ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่172.2 ตำหนักซานชิง กับ การปกป้องภรรยา (2)
ในเมื่อเป็นเรื่องของสตรีในพระบรมวงศานุวงศ์ อีกทั้งยังเป็นเรื่องของราชตระกูลด้วย หากมีขุนนางคนนอกอยู่นั้นไม่สะดวก
พวกขุนนางกำลังจะลุกจากไป ทว่ากลับเห็นว่าหญิงสาวพูดกับรัชทายาทด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด “ฝ่าบาท สิ่งที่หม่อมฉันจะพูดต่อจากนี้ อาจมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับทุกคนในที่นี้ ให้อยู่ฟังต่อและเป็นพยานก็ได้เพคะ”
“ในเมื่อพระชายาฉินอ๋องยืนยันที่จะให้ขุนนางทุกท่านอยู่ต่อ ก็ย่อมได้” มเหสีรองเหวยเอ่ย สุดท้ายคนเป็นเด็กเป็นเล็กไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ กลัวว่าเรื่องราวจะใหญ่จะน่าอายไม่พอหรือ เช่นนั้นก็ตอบสนองความปรารถนาของนางแล้วกัน
บั้นท้ายของทุกคนกลับลงไปนั่งอีกครั้ง จากการให้สัญญาณของรัชทายาท
ข้าราชบริพารพาอวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้ามาช่องทางเดินในตำหนักซานชิง ถอดเครื่องหัวด้วยความปราดเปรียว จากนั้นก็ถอดผมออก อีกทั้งค่อยๆ ดึงคิ้วและ ‘ไฝ’ บนแก้มออก
ในเวลาเดียวกัน ข้าราชบริพารไปนำน้ำร้อนและสบู่ตามที่นางสั่งมา พอเข้ามาหญิงสาวก็เปลี่ยนไปครึ่งหนึ่งแล้ว เผยหน้าตาสะสวยอยู่รำไร เดิมทีผมที่บางและแห้งเสียแปรเปลี่ยนเป็นนุ่มหนาและดกดำ มันเงาเป็นประกายจนเห็นเงาคน เนื่องจากถูกมัดไว้เป็นเวลานาน จึงมีรอยโค้งงอตามธรรมชาติ ทำให้รูปหน้านุ่มนวลและงดงามขึ้น บริเวณแก้มที่เคยตอบลงพลันเต็มขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ เหมือนกับอ่างที่แห้งแล้งถูกเติมเต็มไปด้วยดิน
คนในวังแอบรู้สึกประหลาดใจ แต่เห็นว่านางสัมผัสน้ำมันซิ่งเหริน [1] บนท้องนิ้ว วาดวงกลมลงบนแก้ม เช็ดเครื่องสำอางหนาๆ ทีละน้อย แล้วก้มลงล้างหน้าด้วยน้ำหลายๆ ครั้ง ก่อนจะล้างด้วยสบู่กุหลาบและสุดท้ายก็เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าที่คนในวังส่งมาให้
ณ ตำหนักซานชิง พระชายาเพิ่งเยื้องกายออกมา คนภายในตำหนักอดใจไม่ไหว ก็พากันแอบกระซิบกระซาบ
รัชทายาทสั่งให้ยกเก้าอี้ทรงกลมเลี่ยมทองลายหงส์ร้อยวิหคให้มเหสีรองเหวยนั่ง
เมื่อมเหสีรองเหวยพูดเรื่องสำคัญจบ หลังจากนั่งลงบนบัลลังก์ตั่งทอง มองผ่านม่านเห็นใบหน้าตึงเครียดของฉินอ๋อง จึงจับนิ้วอันนุ่มนวล โดยที่เล็บทั้งห้าเคลือบสีสันสดใสอย่างไม่สนใจใยดี อยากจะใช้โอกาสนี้มาสร้างคุณงามความดีหรือ ข้าจะทำให้คราวนี้พวกเจ้าสองคนได้เล่นสนุกจนถึงที่สุด
ภายนอกตำหนัก หัวหน้าขันทีตะโกนรายงาน “พระชายาฉินอ๋องเสด็จมาถึงแล้ว…” น้ำเสียงรายงานสั่นเครืออย่างเก็บอาการไม่อยู่ ราวกับเห็นคนที่มาถึง ก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน นิ นี่คือคนคนนั้นที่เพิ่งออกไปจริงๆ หรือ
ภายในตำหนัก ทั้งรัชทายาท ขุนนางและคนในวังต่างพากันหันไปมองตามเสียง มองไปยังทางเดียวกัน
หลี่ว์ชีเอ๋อร์จับแขนเสื้อแน่น กลั้นลมหายใจ…
รองเท้าไหมเยื้องกรายลงบนพื้น กระโปรงผ้าไหมพัดผ่านธรณีประตูตำหนัก ลมพัดพากลิ่นหอมอ่อนๆ ให้ลอยไป
หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดเรียบง่ายของวังหลวง ไม่มีการปกคลุมจากการแต่งหน้าที่แน่นหนัก เผยผิวอันละเอียดอ่อนนุ่มให้โดดเด้งออกมา คิ้วและดวงตาดูเหมือนดวงดาวอันหนาวเหน็บสีคราม ยิ้มพลางขมวดคิ้ว ผมสีดำขลับแก้มขาวนุ่มให้เปล่งประกายแวววาว ผิวพรรณดั่งหยกเม็ดงาม แม้ว่าจะไม่ได้ทาแป้งแม้แต่เล็กน้อย ทว่ากลับเฉิดฉายไปทั่วทั้งตำหนัก
เมื่อเดินเข้ามาถึงในตำหนัก หญิงสาวคุกเข่าลง ก่อนจะกราบทำความเคารพอีกครั้ง “หม่อมฉันคารวะองค์รัชทายาท”
ผู้คนนานับในที่แห่งนี้ ประหนึ่งลืมไปแล้วว่าพระชายาฉินอ๋องมาเพื่อรับบทลงโทษ
“ให้ตายเถอะ เป็นผู้หญิงจริงๆ ด้วย…” หัวหน้าหน่วยถังกำหมัดแน่น พึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ “แถมยังเป็นสาวงามด้วย”
“หุบปากเน่าๆ ของแกเสีย ผู้หญิงอะไรเล่า นี่มันพระชายาฉินอ๋อง! คงต้องเย็บปากอันโสมมของเจ้าเสียแล้วกระมัง” เป็นคนภูมิฐานขึ้นมาหน่อย ทว่าคำพูดของเขาก็แฝงไปด้วยเสียงสั่นเทา
“จบกันๆ เจ้าว่าข้าจะถูกลงโทษเพราะไม่เคารพพระชายาไหม ข้าเห็นว่าชิ่งเกอเอ๋อร์หน้าตาขาวนวล จึงแกล้งไปเยอะที่สุด เฮ้อ!” หัวหน้าหน่วยถังเตรียมใจตายแล้ว
ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังบ่นพึมพำกันอยู่นั้นเอง อีกด้าน ผู้ตรวจราชการเหลียงพลันเบิกตาโพลง ราวกับฟ้าผ่า
คนทั้งตำหนักต่างตกตะลึง มีเพียงซย่าโหวซื่อถิงเท่านั้นที่หน้าดำคล้ำเครียด
นางคือพระชายาฉินอ๋อง…นางคือพระชายาฉินอ๋องจริงๆ ด้วย จนกระทั่งวินาทีนี้ในหัวหลี่ว์ชีเอ๋อร์ยังมีเสียงอื้ออึง ไม่อยากจะปักใจเชื่อ แต่พอดูอย่างละเอียดอีกครั้ง ท่าทางและสายตาก็รู้สึกละม้ายคล้ายคลึงกันจริงๆ ร่างกายของหลี่ว์ชีเอ๋อร์สั่นระริก และเชื่อในที่สุด
นางยังเคยหึงต่อหน้าพระชายาฉินอ๋องอยู่เลย น่าขำเสียจริง
มารยาทเช่นนี้ดีกว่าที่ตนเองจินตนาการไว้ไม่รู้กี่เท่า! หลี่ว์ชีเอ๋อร์กำหมัดและก้มศีรษะลง ความดีใจที่ได้เข้ามาในวังก็จางหายไปทันที
เมื่อเข้าไปนั่ง รัชทายาทก็กล่าวว่า “พระชายาฉินอ๋องครานี้ทำเกินไปแล้วจริงๆ พฤติกรรมของสะใภ้ราชวงศ์เป็นแบบอย่างให้ผู้หญิงใต้ฟ้า เจ้าคือพระชายาฉินอ๋อง ยิ่งควรปฏิบัติตามธรรมเนียมอย่างเคร่งครัดและระวังในทุกเรื่อง คราวนี้เสี่ยงกับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ของโลก ก่อนที่จะทำไม่ได้คำนึงถึงผลที่ตามมาเลยหรือ เจ้าเป็นลูกสะใภ้คนแรกที่เพิ่งแต่งงานใหม่ เจ้ายังเด็กและไม่รู้เรื่องรู้ราว ก็คงมีเหตุผลที่ได้ทำลงไป” เอียงคอและกล่าวด้วยเสียงแหลม “ฉินอ๋อง หรือว่าผู้เป็นสามีเช่นเจ้าก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวไปกับเขาด้วย อีกอย่าง พระชายาฉินอ๋องจะไปสถานที่ที่ไกลขนาดนั้นได้อย่างไงไร ใครเป็นคนช่วย!”
มเหสีรองเหวยเห็นว่ารัชทายาทพูดเหมือนจะโทษพระชายาฉินอ๋อง ทว่าในคำพูดเห็นได้ชัดว่ากำลังพูดเพื่อให้นางพ้นโทษ แกล้งโง่และนำความผิดครานี้โยนไปให้คนอื่น จึงหัวเราะเสียงเย็นอย่างห้ามไม่อยู่ ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าพระชายาฉินอ๋องรู้จักกับตงกง ตั้งแต่ก่อนที่จะแต่งงานแล้ว ที่แท้ก็มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเช่นนี้นี่เอง ไม่อย่างนั้นรัชทายาทจะลำเอียงขนาดนี้ได้อย่างไร!
ซย่าโหวซื่อถิงยืดตัว ก่อนจะเดินไปข้างหน้า จากคำพูดของรัชทายาท ซือเหยาอันรู้ดีว่าองค์ชายสามจะถือโอกาสนำความผิดมาไว้ที่ตนเอง จึงร้อนใจ ก่อนจะยื่นมือออกไปเพื่อที่จะรั้งไว้ ทว่าก็คว้าเพียงอากาศ
“รัชทายาท การที่คนของข้าไปเยี่ยนหยางในครานี้…”
ยังไม่ทันพูดจบ อวิ๋นหว่านชิ่นก็พูดขัดขึ้นก่อน “เป็นการตัดสินใจของหม่อมฉันเองเพคะ หม่อมฉันแฝงตัวไปในทหารตระกูลเฉินไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลยแม้แต่น้อย ทั้งทหารตระกูลเฉินและท่านอ๋องต่างไม่รู้เรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ จนกระทั่ง…” เหล่มองมเหสีรองเหวยแวบหนึ่ง “ตอนที่มเหสีรองเดินเข้ามาในตำหนัก ท่านอ๋องถึงเพิ่งจะรู้”
ซย่าโหวซื่อถิงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะระงับความโกรธภายในใจ ถ้าทำได้เขาอยากบีบคอนางไว้ เพื่อให้นางเงียบ!
เขาไม่เคยคิดว่าการทำตามหัวใจของนางเป็นเรื่องไม่ดี แต่ในตอนนี้เขาเสียใจจริงๆ! ไม่ควรจริงๆ ไม่ควรทำให้นางมีความกล้ามากขนาดนี้
หรือนางคิดว่านางเป็นพระชายา ขุนนางฝ่ายในจะยอมนางหรือ ราชนิกูลที่ถูกรังแกจากขุนนางในและโดนลงโทษจนต้องร้องขอชีวิตมีเยอะไม่พอหรืออย่างไร
เมื่อรัชทายาทเห็นว่าอวิ๋นหว่านชิ่นน้อมรับความผิดแต่เพียงผู้เดียว คิดอยากจะช่วยก็ยากแล้ว “หรือว่าพระชายาไม่รู้ว่าจะโดนทำโทษ”
ฮ่องเต้กำลังนอนประชวร รัชทายาทดูแลการบริหารประเทศและรับผิดชอบหน้าที่ของโอรสสรรค์ อวิ๋นหว่านชิ่นมองไปยังชายหนุ่มผู้น่าเกรงขามที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ถือเป็นโอกาสดี หากเป็นหนิงซีฮ่องเต้ มเหสีรองเหวยอาจจะพูดขัดขึ้นมาจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ทว่าเป็นรัชทายาท มเหสีรองเหวยจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร
“ทราบแน่นอนเพคะ” น้ำเสียงของอวิ๋นหว่านชิ่นงดงามดั่งหยกใส “เพียงแต่ถ้าเทียบกับการโดนลงโทษแล้ว หม่อมฉันอยากแบ่งเบาภาระของราชสำนักแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี นอกเสียจากรัชทายาทและใต้เท้าทุกท่านจะคิดว่าพละกำลังของหญิงสาวไม่เพียงพอ ราชสำนักไม่แยแสในส่วนนี้ ทว่า เมื่อครู่หม่อมฉันได้ยินสมุหนายกอวี้พูดกับรัชทายาทไม่ต่ำกว่าสองครั้งว่า ฮ่องเต้เคยตรัสว่า การตบรางวัลนั้นไม่แบ่งแยกชายหญิงสูงต่ำ มอบให้แก่ทุกคนอย่างเท่าเทียม”
มเหสีรองเหวยหัวเราะ “พระชายาฉินอ๋องอย่างพูดจาเรื่อยเปื่อยไปไกลหน่อยเลย คนที่ออกแรงสยบเหตุจลาจลแห่งเยี่ยนหยางได้ก็คือฉินอ๋อง เว่ยอ๋อง แม่ทัพเฉินและขุนนางในพื้นที่ เจ้าเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ จะสร้างคุณงามความดีอะไรได้ หากเป็นคุณูปการจริงๆ สามารถชดเชยความผิดพลาดของเจ้าที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งของฮ่องเต้ ล้มล้างกฎของพระราชวัง ออกไปจากเมืองหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโจรโพกผ้าเหลืองหรือ”
“ไม่ทราบว่าจากเหตุการณ์จลาจลแห่งเยี่ยนหยาง สามารถจับขุนนางที่จะวางแผนการกบฏได้ ถือว่าเป็นคุณูปการหรือไม่” อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบมองมเหสีรองเหวย น้ำเสียงเจียมเนื้อเจียมตัว ดวงตาโค้งยิ้ม
เมื่อคำพูดนี้เอ่ยออกไป ขุนนางทั้งสองฝั่งเริ่มส่งเสียงอื้ออึง
[1] น้ำมันซิ่งเหริน หมายถึงน้ำมันอัลมอนด์