส่ท่านแน่”
อวิ๋นหว่านชิ่นหันมาหัวเราะ พลางตีเข้าที่ศีรษะเมี่ยวเอ๋อร์เบาๆ
“ผู้มาเป็นแค่ชายารอง เจ้ายังตื่นเต้นขนาดนี้ ถ้าให้เจ้าไปพบมเหสีฮองเฮา มิต้องพูดไม่ออกหรอกหรือ ข้าอุตส่าห์พาเจ้าเข้าวังไปดูลาดเลาแล้วครั้งหนึ่ง เสียแรงเปล่า มิสู้พาชูซย่าไปเปิดโลกยังจะดีเสียกว่า”
เมี่ยวเอ๋อร์จึงได้สติ ก็จริง ตนถูกคุณหนูสามนั่นทำให้โกรธจนเลอะเลือนไปจริงๆ คุณหนูใหญ่ของตนก็เคยเข้าวัง เคยพบคนจากโลกภายนอกมาแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้า มวยผมใหม่ แล้วค่อยไปที่ห้องโถงใหญ่
อวิ๋นหว่านถงกำลังค่อยๆ ปิดฝาถ้วยน้ำชา นางพยายามหาเรื่องมาคุยกับบิดาและท่านย่า ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นการพูดคุยตามมารยาท ที่ไม่มีอะไรมากไปกว่างานบ้านทั่วไป น้ำเสียงจึงเป็นไปอย่างไม่ยี่หระ พูดคุยพอเป็นพิธี นางในวันนี้กับนางในอดีต จึงเป็นคนสองคนที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ฟังไปๆ ถงฮูหยินก็ยิ่งมีอารมณ์ แม้ตนไม่เคยเห็นท่าทีของสะใภ้จ้าวในวันต้อนรับกลับบ้านมาก่อน ก็รู้ดีว่า ไม่ควรเป็นอย่างที่นังหนูสามแสดงออกแน่ นี่เขาเรียกว่าบินขึ้นฟ้าแล้ว เห็นคนในบ้านเป็นเบี้ยล่างไปหมด
และในตอนนี้เอง หน้าประตูก็มีเสียงบ่าวรายงาน “คุณหนูใหญ่มา”
อวิ๋นหว่านถงพลันหรี่ตา แล้วหันมอง ไม่สนใจว่ากำลังคุยครึ่งๆ กลางๆ อยู่กับถงฮูหยิน นางเห็นพี่ใหญ่ปรากฏตัวตรงประตูในชุดเรียบง่าย อาจเป็นเพราะช่วงเช้าต้องอยู่หลังเรือนเดินไปเดินมาสั่งการบ่าว ตอนนี้จึงได้แต่ปัดแก้มด้วยสีชมพูอ่อนๆ ให้ดูดีกว่าช่วงเช้าเล็กน้อย พอเดินเข้ามาพร้อมสาวใช้สองคนซ้ายขวา ค่อยเห็นว่านางสวมเสื้อกระโปรงจีบผ้าไหมสีบานเย็น สวมรองเท้าบูทสั้นหนังแกะสีแดงลายเมฆดิ้นทอง มวยผมหนึ่งมวย ปักปิ่นหนึ่งอัน ไม่มีเครื่องประดับอื่นใดอีก พอก้าวเข้ามา ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสดุจหยก
“น้องสามกลับมาแล้ว!”
คำๆ นี้พอหลุดออกจากปาก คนในห้องก็อึ้งกันเป็นแถบ แม้บอกว่าคนในห้องกว่าครึ่งเป็นคนในบ้าน แต่เมื่อแรกเจอ ก็มักเรียกตามมารยาทว่าชายารอง แต่คุณหนูใหญ่กลับไม่เกรงใจ เรียกน้องสามออกมาตรงๆ ผลักความเย่อหยิ่งของอวิ๋นหว่านถงคืนกลับ จนนางหน้าเครียด ไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่วขณะ
อนุฟางแอบยิ้มเยาะ เรียกอย่างกับสนิทกันนักหนา ใครเขาอยากสนิทกับเจ้า เห็นชายารองเว่ยอ๋องแล้วไร้มารยาทแบบนี้ เดี๋ยวเหอะ ได้เห็นดีกันแน่
และแล้ว พออวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นชายารองไม่พอใจ ก็พลอยไม่ชอบไปด้วย จึงเตือนเสียงต่ำ
“ชิ่นเอ๋อร์ ควรคารวะก่อน”
อวิ๋นหว่านชิ่นเก็บรอยยิ้ม แล้วพูดเสียงนุ่ม “ลูกนึกว่าพอหลุดรอดจากสายตาฝูงชน อยู่ต่อหน้าคนในบ้านจะสามารถเรียกพี่เรียกน้องกันเหมือนเดิม ไม่ได้คิดว่ากฏเกณฑ์ในจวนอ๋อง จะเข้มงวดขนาดนี้”
อวิ๋นหว่านถงแค่นเสียงออกมาเบาๆ ก่อนค่อยๆ พูดอย่างหยิ่งยโส
“พี่ใหญ่ไม่เคยแต่งเข้าจวนอ๋อง ย่อมไม่รู้ว่ากฏเกณฑ์ในจวนอ๋องนั้น เข้มงวดเพียงใด จ้าวกับขุนนาง นายกับบ่าว แบ่งแยกชัดเจน ไหนเลยจะเรียกมั่วซั่วเหมือนที่อื่น การกลับบ้านของข้าในครั้งนี้ สถานะแรกเป็นชายารองเว่ยอ๋อง รองลงมาถึงจะเป็นลูกสาวสกุลอวิ๋น นึกว่าพี่ใหญ่เป็นลูกสาวคนโต ต้องวางตัวได้อย่างสง่างามและ
รู้จักมารยาทเสียอีก ที่แท้เหตุผลตื้นๆ แค่นี้ ก็ยังต้องให้ข้าสอน”
เมี่ยวเอ๋อร์ฟังแล้วก็เดือด แต่กลับเห็นคุณหนูใหญ่เพียงยิ้มบางๆ
“เมื่อวันก่อนข้าคุยกับเพื่อนรักจื่อหลิง รู้แค่ว่า พระสนมเฉินของจวนแม่ทัพได้รับพระเมตตา ให้กลับบ้าน
ในสองเดือนแรกแบบน้องสามนี่ล่ะ และพอกลับถึงบ้าน ก็นั่งรวมกลุ่มกับจื่อหลิงและน้องชาย แล้วก็เรียกชื่อเล่นกัน ข้าจึงคิดในใจ ขนาดพระสนมที่อยู่ในวังยังวางตัวอย่างเป็นกันเอง ใจกว้าง ไม่ถือกฎกติกามารยาท ต่อให้จวนอ๋องเข้มงวดแค่ไหน ก็ไม่น่าจะเข้มงวดกว่าในวังนะ คิดไม่ถึงว่าน้องสามจะวางตัวโอ่อ่ายิ่งกว่าพระสนมเฉินเสียอีก ผิดไปจากที่พี่คาดคิดไว้ แต่ไม่เป็นไร พี่คารวะได้”
ว่าแล้วก็ไม่รอให้อวิ๋นหว่านถงโต้ตอบ ประสานมือไว้ที่ข้างเอว ยิ้มหวานแล้วย่อตัวลงทันที
คำพูดนี้ทำให้อวิ๋นหว่านถงหน้าแดงไปถึงใบหู นี่นางกำลังชี้หน้าว่าคนที่ไม่รู้จักมารยาทคือตน ที่ริอาจทำตัวข้ามหน้าข้ามตาพระสนม รวมทั้งตำหนิว่าตนเย่อหยิ่งและใจแคบต่อหน้าผู้คน แต่นางก็เข้าใจขัดคอนะ พูดกันถึงเรื่องมารยาทขั้นพื้นฐานในการพบหน้าระหว่างกุลสตรีด้วยกันแท้ๆ ยังจับโน่นผสมนี่ไปได้? คิดว่าแน่นักหรือ วันนี้ถ้าไม่เล่นนางให้หนัก ไหนเลยจะสาแก่ใจที่ตนอัดอัดตันใจกับความไม่เป็นธรรมในบ้านมานานหลายปี
อวิ๋นหว่านถงไม่ยอมรามือเช่นนี้ จึงส่งสายตา ยวนยางเห็นก็ก้าวขึ้นมา แล้วพูดอย่างเย็นชา
“คุณหนูใหญ่ ตามกฎแล้ว พอเห็นชายารอง ควรคารวะอย่างเป็นทางการเจ้าค่ะ”
ทางการ? คุกเข่าโขกศีรษะสามครั้ง?
ดูซิว่า นางจะรับไหวหรือไม่!