ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่ 96-4
อวิ๋นหว่านชิ่นตระหนักในทันที มิน่าเล่าถึงได้รู้สึกคุ้นๆ ชอบกล ที่แท้ก็คือองค์ชายแปด เยี่ยนอ๋อง ที่นั่งอยู่ข้างกายฉินอ๋อง ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ กับตนในงานเลี้ยงสังสรรค์นั่นเอง วันนั้นตนไม่ได้พูดจากับเขา เพียงกวาดตามองผ่านๆ แล้วประทับใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถือว่าเห็นชัดเจนนัก แต่เมี่ยวเอ๋อร์สิ เดินไปพูดจากับฉินอ๋อง ขณะเยี่ยนอ๋องนั่งอยู่ข้างๆ นางจึงเห็นซย่าโหวซื่อหนิงในระยะใกล้!
พอมีคนจำได้ เยี่ยนอ๋องก็ไม่กระมิดกระเมี้ยนอีก แบมือยักไหล่
“เรียกชื่อข้าซะดังขนาดนี้ ข้ายังจะไม่ยอมรับได้อีกหรือ”
พอคำพูดนี้หลุดจากปาก คนอื่นๆ ในบ้านสกุลอวิ๋น ยกเว้นเหยากวงเหย้า ล้วนคุกเข่าลงกับพื้น โดยมีอวิ๋นเสวียนฉั่งเป็นผู้นำ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นอย่างวิตกและหวาดกลัว
“ไม่ทราบว่าเยี่ยนอ๋องเสด็จมา กระหม่อมและคนในบ้านจึงมิได้เตรียมการต้อนรับ…”
“เอาเถอะๆ คำพูดโบราณคร่ำครึอีกละ” เยี่ยนอ๋องสะบัดแขนเสื้อ “ข้าแต่งตัวเป็นข้าราชการชั้นล่างแบบนี้ ถ้าเจ้ากรมคนใหม่อย่างเจ้าออกมาต้อนรับหน้าบ้านนี่สิ ผู้อื่นเห็นแล้วต้องหาว่าข้าไม่มีสัมมาคารวะแน่”
เหยากวงเหย้าหัวเราะ “เยี่ยนอ๋องพูดขนาดนี้แล้ว ยังไม่ลุกขึ้นอีก”
คนในห้องโถงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน อวิ๋นเสวียนฉั่งค่อยตระหนัก จึงถามเหยากวงเหย้า
“หรือการที่หมอหลวงเหยามาตรวจโรคให้มารดาผู้น้อย เป็นเพราะเยี่ยนอ๋อง…”
เหยากวงเหย้าเหลือบมองเยี่ยนอ๋อง จะโมเมต่อก็ไม่ค่อยจะดี จึงยิ้ม
“เป็นเยี่ยนอ๋องไปแจ้งกับสำนักหมอหลวงก่อน แล้วจึงดึงข้าออกมา พามาตรวจโรคให้กับผู้อาวุโสอวิ๋นที่จวนนี่ล่ะ”
เยี่ยนอ๋องกับเหยากวงเหย้ามีนิสัยที่เข้ากันได้ดี คนหนึ่งเป็นคนแก่ที่ซนเหมือนเด็ก อีกคนเป็นเด็กโข่ง จึงคบกันได้ เรื่องนี้ คนในราชสำนักกว่าครึ่งต่างรู้กันดี
“นี่…เช่นนี้กระหม่อมจะพูดอย่างไรดี ขอบพระทัยเป็นอย่างยิ่งที่เยี่ยนอ๋องทรงห่วงใยและเมตตากระหม่อม” อวิ๋นเสวียนฉั่งรีบประสานมือให้เยี่ยนอ๋อง
โดยในใจก็เดาไปด้วยว่า เยี่ยนอ๋องกับตนไม่เคยไปมาหาสู่กัน เรื่องมิตรภาพยิ่งไม่ต้องพูดถึง แล้วเหตุใดจึงให้ความเมตตากรุณากับตนถึงเพียงนี้ได้ ถ้าจะบอกว่าตนเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นท่านเจ้ากรม คิดดึงตนให้เข้าเป็นพวกด้วย ก็ไม่จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ มาเยี่ยมเป็นการส่วนตัว แค่บอกล่วงหน้าสักคำก็ได้แล้วนี่นา ไม่เข้าใจจริงๆ
ส่วนเยี่ยนอ๋องก็ไม่ได้สนใจกับคำขอบคุณของอวิ๋นเสวียนฉั่งสักเท่าใด อืมออกมาคำหนึ่ง แล้วละสายตาไปหยุดอยู่ที่ผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของเขา พลางสำรวจมองจากหัวจรดเท้าอย่างสนใจยิ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นพลันเอะใจ นางไม่รู้จักเยี่ยนอ๋อง แต่ชาติก่อน เหยากวงเหย้าเป็นหมอหลวงประจำตัวของ
ฉินอ๋อง และตอนนี้ก็เห็นชัดว่าเหยากวงเหย้ากับเยี่ยนอ๋องเป็นมิตรที่ดีต่อกัน จากการนี้ก็รู้ได้โดยไม่ต้องพูดมากว่า
เยี่ยนกับฉิน อ๋องทั้งสองต้องมีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่แน่นแฟ้นเอามากๆ ดังนั้นวันนี้ ย่อมเป็นฉินอ๋องที่ไหว้วานให้
เขามา
สายตาที่เยี่ยนอ๋องสำรวจมองลูกสาวตนนั้น ชัดเจนจนอวิ๋นเสวียนฉั่งต้องรีบเก็บสายตาคืนกลับ ในใจสว่างวาบขึ้นมา มิน่าเล่า หรือเยี่ยนอ๋องก็เป็นหนึ่งในผู้สูงศักดิ์ที่ชื่นชอบลูกสาวตนด้วย การเข้าวังของลูกสาวในครั้งนี้ ทำให้มีลูกชายเจ้าใหญ่นายโตมาสอบถามตนไม่น้อย หากเยี่ยนอ๋องจะเอ็นดูด้วยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
พอคิดได้เช่นนี้ สมองของอวิ๋นเสวียนฉั่งก็รีบประมวลผล พระมารดาของเยี่ยนอ๋องสิ้นพระชนม์ไปนานแล้ว เยี่ยนอ๋องจึงไม่มีอำนาจบารมีจากญาติฝั่งพระมารดา แต่เมื่อถูกเลี้ยงดูในวังแต่เด็ก ก็ย่อมสนิทสนมกับเจี่ยไทเฮา และค่อนข้างเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท และตอนนี้ก็ยังทำงานจัดการเรื่องต่างแดนอยู่ที่เรือนหลี่ฟาน อนาคตไม่อาจดูเบา โดยเฉพาะเรื่องยังไม่ตกแต่งพระชายา ถ้าลูกสาวสามารถตกให้มาเป็นลูกเขย ก็ถือเป็นเรื่องที่สวรรค์ประทานขนมหวานลงมาให้ทีเดียวเชียว
ขณะเดียวกัน เหยากวงเหย้าก็รู้สึกว่าสายแล้ว จึงเอ่ยขึ้น
“ใต้เท้าอวิ๋นจำชื่อยาที่ข้าเพิ่งบอกให้ท่านฟังเมื่อครู่ได้หรือไม่ พอซื้อกลับมา ก็เอามาตุ๋นให้ผู้อาวุโสทาน ติดต่อกันสักวันสองวันก็พอ หลังจากนั้นสามถึงห้าวัน ก็จะหายดีเอง”
แล้วจึงหันไปพูดกับเยี่ยนอ๋อง “ท่านอ๋อง นี่ก็สายแล้ว ควรเสด็จกลับได้แล้ว”
อวิ๋นเสวียนฉั่งเปลี่ยนความคิด “เช่นนั้นก็ให้ลูกสาวข้าไปส่งใต้เท้าเหยาจนถึงที่หมายก็แล้วกัน”
ว่าแล้วก็หันมองลูกสาว “ชิ่นเอ๋อร์คุ้นเคยเรื่องสมุนไพร ไปส่งใต้เท้าเหยาแล้วก็แวะซื้อยามาทีเดียวเลย เจ้าก็ฟังอยู่ข้างๆ พ่อเหมือนกันนี่”
บอกให้ไปส่งเหยากวงเหยา มิสู้บอกให้ไปส่งเยี่ยนอ๋อง สร้างโอกาสให้ได้ใกล้ชิดกันนิดหน่อย เพื่อเอาใจอีกฝ่าย
อ๋องอย่างเขาอุตสาห์ลงทุนแต่งตัวเป็นข้าราชการชั้นล่าง เพื่อมาดูลูกสาวตนทั้งที ตนก็ต้องมีน้ำใจช่วยพายเรือตามน้ำให้เขาไป บอกให้ลูกสาวไปส่งถึงที่
ทำไมอวิ๋นหว่านชิ่นจะดูเรื่องที่บิดาคิดไม่ออก จึงทำปากยื่นปากยาว ทำหน้านิ่ง ไม่พูดจา อย่างว่า สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก นึกถึงตอนแรก ที่ตาเฒ่าอายุเจ็บแปดสิบอย่างฉินลี่ชวนกระพริบตา เขาก็รีบเอาตนเองใส่พานให้แทบไม่ทัน ตอนนี้มาบอกให้ตนไปส่งองค์ชายถึงที่อีก มันก็ไม่ต่างอะไรกันเท่าไหร่!
เหยากวงเหย้าเพียงรู้สึกว่า ถ้าให้กุลสตรีไปส่งด้วยตนเอง เห็นจะไม่ค่อยดี ขณะจะปฏิเสธ เยี่ยนอ๋องก็อ้าปากอย่างไม่เกรงใจ พลางพูดอย่างไม่ยี่หระ “ดีเลย”
อวิ๋นหว่านชิ่นกับเมี่ยวเอ๋อร์จึงกลับเรือนไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใช้สวมใส่ออกนอกบ้านก่อน อวิ๋นหว่านชิ่นมวยผมสูง ใส่หมวกแบบมีผ้าปิดโดยรอบ แต่งตัวให้ดูเรียบร้อยและทะมัดทะแมงหน่อย
ทั้งสี่เดินตามบ่าว ออกนอกประตูบ้าน แล้วขึ้นไปบนรถม้า
ภายในรถม้ากว้างใหญ่ ที่นั่งแพรไหมบุนวม เยี่ยนอ๋องกับเหยากวงเหย้านั่งด้วยกัน ส่วนอวิ๋นหว่านชิ่นกับเมี่ยวเอ๋อร์นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
เดิมทีอวิ๋นหว่านชิ่นคิดบอกสารถีว่า ให้ส่งเยี่ยนอ๋องกลับจวนก่อน แล้วค่อยไปส่งหมอหลวงเหยา แต่ยัง
ไม่ทันได้พูด เยี่ยนอ๋องก็เหมือนเดาใจผู้ที่นั่งฝั่งตรงข้ามออก แย่งพูดขึ้นก่อน
“ไปสวนซิ่ง ให้คุณหนูซื้อยาก่อน”
สวนซิ่ง? อวิ๋นหว่านชิ่นสงสัย นี่มันสถานที่อะไรกัน ทว่าก็ได้แต่ขานรับ
“ขอบพระทัยองค์ชายแปด”
พอเหยากวงเหย้าได้ยินว่าเยี่ยนอ๋องจะพานางไปสวนซิ่ง ก็เอะใจ หันหน้ามองเยี่ยนอ๋อง
รถม้าเคลื่อนตัวออก เหยียบหินปูถนนดังกุบกับๆ ชั่วพริบตาก็บึ่งมาถึงถนนใหญ่
พอรถม้าวิ่งได้มั่นคง อวิ๋นหว่านชิ่นก็อดไม่ได้ที่จะถามในที่สุด
“สวนซิ่งเป็นโรงหมอหรือร้านขายยาเพคะ ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เหยากวงเหย้าตอบตรงๆ “สวนซิ่งเป็นโรงหมอที่ข้าเปิดทำการเองเมื่อหลายปีก่อน เนื่องจากสิ่งแวดล้อมเงียบสงบ ทำให้มีสมาธิในการวิจัยค้นคว้าด้านการแพทย์ ถ้าข้าว่าง ก็จะไปที่นั่นเป็นประจำ”
เช่นนี้นี่เอง หมอหลวงในวังเปิดโรงหมอเป็นการส่วนตัวนอกวัง ผิดกฎระเบียบนี่ ถ้าเบื้องบนรู้เข้า เกรงว่าต้องถูกปรับเงิน จนถึงขั้นลดชั้นลงด้วยซ้ำ มิน่าเล่า ถึงดูลับลมคมในอยู่บ้าง เห็นทีความสัมพันธ์ของเยี่ยนอ๋องกับเหยากวงเหย้านั้น ไม่เลวจริงๆ
เพื่อไม่ให้เหยากวงเหย้าเป็นกังวล อวิ๋นหว่านชิ่นจึงยิ้มบางๆ แล้วว่า
“หมอหลวงเหยาวางใจ หว่านชิ่นซื้อยาแล้วก็ไป จะไม่บอกใครเป็นอันขาด ส่วนนางเป็นสาวใช้ที่เสมือนพี่น้องกับหว่านชิ่น ก็ไม่พูดมากเช่นเดียวกัน”
เหยากวงเหย้าเห็นนางเรียกชื่อตัวเองแทนสรรพนาม เพื่อให้รู้สึกสนิทสนม ก็รู้สึกว่านางเต็มไปด้วยความเอาใจใส่ จึงยิ่งชอบเด็กสาวมากขึ้น
ส่วนเยี่ยนอ๋องที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็พูดอย่างเสียงดังฟังชัดขึ้นมา
“คนที่พี่สามให้ความสำคัญ ไม่ผิดเลยจริงๆ ไม่เสียแรงที่ข้ายอมเสียเวลามาดูให้เห็นกับตาสักตั้ง”
เป็นเขาจริงๆ ด้วย…อวิ๋นหว่านชิ่นขยับเปลือกตาขึ้น
เหยากวงเหย้าเกรงว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ จึงทำเสียงจุ๊ๆ
“ท่านอ๋อง สำรวมหน่อย”