ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่175.2ส่งความอบอุ่นในคืนอันเหน็บหนาว(2)
สตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายที่ได้รับโทษมาอยู่ที่อารามฉางชิง เพิ่งเข้ามาไม่อารมณ์ฉุนเฉียว พาลโกรธไปทั่ว ก็แสดงสีหน้าบึ้งตึง อย่างน้อยก็ก้มหน้าสลดหดหู่ กลัดกลุ้มใจ สีหน้าไม่ดี
นี่เป็นครั้งแรกที่เหล่าแม่ชีได้เจอสตรีที่เหมือนได้สัมผัสความรู้สึกที่มีแขกมาถึงหน้าประตู จะมองอย่างไรก็ไม่เหมือนคนใจกล้าบ้าบิ่น บุ่มบ่ามมุทะลุหรือเป็นสตรีสูงส่งงดงามที่ไร้สมอง
แม่ชีที่ออกบวช อดไม่ได้ที่จะก้มลงกระซิบข้างหู
แค่แม่ชีอาวุโสท่านหนึ่งตำหนิ ทุกคนก็เงียบลง
แม่ชีอาวุโสอายุประมาณ 50 ปี ใบหน้าผอมเรียว ลักษณะเคร่งขรึม คือแม่ชีจิ้งอี้หัวหน้าดูแลจัดการอารามฉางชิงแห่งนี้ อาศัยที่โบสถ์ในอารามแห่งนี้มาเป็นเวลานานแล้ว นับว่าเป็นผู้อาวุโสที่สุดในอารามฉางชิง
แม่ชีจิ้งอี้พอทราบแล้วว่าจะมีพระญาติฝ่ายในมาที่นี่ เดิมที่คิดว่าโทษของสตรีสูงส่งคงเป็นเรื่องคุ้นเคยจำพวกหึงหวง แย่งชิงความโปรดปราน วางยาทำแท้ง เรื่องเดิมๆ ที่ต่อสู้กันไปมา ตอนนั้นยังยิ้มมุมปาก ดูแคลนเป็นอย่างมาก พวกเขายังไม่มีความคิดแบบใหม่อีกหรือ
สตรีหลังวังพวกนี้ต่อสู้กันเพื่อให้บุรุษมารักใคร่เอ็นดู วิธีการก็มีแค่เรื่องน่าขันเหล่านี้เท่านั้น สุดท้ายก็ส่งตนเองเข้ามาที่นี่
คาดไม่ถึงว่าเพียงได้ฟังรายละเอียด หน้าก็เปลี่ยนสี
สตรีที่แต่งงานแล้ว ออกจากบ้านสามีไม่บอกกล่าว ไปแฝงตัวอยู่กับกบฏโดยพลการ เดิมที่ก็เป็นความผิดยิ่งใหญ่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงสตรีที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาเอก ทุกอิริยาบถและคำพูดควรเป็นสตรีตัวอย่างของราษฎร ไยถึงทำตามใจตนเองโดยพลการเช่นนี้
เกินไปแล้ว!
แม่ชีจิ้งอี้ก้าวเท้าเดินเข้าใกล้ผู้มาเยือนคนใหม่ กวาดสายตามอง คิ้วขหมวดเล็กน้อย “ในเมื่อมาที่อารามฉางชิงแล้ว นั่นก็คือการมาบำเพ็ญตนต่อหน้าพระพุทธเจ้า มิใช่มาเสวยสุขแต่อย่างใด เราปฏิบัติกับลูกศิษย์เท่ากันทุกคน ไม่แบ่งชนชั้นวรรณะ หลังจากนี้ไปหากว่าล่วงเกิน ก็อย่าได้ถือโทษโกรธเคืองกันเลย”
นับตั้งแต่วันนี้แม่ชีจิ้งอี้ต้องรวบรวมสติเป็นอย่างมากไม่กล้าสะเพร่าเลยสักนิด พระชายาฉินอ๋องอยู่ที่อารามได้สิบกว่าวันแล้ว ดวงตาคู่นี้ได้จ้องมองมาสิบกว่าวันแล้วเช่นกัน จะหากระดูกในไข่[1]ได้เช่นไรกันมองดูแล้วนางก็ไม่มีปัญหาใหญ่อะไร พระชายาอ๋องฉินที่มาใหม่นี้ ความจำดี อ่านหนังสือคำสอนสองรอบก็สามารถอธิบายได้และยังท่องได้ประมาณหนึ่ง คาดไม่ถึงว่านางจะซาบซึ้งในธรรมะมาก
ชีวิตในอารามนั้นจำเจจืดชืด อวิ๋นหว่านชิ่นจะไม่ทำอะไร รอวันปล่อยตัวก็ยังได้ แต่กลับใช้สติปัญญาตั้งใจอ่านคำสอน ทำให้วันเวลาผ่านไปไว แต่ก่อนตอนที่อยู่บ้านก็เคยฆ่าเวลาโดยการคัดลอกมหาปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร หนังสือจำพวกความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพระไตรปิฎก สิบกว่าวันมานี้ได้อ่านคำสอนอาทิเช่น ‘พระไภษัชยคุรุ’ ‘พระสูตรมหายาน’ ‘มหาปรินิรวาณสูตร’ ‘การัณฑะวยูหะสูตร’
ปกติแล้วอารามฉางชิงเงียบสงบ และแยกจากตำหนักอื่นๆ แต่ว่าหลายวันมานี้มีขันทีจากห้องอาหารนำถ่านฟืนน้ำมันและข้าวสารมาส่ง
อากาศเมื่อวันก่อนจู่ๆ ก็เย็นลงและมีลูกเห็บตกลงมา กูกูและมอมอก็บ่นว่าหนาว จึงไปแจ้งกิจการฝ่ายใน
ยามเย็นของวันนี้ ขันทีห้องอาหารจึงได้นำถ่านและฟืนมาเพิ่มให้
ก่อนเข้าเรียนภาคค่ำ เหล่าแม่ชีจะรวมตัวกันฉันอาหารในห้องโถง แม่ชีจะรับผิดชอบทำอาหารและต้มน้ำตามตารางในแต่ละวัน วันนี้เป็นเวรของอวิ๋นหว่านชิ่นที่ต้องไปต้มน้ำในห้องครัว นางนั่งย่องๆ อยู่หลังเตาผิง บังตัวได้พอดี
ขันทีสองคนที่เข้ามาเห็นว่าไม่มีใครจึงเอาฟืนออกวางและคุยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวังช่วงนี้ไปด้วย
อวิ๋นหว่านชิ่นมือหนึ่งหยิบพัดพัดเตา ส่วนหูก็ตั้งตารอฟัง
เหวยเซ่าฮุยมีหลักฐานชัดเจน ผ่านกรมกรมยุติธรรมและศาลสูงไปได้ หลังจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิต้องถูกประหารชีวิตกลางเมือง
จวนเหวยถูกตรวจสอบ ทรัพย์สินถูกยึดเข้าคลังและอำนาจทั้งหมดถูกยึดคืน
ลูกชายทั้งสองและหลานตระกูลเหวยรวมถึงพรรคที่สนิทสนมกับตระกูลเหวยก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ถูกกรมยุติธรรมจับไปขังคุกหลวงรอพิจารณาคดีเท่านั้น
อีกอย่างขุนนางที่สนิทชิดเชื้อกับตระกูลเหวย ตอนนี้ก็วุ่นวายกันไปหมด รีบโยนกันไปโยนกันมา แต่เห็นได้ชัดว่า ครั้งนี้หนิงซีฮ่องเต้ต้องการล้มตระกูลเหวยและไม่ใจอ่อนเป็นแน่ ทั้งยังลากขุนนางที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลเหวยออกมาไม่น้อย
การตรวจสอบเช่นนี้รู้ว่าเหวยเซ่าฮุยควบคุมเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งในฉังชวนอย่างลับๆ จริง ไม่เพียงแต่ที่ฉังชวนเท่านั้น ยังมีอีกหลายๆ เมืองที่ห่างไกลเมืองหลวงอีก เหมือนว่าเจ้าหน้าที่เกือบทั้งหมดถูกตระกูลเหวยซื้อไว้แล้ว
หากไม่ใช่ว่าครั้งนี้ถูกฉินอ๋องคุ้ยเขี่ยเรื่องนี้ออกมาได้ เกรงว่าต้องมีสักวันที่เก็บล้างไม่หมดแน่
ผู้ตรวจราชการเหลียงและเจ้าหน้าที่ฉังชวนที่ได้รับเงินของเหวยเซ่าฮุยก็ถูกล่ามโซเข้าคุกรอรับผิดชอบและคงหนีความตายไม่พ้นแล้ว
สวีเทียนขุยออกตัวเป็นพยานด้วยตัวเอง เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่สำหรับการล้มตระกูลเหวยเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังรับโทษโดยใช้ทรัพย์สินครอบครัวทั้งหมดเสนอมอบเงินคลังด้วยตัวเองเพื่อลดโทษ ออกจากตำแหน่งข้าราชการ เพื่อลดโทษประหารชีวิต
“เจ้าหน้าที่ฉังชวนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากตั้งแต่ชั้นผู้ใหญ่จนถึงชั้นผู้น้อย หลายๆ ตำแหน่งยังขาดคนอยู่ ได้ยินมาว่าฉินอ๋องเคยขอคำสั่งจากฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแล้ว จะวางแผนจัดการเจ้าหน้าที่ใหม่ทั้งหมด บ้านเจ้าที่อยู่นอกวังมีญาติสนิทคนไหนบ้าง แต่ว่าต้องหาช่องทางใช้ความสนิทไปเป็นบ่าวที่ฉังชวนให้ได้” ขันทีคนหนึ่งย้ายฝืนไปพูดไป
“พอเถอะ ทนไม่ไหวหรอก ต่อให้เงินเดือนจะสูง แต่เกรงว่าจะไม่ได้อยู่ใช้นะสิ องค์ชายสามไปฉังชวนครั้งแรกก็เกือบลากเจ้าหน้าที่ทั้งหมดลงจากหลังม้าเสียแล้ว หลังจากนี้ยังเป็นหัวหน้าดูแลฉังชวนเองด้วย เจ้าคิดว่าเป็นคนใช้ภายใต้เขาจะสบายหรือ เจ้าไม่ได้ยินหรือว่าองค์ชายสามจะลงมือเลือกด้วยตนเอง ตรวจสอบทุกขั้นทั้งวิชาความรู้และลักษณะนิสัย ต้องผ่านทั้งหมด เงื่อนไขสูงมาก แถมยังให้เจ้าหน้าที่ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งใหม่ลงชื่อในหนังสือสัญญาด้วย” ขันทีอีกคนส่ายหัว
“หนังสือสัญญา?”
“ประมาณว่าหลังจากที่ได้รับตำแหน่ง ต้องปฏิบัติตามกฎขององค์ชายสาม เช่น มีการตรวจสอบทรัพย์สินตามกำหนดหรือไม่ตามกำหนดด้วย หากว่ามีปัญหาเดียวกับผู้ตรวจราชการเหลียงคนเก่าหรือว่าความผิดเรื่องอื่น ก็จะลงโทษมากกว่าสามเท่า แถมยังมีเป้าหมายทำกิจการงานหลวงอีก ทำได้มีรางวัลให้ หากทำไม่ได้หรือ เหอะๆ โดนไล่ออกยังถือว่าเบา! ข้ามององค์ชายสามไม่ออกจริงๆ เจ้าคิดดูสิ แม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่เคยกระทำเช่นนี้ เขาเข้มงวดมากจริงๆ กำจัดพวกที่ใช้หน้าที่มาหาเงิน ถึงแม้ว่าการเลือกเจ้าหน้าที่จะใช้เวลานานหน่อย แต่คนที่เลือกมาเกรงว่าทั้งหมดจะต้องทำงานอย่างซื่อสัตย์ต่อราชสำนักเป็นแน่”
สหายร่วมงานลดเสียงลง ค่อยจนแทบไม่ได้ยิน “ชู่วๆ ถ้าให้ข้าพูด โชคดีที่องค์ชายสามไม่ใช่องค์รัชทายาท หากว่าเป็นองค์รัชทายาท วันข้างหน้าต้องเป็นโอรสแห่งสวรรค์ เหี้ยมโหดเยี่ยงนี้ ไม่แน่อาจจะตรวจสอบอดีตขุนนางของฮ่องเต้แน่ เจ้าลองนึกดูสิ ใครจะยอมมาเป็นข้าราชการ ร่ำเรียนอย่างยากลำบากมาตั้งสิบกว่าปี พูดจากใจจริง ไม่ใช่ว่าเพื่อเงินและอำนาจที่จะได้เสวยสุขหรอกหรือ สุดท้ายให้ข้าทำงานเพื่อราษฎรตั้งใจเพื่อราษฎรหรือ ข้าโง่หรือไง ถ้าให้ข้าพูดหากว่าเหวยเซ่าฮุยยังดูแลฉังชวน ข้ายังอยากจะไป! อย่างน้อยยังเก็บเกี่ยวกำไรได้ แต่ว่าตอนนี้น่ะหรือ”
ทั้งสองหัวเราะออกมา
อวิ๋นหว่านชิ่นนึกถึงการปฏิรูปอย่างเด็ดขาดของซื่อเจาจง หลังจากราชาภิเษกลานขุนนางไม่รู้ว่าถาโถมการนองเลือดไปเท่าไร แม้ว่าบรรพบุรุษของตนเองจะได้รู้ได้เห็นทั้งหมดแต่ก็อยู่ในห้องเป็นท่อนไม้ไม่สนใจเหตุการณ์บ้านเมือง หากตอนนี้ยังกระทำเช่นนั้นจะได้อะไรเล่า
ขณะนั้นน้ำก็เดือดปุดๆ มีขันทีคนหนึ่งเงียบเสียงลงและมองมา อวิ๋นหว่านชิ่นกลั้นหายใจหลบหลังเตาผิง ขันทีนั่นไม่ได้มองเข้ามามาก ทั้งยังพูดต่อ “เจ้าอย่าดูถูกตระกูลเหวย ไม่ใช่ว่ายังมีเว่ยอ๋องอยู่หรือ”
[1] หากระดูกในไข่ เป็นสำนวนแปลว่า พยายามหาข้อตำหนิติเตียนคนหรือสิ่งของ ทั้งที่ไม่มีข้อให้ตำหนิ