ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่170.2 แกะปูป้อนภรรยา กับ การต้อนรับอย่างเอิกเริก (2)
เพราะบุญคุณของหลี่ว์ปา อวิ๋นหว่านชิ่นจึงให้โอกาสนางอีกครั้ง หลังจากตอบแทนแล้ว นางก็ไม่ติดหนี้หลี่ว์ชีเอ๋อร์อีกต่อไป หลี่ชีเอ๋อร์ผงะเมื่อถูกถาม และน้ำตาที่ห่อหุ้มดวงตาทั้งสองก็ร่วงผล็อยลงมา “ข้ายังมีโอกาสไหม” อวิ๋นหว่านชิ่นมองนางและลุกขึ้น หลี่ว์ชีเอ๋อร์คิดอะไรบางอย่างออก ครั้งก่อนที่ตนเริ่มอ้อนวอน นางปฏิเสธตรงๆ ถามครั้งนี้ก็ควรจะตอบตกลงได้แล้ว นางเดินโซเซออกจากเตียงและคุกเข่าลงด้วยน้ำตาโดยไม่คำนึงถึงความเจ็บที่คอ “ขอบคุณแม่นางชิ่งเอ๋อร์ที่เมตตาในครั้งนี้!” หากพูดจากใจจริงแล้วอวิ๋นหว่านชิ่นยังคงไม่รู้สึกดีต่อหลี่ว์ชีเอ๋อร์มากนัก ต่อให้นางจะใช้ชีวิตอย่างซึมเศร้าจนแทบไม่เหมือนมนุษย์ในช่วงสองสามวันนี้ แต่นางก็หมกมุ่นอยู่กับการทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งความโปรดปรานและแม้กระทั่งช่วยเหลืออวิ๋นหว่านชิ่นเองอย่างลับๆ สิ่งเหล่านี้นางก็ยังคงไม่ชอบอยู่ดี ไม่ได้เป็นเพราะว่านางเคยมีความบาดหมางต่อตนเอง พูดได้แค่ว่าวาสนาของคนกับคนมีข้อจำกัด บางคนอาจชื่นชมกันทันทีที่พบเจอ เช่น หงเยียน ครั้งแรกที่พบกันไม่รู้ว่าทำไมถึงวางใจจนยกการค้าให้นางจัดการ สำหรับบางคน การจะอยู่ด้วยกันนานๆ นั้นเป็นเรื่องยาก เมื่อเห็นนางปิดหน้าสะอื้นไห้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ประคองนางลุกขึ้น ก้มศีรษะลงเอียงข้าง ก่อนจะกระซิบข้างหู “ไม่ต้องขอบคุณข้า ขอบใจพี่ชายเจ้าเถิด ข้าเป็นหนี้บุญคุณเขา ไม่มีทางคืนให้เขาได้ ข้าได้แต่จ่ายคืนให้เจ้าได้เท่านั้น เจ้าไม่ชอบโดนด่าว่าเนรคุณ และข้าไม่อยากถูกคนอื่นด่าเช่นนั้นเหมือนกัน” นางหยุดไปชั่วครู่ “แต่สิ่งที่ข้าทำไปทั้งหมด ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว สิ่งที่ข้าหามาให้เจ้า คือโอกาสเดียวและไม่มีอะไรโอกาสอื่นอีก” ประโยคสุดท้ายเต็มไปด้วยสัญญาณเตือน หลี่ว์ชีเอ๋อร์สะดุ้งและยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าจะกล้าขออะไรจากแม่นางชิ่งเอ๋อร์ได้อีกเล่า เพียงแค่นี้ก็เป็นความกรุณาอย่างยิ่งแล้ว” กระโปรงของอวิ๋นหว่านชิ่นสะบัดขึ้นและหันตัวออกจากเซียงฝาง ซือเหยาอันตามมา ได้ยินการสนทนาของนางกับหลี่ว์ชีเอ๋อร์ในห้อง ก่อนจะเอ่ย “เดี๋ยวข้าน้อยจะไปบอกองค์ชายสามให้ขอรับ” อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า ภายในห้อง ป้าอู๋เหลือบมองไปที่หลี่ว์ชีเอ๋อร์ สีหน้ามีความเหยียดหยามน้อยกว่าปกติและมีความประจบสอพลอมากขึ้น “ชีวิตของเจ้าไม่เลวร้ายนี่นา ได้พบกับผู้สูงศักดิ์ แม่นางชิ่งเอ๋อร์เอ่ยปากแล้ว เจ้าคิดดูนะ เจ้าสามารถกลับเมืองหลวงได้เก้าในสิบส่วน ถ้าเจ้าร่ำรวยอย่าลืมพวกเราล่ะ” หลี่ว์ชีเอ๋อร์สะอื้น “ข้าไปเมืองหลวง เพียงแค่เปลี่ยนที่อยู่เพื่อให้มีชีวิตใหม่เท่านั้น ข้าจะรวยได้ที่ไหนกัน ขอแค่มีอาหารสามมื้อและเสื้อผ้าอุ่นๆ ก็เป็นพอ” ป้าอู๋ไม่ได้พูดอะไรมาก “ก็ได้ๆ เจ้าต้องพักผ่อนก่อน อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ดังนั้นวันนี้ไม่ต้องทำงาน” เอ่ยพลางโบกมือ แล้วนำสาวใช้ในห้องลุกออกไป ในห้องที่เงียบสงบ หลี่ว์ชีเอ๋อร์จมอยู่ในความประหลาดใจ ยังไม่ได้สติ บอกว่าไม่ได้แสวงหาความมั่งคั่ง แต่ในเมื่อได้ไปยังสถานที่ที่มั่งคั่งและมีโอกาสมากมาย ไม่หวังว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร ทหารในค่ายบัญชาการต่างบอกว่า ทหารที่ไม่อยากเป็นแม่ทัพล้วนไม่ใช่ทหารที่ดี เพียงแค่สามารถกลับไปเมืองหลวง พร้อมกับกองทหารของฉินอ๋อง ป้าอู๋และสาวใช้หลายคนก็มองตัวเองด้วยความชื่นชม พวกเขาพูดด้วยความสุภาพมากขึ้นและไม่ให้ตนทำงาน หากมีสง่าราศีและร่ำรวยอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าคนอื่นจะยกย่องตัวเองอย่างไร เมื่อคิดแล้วหลี่ว์ชีเอ๋อร์ก็ฝืนความเจ็บปวดที่คอ ลุกขึ้นยืนเดินออกไปที่ประตูมองไปรอบๆ ไม่เห็นใคร เดินผ่านทางเล็กข้างหลัง เดินไปที่ประตูด้านข้างที่ห่างไกลผู้คน เปิดประตูดัง เอี๊ยด แล้วออกไป ในตรอกเล็กๆ ข้างประตูด้านข้างมีผู้หญิงสองสามคนที่มีลูกน้อยอยู่ในอ้อมแขนรออยู่เป็นเวลานานแล้ว เมื่อเห็นหลี่ว์ชีเอ๋อร์ออกมาพวกเขาก็พากันรุม “น้องชีเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็ออกมาเสียที เรามาเก็บเงินกับเจ้าจนแทบจะเข้าไปในพระราชนิเวศน์แล้วน่ะ” “นั่นน่ะสิ เมื่อกี้เราแสดงกันเหนื่อยมากเลยนะ สมจริงยิ่งกว่านักแสดงในโรงละครเสียอีก” หลี่ว์ชีเอ๋อร์ขมวดคิ้ว วางนิ้วไว้ตรงริมฝีปากก่อนจะทำเสียง ชู่ว กดเสียงต่ำ “เงียบๆ! อยากให้มีคนได้ยินรึไง” พวกผู้หญิงปิดปากและแบมือพลางยิ้ม หลี่ว์ชีเอ๋อร์หยิบเงินออกมาจากแขนเสื้อ ให้คนละสองสามเหรียญ จากนั้นก็เตือนสติอีกครั้ง “เรื่องของวันนี้ปล่อยให้มันเน่าในท้องไปเสีย ในเมื่อรับเงินข้าไปแล้ว อย่าพูดถึงเรื่องนี้ไปทั่ว” ผู้ประสบภัยสาวหลายคนเขย่าเงิน มองหน้ากันแล้วพูดว่า “น้องชีเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าทำงานที่พระราชนิเวศน์เจ้าเป็นถึงคนรับใช้ภายใต้ท่านอ๋องเชียวนะ เงินเพียงน้อยนิดเท่านี้เองหรือ อย่าตระหนี่ไปหน่อยเลย เมื่อครู่เราทำงานกันอย่างหนัก ขอเพิ่มอีกสักหน่อยน่า บ้านของเราถูกน้ำพัดหายไปและเราจำเป็นต้องสร้างใหม่ กำลังขาดเงินพอดี” เมื่อเห็นพวกเขาจะโก่งราคา หลี่ว์ชีเอ๋อร์พลันเดือดดาล “เป็นคนน่ะ อย่าโลภเกินไปหน่อยเลย เงินเล็กน้อยนี้เป็นสมบัติทั้งหมดของข้าแล้ว ให้พวกเจ้าไป ข้าก็หมดตัวพอดีน่ะสิ ขยับปากแค่นิดหน่อยก็ได้เงินเยอะขนาดนี้แล้ว ยังไม่พอใจอีกหรือ รับเงินแล้วก็รีบไปเสีย” พวกผู้หญิงยิ้มเยาะ พูดติดตลก “โอ้โห ขยับปากอย่างนั้นหรือ อย่าคิดว่าเราไม่รู้ พวกเราแค่ขยับปาก แต่ทำให้น้องชีเอ๋อร์เข้าสู่เส้นทางร่ำรวยในเมืองหลวงเชียวนะ” แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้กดดันอะไรอีก รับค่าการแสดงและค่าปิดปากแล้วก็จากไป เมื่อหลี่ว์ชีเอ๋อร์เห็นบรรดาหญิงสาวพวกนั้นจากไปแล้ว นางก็เปิดประตูอย่างเงียบๆ และเดินเข้าไป ตอนพลบค่ำขุนนางทหารวางกับดัก ทำให้พวกโจรพเนจรที่หนีจากกองทหารซานอิงถูกจับได้ที่นอกเมือง ยกเว้นผู้ที่เสียชีวิตโดยขุนนางทหารในที่เกิดเหตุ ส่วนที่เหลือถูกนำตัวไปยังคุกของทางการเพื่อรับโทษ เนื่องจากตอนนี้เสบียงบรรเทาทุกข์ถึงมือและภัยพิบัติสงบลงแล้ว ภัยพิบัติทางธรรมชาติและการจลาจลจากมนุษย์ต่างคลี่คลายลงทั้งคู่ ณ อำเภอเพ่ย เว่ยอ๋องได้ยินว่าเมืองเยี่ยนหยางจับโจรภูเขาที่เหลือได้ จึงสั่งให้สายลับตรวจสอบพวกเขาอย่างละเอียด มันก็ยิ่งสรุปได้ว่าคนที่เผากระโจมในยามราตรี ไม่ใช่คนของซานอิงแต่อย่างใด เรื่องจริงก็ส่วนเรื่องจริง ไม่มีหลักฐานอ้างอิงได้ ทำอะไรเจ้าสามนั่นไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่คนของซานอิง และไม่อาจปรักปรำว่าเป็นคนที่ฉินอ๋องส่งคนมาได้เช่นกัน ต่อให้เว่ยอ๋องจะรู้อยู่แก่ใจ ทว่าไม่มีหลักฐาน ก็ทำได้เพียงแค่กล้ำกลืนฝืนทน แต่เดิมจะใช้โอกาสนี้เพื่อให้เจ้าสามลำบากและทุกข์ทรมาน และถูกลงโทษอีกครั้งเมื่อกลับเมืองหลวง คิดไม่ถึงว่าจะถูกเขาหลอกเอาเสบียงไปและได้ความดีความชอบไปอีก หลังจากฟังคำจากสายลับแล้ว เว่ยอ๋องก็หน้าแดงอยู่ในห้องด้วยความโกรธ เมื่อคิดว่าเจ้าสามที่ได้หน้าหลังจากกลับราชสำนัก เขายิ่งสงบใจลงยาก พลางสาปแช่ง “ไอ้คนเลือดสกปรกผู้นี้ถือว่ายังมีโชคอยู่ ถึงจะทำให้จลาจลในเยี่ยนหยางสงบลงแล้วก็เถอะ แม้แต่กลุ่มโจรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดก็ถูกกวาดล้างไปแล้วในตอนนี้ จะมาแย่งชิงเสบียงอาหารของข้าอีก โธ่โว้ย สวรรค์ไม่มีตาเอาเสียเลย!” ทว่าได้ยินสายลับคนนั้นเอ่ย “องค์ชายห้า ข้าน้อยได้ยินมาว่ามีวีรสตรีคนหนึ่งในค่ายบัญชาการของเยี่ยนหยาง ที่คราวนี้ฉินอ๋องสามารถฆ่าโจรได้อย่างราบรื่นและทำให้เยี่ยนหยางสงบสุขได้ เป็นคุณูปการของผู้หญิงคนนั้น” “วีรสตรีอย่างนั้นหรือ” เว่ยอ๋องสงสัย “ผู้หญิงเพียงคนเดียว จะทำคุณูปการอะไรได้” สายลับเอ่ย “อันที่จริงนางเป็นเพียงเด็กสาวบ้านนอกธรรมดาๆ เดิมทีนางลี้ภัยมาที่เยี่ยนหยาง ข้าได้ยินมาว่านางเป็นสมาชิกของโจรโพกผ้าเหลือง ต่อมานางถูกจับตัวและให้ทางการมาช่วย นางให้เบาะแสระหว่างทางและวางแผนต่างๆ ได้ยินมาว่าที่โจรโพกผ้าเหลืองและซานอิงถูกทำลาย ต่างเป็นฝีมือนาง ฉินอ๋องให้ความสำคัญกับผู้หญิงคนนี้มากและกำลังเตรียมตัวพานางกลับไปที่เมืองหลวง หากข้าน้อยทายไม่ผิดการหลอกเว่ยอ๋อง เพื่อล่อเอาอาหารไปที่ประตูในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นคนต้นคิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เพราะบุญคุณของหลี่ว์ปา อวิ๋นหว่านชิ่นจึงให้โอกาสนางอีกครั้ง
หลังจากตอบแทนแล้ว นางก็ไม่ติดหนี้หลี่ว์ชีเอ๋อร์อีกต่อไป
หลี่ชีเอ๋อร์ผงะเมื่อถูกถาม และน้ำตาที่ห่อหุ้มดวงตาทั้งสองก็ร่วงผล็อยลงมา “ข้ายังมีโอกาสไหม”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองนางและลุกขึ้น
หลี่ว์ชีเอ๋อร์คิดอะไรบางอย่างออก ครั้งก่อนที่ตนเริ่มอ้อนวอน นางปฏิเสธตรงๆ ถามครั้งนี้ก็ควรจะตอบตกลงได้แล้ว นางเดินโซเซออกจากเตียงและคุกเข่าลงด้วยน้ำตาโดยไม่คำนึงถึงความเจ็บที่คอ “ขอบคุณแม่นางชิ่งเอ๋อร์ที่เมตตาในครั้งนี้!”
หากพูดจากใจจริงแล้วอวิ๋นหว่านชิ่นยังคงไม่รู้สึกดีต่อหลี่ว์ชีเอ๋อร์มากนัก ต่อให้นางจะใช้ชีวิตอย่างซึมเศร้าจนแทบไม่เหมือนมนุษย์ในช่วงสองสามวันนี้ แต่นางก็หมกมุ่นอยู่กับการทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งความโปรดปรานและแม้กระทั่งช่วยเหลืออวิ๋นหว่านชิ่นเองอย่างลับๆ สิ่งเหล่านี้นางก็ยังคงไม่ชอบอยู่ดี ไม่ได้เป็นเพราะว่านางเคยมีความบาดหมางต่อตนเอง พูดได้แค่ว่าวาสนาของคนกับคนมีข้อจำกัด บางคนอาจชื่นชมกันทันทีที่พบเจอ เช่น หงเยียน ครั้งแรกที่พบกันไม่รู้ว่าทำไมถึงวางใจจนยกการค้าให้นางจัดการ
สำหรับบางคน การจะอยู่ด้วยกันนานๆ นั้นเป็นเรื่องยาก
เมื่อเห็นนางปิดหน้าสะอื้นไห้ อวิ๋นหว่านชิ่นก็ประคองนางลุกขึ้น ก้มศีรษะลงเอียงข้าง ก่อนจะกระซิบข้างหู “ไม่ต้องขอบคุณข้า ขอบใจพี่ชายเจ้าเถิด ข้าเป็นหนี้บุญคุณเขา ไม่มีทางคืนให้เขาได้ ข้าได้แต่จ่ายคืนให้เจ้าได้เท่านั้น เจ้าไม่ชอบโดนด่าว่าเนรคุณ และข้าไม่อยากถูกคนอื่นด่าเช่นนั้นเหมือนกัน” นางหยุดไปชั่วครู่ “แต่สิ่งที่ข้าทำไปทั้งหมด ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว สิ่งที่ข้าหามาให้เจ้า คือโอกาสเดียวและไม่มีอะไรโอกาสอื่นอีก”
ประโยคสุดท้ายเต็มไปด้วยสัญญาณเตือน
หลี่ว์ชีเอ๋อร์สะดุ้งและยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าจะกล้าขออะไรจากแม่นางชิ่งเอ๋อร์ได้อีกเล่า เพียงแค่นี้ก็เป็นความกรุณาอย่างยิ่งแล้ว”
กระโปรงของอวิ๋นหว่านชิ่นสะบัดขึ้นและหันตัวออกจากเซียงฝาง
ซือเหยาอันตามมา ได้ยินการสนทนาของนางกับหลี่ว์ชีเอ๋อร์ในห้อง ก่อนจะเอ่ย “เดี๋ยวข้าน้อยจะไปบอกองค์ชายสามให้ขอรับ”
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้า
ภายในห้อง ป้าอู๋เหลือบมองไปที่หลี่ว์ชีเอ๋อร์ สีหน้ามีความเหยียดหยามน้อยกว่าปกติและมีความประจบสอพลอมากขึ้น “ชีวิตของเจ้าไม่เลวร้ายนี่นา ได้พบกับผู้สูงศักดิ์ แม่นางชิ่งเอ๋อร์เอ่ยปากแล้ว เจ้าคิดดูนะ เจ้าสามารถกลับเมืองหลวงได้เก้าในสิบส่วน ถ้าเจ้าร่ำรวยอย่าลืมพวกเราล่ะ”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์สะอื้น “ข้าไปเมืองหลวง เพียงแค่เปลี่ยนที่อยู่เพื่อให้มีชีวิตใหม่เท่านั้น ข้าจะรวยได้ที่ไหนกัน ขอแค่มีอาหารสามมื้อและเสื้อผ้าอุ่นๆ ก็เป็นพอ”
ป้าอู๋ไม่ได้พูดอะไรมาก “ก็ได้ๆ เจ้าต้องพักผ่อนก่อน อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ดังนั้นวันนี้ไม่ต้องทำงาน” เอ่ยพลางโบกมือ แล้วนำสาวใช้ในห้องลุกออกไป
ในห้องที่เงียบสงบ หลี่ว์ชีเอ๋อร์จมอยู่ในความประหลาดใจ ยังไม่ได้สติ บอกว่าไม่ได้แสวงหาความมั่งคั่ง แต่ในเมื่อได้ไปยังสถานที่ที่มั่งคั่งและมีโอกาสมากมาย ไม่หวังว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร ทหารในค่ายบัญชาการต่างบอกว่า ทหารที่ไม่อยากเป็นแม่ทัพล้วนไม่ใช่ทหารที่ดี
เพียงแค่สามารถกลับไปเมืองหลวง พร้อมกับกองทหารของฉินอ๋อง ป้าอู๋และสาวใช้หลายคนก็มองตัวเองด้วยความชื่นชม พวกเขาพูดด้วยความสุภาพมากขึ้นและไม่ให้ตนทำงาน หากมีสง่าราศีและร่ำรวยอย่างแท้จริง ไม่รู้ว่าคนอื่นจะยกย่องตัวเองอย่างไร
เมื่อคิดแล้วหลี่ว์ชีเอ๋อร์ก็ฝืนความเจ็บปวดที่คอ ลุกขึ้นยืนเดินออกไปที่ประตูมองไปรอบๆ ไม่เห็นใคร เดินผ่านทางเล็กข้างหลัง เดินไปที่ประตูด้านข้างที่ห่างไกลผู้คน เปิดประตูดัง เอี๊ยด แล้วออกไป
ในตรอกเล็กๆ ข้างประตูด้านข้างมีผู้หญิงสองสามคนที่มีลูกน้อยอยู่ในอ้อมแขนรออยู่เป็นเวลานานแล้ว เมื่อเห็นหลี่ว์ชีเอ๋อร์ออกมาพวกเขาก็พากันรุม
“น้องชีเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็ออกมาเสียที เรามาเก็บเงินกับเจ้าจนแทบจะเข้าไปในพระราชนิเวศน์แล้วน่ะ”
“นั่นน่ะสิ เมื่อกี้เราแสดงกันเหนื่อยมากเลยนะ สมจริงยิ่งกว่านักแสดงในโรงละครเสียอีก”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ขมวดคิ้ว วางนิ้วไว้ตรงริมฝีปากก่อนจะทำเสียง ชู่ว กดเสียงต่ำ “เงียบๆ! อยากให้มีคนได้ยินรึไง”
พวกผู้หญิงปิดปากและแบมือพลางยิ้ม
หลี่ว์ชีเอ๋อร์หยิบเงินออกมาจากแขนเสื้อ ให้คนละสองสามเหรียญ จากนั้นก็เตือนสติอีกครั้ง “เรื่องของวันนี้ปล่อยให้มันเน่าในท้องไปเสีย ในเมื่อรับเงินข้าไปแล้ว อย่าพูดถึงเรื่องนี้ไปทั่ว”
ผู้ประสบภัยสาวหลายคนเขย่าเงิน มองหน้ากันแล้วพูดว่า “น้องชีเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าทำงานที่พระราชนิเวศน์เจ้าเป็นถึงคนรับใช้ภายใต้ท่านอ๋องเชียวนะ เงินเพียงน้อยนิดเท่านี้เองหรือ อย่าตระหนี่ไปหน่อยเลย เมื่อครู่เราทำงานกันอย่างหนัก ขอเพิ่มอีกสักหน่อยน่า บ้านของเราถูกน้ำพัดหายไปและเราจำเป็นต้องสร้างใหม่ กำลังขาดเงินพอดี”
เมื่อเห็นพวกเขาจะโก่งราคา หลี่ว์ชีเอ๋อร์พลันเดือดดาล “เป็นคนน่ะ อย่าโลภเกินไปหน่อยเลย เงินเล็กน้อยนี้เป็นสมบัติทั้งหมดของข้าแล้ว ให้พวกเจ้าไป ข้าก็หมดตัวพอดีน่ะสิ ขยับปากแค่นิดหน่อยก็ได้เงินเยอะขนาดนี้แล้ว ยังไม่พอใจอีกหรือ รับเงินแล้วก็รีบไปเสีย”
พวกผู้หญิงยิ้มเยาะ พูดติดตลก “โอ้โห ขยับปากอย่างนั้นหรือ อย่าคิดว่าเราไม่รู้ พวกเราแค่ขยับปาก แต่ทำให้น้องชีเอ๋อร์เข้าสู่เส้นทางร่ำรวยในเมืองหลวงเชียวนะ” แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้กดดันอะไรอีก รับค่าการแสดงและค่าปิดปากแล้วก็จากไป
เมื่อหลี่ว์ชีเอ๋อร์เห็นบรรดาหญิงสาวพวกนั้นจากไปแล้ว นางก็เปิดประตูอย่างเงียบๆ และเดินเข้าไป
ตอนพลบค่ำขุนนางทหารวางกับดัก ทำให้พวกโจรพเนจรที่หนีจากกองทหารซานอิงถูกจับได้ที่นอกเมือง
ยกเว้นผู้ที่เสียชีวิตโดยขุนนางทหารในที่เกิดเหตุ ส่วนที่เหลือถูกนำตัวไปยังคุกของทางการเพื่อรับโทษ เนื่องจากตอนนี้เสบียงบรรเทาทุกข์ถึงมือและภัยพิบัติสงบลงแล้ว ภัยพิบัติทางธรรมชาติและการจลาจลจากมนุษย์ต่างคลี่คลายลงทั้งคู่
ณ อำเภอเพ่ย เว่ยอ๋องได้ยินว่าเมืองเยี่ยนหยางจับโจรภูเขาที่เหลือได้ จึงสั่งให้สายลับตรวจสอบพวกเขาอย่างละเอียด มันก็ยิ่งสรุปได้ว่าคนที่เผากระโจมในยามราตรี ไม่ใช่คนของซานอิงแต่อย่างใด
เรื่องจริงก็ส่วนเรื่องจริง ไม่มีหลักฐานอ้างอิงได้ ทำอะไรเจ้าสามนั่นไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
ไม่ใช่คนของซานอิง และไม่อาจปรักปรำว่าเป็นคนที่ฉินอ๋องส่งคนมาได้เช่นกัน ต่อให้เว่ยอ๋องจะรู้อยู่แก่ใจ ทว่าไม่มีหลักฐาน ก็ทำได้เพียงแค่กล้ำกลืนฝืนทน
แต่เดิมจะใช้โอกาสนี้เพื่อให้เจ้าสามลำบากและทุกข์ทรมาน และถูกลงโทษอีกครั้งเมื่อกลับเมืองหลวง คิดไม่ถึงว่าจะถูกเขาหลอกเอาเสบียงไปและได้ความดีความชอบไปอีก
หลังจากฟังคำจากสายลับแล้ว เว่ยอ๋องก็หน้าแดงอยู่ในห้องด้วยความโกรธ เมื่อคิดว่าเจ้าสามที่ได้หน้าหลังจากกลับราชสำนัก เขายิ่งสงบใจลงยาก พลางสาปแช่ง “ไอ้คนเลือดสกปรกผู้นี้ถือว่ายังมีโชคอยู่ ถึงจะทำให้จลาจลในเยี่ยนหยางสงบลงแล้วก็เถอะ แม้แต่กลุ่มโจรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดก็ถูกกวาดล้างไปแล้วในตอนนี้ จะมาแย่งชิงเสบียงอาหารของข้าอีก โธ่โว้ย สวรรค์ไม่มีตาเอาเสียเลย!”
ทว่าได้ยินสายลับคนนั้นเอ่ย “องค์ชายห้า ข้าน้อยได้ยินมาว่ามีวีรสตรีคนหนึ่งในค่ายบัญชาการของเยี่ยนหยาง ที่คราวนี้ฉินอ๋องสามารถฆ่าโจรได้อย่างราบรื่นและทำให้เยี่ยนหยางสงบสุขได้ เป็นคุณูปการของผู้หญิงคนนั้น”
“วีรสตรีอย่างนั้นหรือ” เว่ยอ๋องสงสัย “ผู้หญิงเพียงคนเดียว จะทำคุณูปการอะไรได้”
สายลับเอ่ย “อันที่จริงนางเป็นเพียงเด็กสาวบ้านนอกธรรมดาๆ เดิมทีนางลี้ภัยมาที่เยี่ยนหยาง ข้าได้ยินมาว่านางเป็นสมาชิกของโจรโพกผ้าเหลือง ต่อมานางถูกจับตัวและให้ทางการมาช่วย นางให้เบาะแสระหว่างทางและวางแผนต่างๆ ได้ยินมาว่าที่โจรโพกผ้าเหลืองและซานอิงถูกทำลาย ต่างเป็นฝีมือนาง ฉินอ๋องให้ความสำคัญกับผู้หญิงคนนี้มากและกำลังเตรียมตัวพานางกลับไปที่เมืองหลวง หากข้าน้อยทายไม่ผิดการหลอกเว่ยอ๋อง เพื่อล่อเอาอาหารไปที่ประตูในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นคนต้นคิดพ่ะย่ะค่ะ!”