ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่186.2 เป็นไข้ใจจนล้มป่วย เสี่ยงบุกตำหนักเฟิงจ๋า (2)
ไท่จื่อสีหน้าพลันเปลี่ยน สำหรับเรื่องที่นางสงสัยว่าเป็นเจี่ยงซื่อที่อยู่เบื้องหลังนั้นเขาไม่แปลกใจ จะสงสัยก็แต่นางจะไปหาหลักฐานอะไรที่ตำหนักเฟิงจ๋ากัน คิ้วเข้มขมวดมุ่นลองหยั่งเชิงไปว่า “เจ้าเข้าไปแล้วจะเจออันใด”
มาถึงขั้นนี้อวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่ปิดบังอะไรอีกต่อไป “ดินปืนเจ้าค่ะ”
ไท่จื่อลมหายใจสะดุด “ที่แท้เจ้ารู้ตั้งนานแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ย “ยามนั้นเจี่ยงกั๋วจิ้วอยู่ในตำหนักเหยาหวาที่ตงกงนี้ หลังจากเรื่องหอละคร ไท่จื่อน่าจะทราบละมีคำตอบก่อนข้าว่าสิ่งที่ทำให้เกิดระเบิดคือดินปืน คาดว่าท่านก็คงเคยสืบหาดินปืนที่ห้องหลอมยาของเจี่ยงกั๋วจิ้วในวังมาก่อนหน้านี้แล้วกระมัง”
ไท่จื่อเงียบลงครู่หนึ่ง ก่อนตอบ “ใช่ เพียงแต่ต่อให้สกุลเจี่ยงมาเอาดินปืนกับเจี่ยงกั๋วจิ้ว เมื่อใช้เสร็จแล้วก็ต้องทำลายที่เหลือให้หมด จะนำไปซ่อนในตำหนักเฟิงจ๋าได้อย่างไร เกรงว่าเจ้าไปแล้วจะหาอันใดไม่พบ”
“ก็ไม่แน่นะเจ้าค่ะ” กลับได้ยินนางตอบเช่นนี้
ไท่จื่อจ้องมองนาง สำรวจซ้ายขวา เห็นนางกำนัลของตงกงไม่กี่คนค้อมกายเดินผ่านไปเงียบๆ แม้จะเป็นนางในของตำหนักตนเองแต่ก็ไม่กล้ามองนานมากนัก กลับสะบัดแขนเสื้อดึงอวิ๋นหว่านชิ่นมาไว้ข้างกาย
ทั้งคู่อยู่ใกล้ชิดกันมาก เดินไปด้วยกันอย่างช้าๆ เหมือนกำลังเดินเล่นกันอยู่ ไท่จื่อก้มหน้าเล็กน้อยฟังอวิ๋นหว่านชิ่นกล่าว “เจี่ยงฮองเฮาเอาดินปืนมาจากเจี่ยงยิ่นเท่าใด ไม่มีผู้ใดรู้ แต่พระนางอยู่ในวังหลังที่ไม่มีใครเข้าออกได้ย่อมเป็นที่ที่ปลอดภัย จึงรับมาจำนวนมาก ไม่มีทางเป็นจำนวนน้อยแน่ หากครั้งนี้ไม่สำเร็จ ก็ยังมีครั้งหน้า…ดังนั้นไม่มีทางที่จะไม่หลงเหลือไว้ที่ตำหนักเฟิงจ๋า ไม่ว่าจะมีหรือไม่ ไปดูก็รู้แล้ว”
“ไม่ได้” เขากล่าวเสียงเบา “ต่อให้มีเหลือไว้ ฮองเฮาก็คงต้องซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด จะให้เจ้าไปค้นหาเจอตามอำเภอใจได้อย่างไร หากถูกคนในตำหนักเฟิงจ๋าเห็นเข้า ฮองเฮาก็หาโทษมาให้เจ้าได้อย่างสมเหตุสมผลอีกเป็นแน่ ถึงยามนั้นคงมิใช่แค่ให้อยู่ที่อารามฉางชิงแล้ว”
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกเจ็บตรงแขนขึ้นมา พอมองดูจึงได้รู้ว่าถูกอีกฝ่ายจับเอาไว้ “…ดังนั้นวันนี้จึงใช้โอกาสที่ตำหนักเฟิงจ๋าไร้คน เป็นโอกาสที่ดีมิใช่หรือ ฮองเฮาไม่อยู่ คนที่ตำหนักครึ่งหนึ่งล้วนไปเข้าร่วมงานกันหมด อีกทั้งนี่เป็นงานเฉลิมฉลองพระชนมพรรษา คนร่วมงานคึกคัก สาวรับใช้ที่เหลือก็ดูแลไม่รัดกุมมากนัก ภายหน้ายังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อใด” กล่าวจบก็จับมือที่จับแขนของตนไว้ บีบเบาๆ เป็นสัญญาณว่าให้ท่านวางใจ แล้วดึงออกช้าๆ ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “อาศัยแต่พระสนมรองคนเดียวนั้นมิพอหรอกเจ้าค่ะไท่จื่อ”
ไท่จื่อก้มหน้าจ้องนาง
นางกำนัลที่เดินผ่านมาบังเอิญเห็นเข้าล้วนพากันใจเต้นตึกตัก
พักนี้ไท่จื่อมักจะเรียกพระชายาฉินอ๋องมาตงกง ใครๆ ต่างก็รู้ ได้ยินข่าวลือเช่นนี้ต่างไม่พอใจแทนนายตน วันนี้เห็นกับตาว่าทั้งคู่ทำท่าทางสนิทสนมใกล้ชิดกันกลางวันแสกๆ บนบันไดหยกของตงกง เห็นได้ชัดว่าไท่จื่อมิได้ใส่ใจว่าจะไม่เหมาะสมแม้แต่น้อย ยามนี้ทราบแล้วว่าเรื่องที่ซุบซิบนินทากันในวังนั้นไม่ใช่ข่าวโคมลอย
แม้จะตกใจแต่พวกนางกลับไม่กล้าเอ่ยอะไร แม้จะโกรธมากแต่ก็ต้องกดเอาไว้แล้วทำเป็นมองไม่เห็นเดินจากไป
บนบันไดหยก เมื่อความเงียบผ่านพ้นไป นัยน์ตาไท่จื่อฉายแววสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนเอ่ย “เจ้าเสี่ยงบุกไปตำหนักเฟิงจ๋า เพื่ออยากโจมตีฮองเฮา มีสักนิดหรือไม่ที่ทำเพื่อข้า”
อวิ๋นหว่านชิ่นได้ยินไท่จื่อใช้สรรพนามที่เท่าเทียมกันกับนาง ในใจพลันสั่น “หา”
ไท่จื่อพลันยิ้มกล่าว “ข้าคงบีบบังคับเจ้าให้ตอบในเรื่องที่ยากเกินไปแล้ว เห็นๆ อยู่ว่าเจ้าทำเพื่อเจ้าสามและจวนฉินอ๋อง”
อวิ๋นหว่านชิ่นตอบอย่างสัตย์จริงว่า “ความจริงแล้วข้าทำเพื่อตัวเอง” ความแค้นที่เจี่ยงฮองเฮามีต่อมารดานาง ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่ นางจะไม่ให้นางมีคืนวันที่แสนสุข นี่นางแต่งเข้าจวนอ๋องมาเป็นเวลานานแล้ว แต่เจี่ยงฮองเฮาก็ยังคอยกีดขวางไม่ลดไม่ละ คอยจ้องแต่จะจับผิด นานวันไปแล้วก็ยังไม่ลามือ
ไท่จื่อทอดถอนใจ “เจ้ามิต้องปลอบใจข้าหรอก”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นท่าทางปวดใจของไท่จื่อก็อดหัวเราะไม่ได้ “ข้าพูดความจริง”
ไท่จื่อเห็นนางหัวเราะเบิกบานก็ตะลึงเล็กน้อย สตรีนางนี้หากเป็นของตนล่ะก็ พระองค์จะไม่ยอมให้นางต้องเสี่ยงอันตรายแม้แต่น้อย แต่ยามนี้นางเป็นของชายอื่น แล้วเขาจะมีสิทธิ์อันใดไปห้ามได้
เงียบไปพักหนึ่ง ไท่จื่อเอามือไขว้หลัง นัยน์ตาเป็นประกายแวบๆ ราวกับลังเล จากนั้นจึงตัดสินใจแล้วกล่าวออกไป “ดูเหมือนฮองเฮากำลังเลือกชายาให้ฉินอ๋อง แต่เรื่องนี้ยังมิได้ประกาศออกมา กำลังจัดการอยู่เงียบๆ รอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยเหมาะสมไม่มีปัญหาใดแล้ว จะประกาศออกไป”
ในเมื่อนางยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อชายคนนั้น เช่นนั้นก็ควรจะบอกเรื่องนี้ให้นางรู้ ให้นางรู้ว่าทุกเรื่องที่นางทำนั้นมันคุ้มแล้วหรือไม่
อวิ๋นหว่านชิ่นเงียบไปพักหนึ่งจึงเอ่ย “ก่อนหน้านี้ได้ยินสนมม่อพูดอยู่เหมือนกันเจ้าค่ะ แต่คิดไม่ถึงว่ามือเท้าฮองเฮาจะรวดเร็วเช่นนี้ เป็นสตรีของตระกูลเจี่ยงหรือ”
ไท่จื่อส่ายหน้า “มิใช่คุณหนูสกุลเจี่ยง ธิดาบ้านนั้นเจ้าก็น่าจะรู้จัก นางเป็นธิดาของหัวหน้าทหารรักษาพระองค์หานทง”
อวิ๋นหว่านชิ่นใจกระตุก หากเป็นบุตรสาวของสกุลเจี่ยง นางจะไม่แปลกใจแม้แต่น้อย นึกไม่ถึงว่าคนที่ฮองเฮาเลือกจะเป็นหานเซียงเซียง
ที่ผ่านมานับว่าทั้งคู่ต่างถูกชะตากัน อวิ๋นหว่านชิ่นคิดว่านิสัยของนางนั้นหัวอ่อนไร้เดียงสา จึงได้ช่วยนางจัดการกับหลินรั่วหนานที่มากลั่นแกล้ง หานเซียงเซียงก็ซาบซึ้งต่ออวิ๋นหว่านชิ่นที่ดูแลนางมาโดยตลอด ยามกลับเมืองหลวงมา ทั้งคู่ยิ่งผูกสัมพันธ์เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ซ้ำยังเคยกล่าวคำอำลากันไว้
ไม่คิดเลย…ว่านางจะถูกฮองเฮาเลือกให้แต่งเข้าจวนฉินอ๋อง
อวิ๋นหว่านชิ่นตะลึงงัน “จะเป็นคุณหนูหานได้อย่างไร”
ไท่จื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง จะพูดอย่างไรให้อวิ๋นหว่านชิ่นสบายใจขึ้นมาดี กล่าวเป็นนัยว่า “ได้ยินคนพูดกันว่า คุณหนูหานพอกลับจากงานล่าสัตว์ก็ล้มป่วย ซ้ำยังอาการหนักเสียด้วย”
“ป่วย ป่วยอันใด เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” อวิ๋นหว่านชิ่นแปลกใจ แวดวงคุณหนูลูกขุนน้ำขุนนางแม้ว่าจะกว้างขวาง แต่ถ้าหานเซียงเซียงป่วยหนักจริง อย่างไรก็ต้องมีคนพูดถึงแน่นอน แม้ตัวนางจะไม่รู้ แต่ก็น่าจะได้ยินมาจากเฉินจื่อหลิงบ้าง
ไท่จื่อมองนาง “เพราะตระกูลหานปกปิดเอาไว้มิดชิด อาการป่วยนี้พูดออกไปคงจะฟังดูไม่ดีนัก เกรงว่าจะกระทบถึงชื่อเสียงของนาง พวกเขาจึงไม่ให้ผู้ใดรู้ว่าบุตรสาวล้มป่วย”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ ได้แต่ฟังอีกฝ่ายสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยต่อว่า “เป็นไข้ใจ ยาใดก็มิได้ผล ล้มหมอนนอนเสื่อมาสองเดือนแล้ว เฉื่อยชาเหม่อลอย ไม่พูดไม่จา บางคราก็ร้องไห้ คนในบ้านถามนาง นางก็มิพูด” หยุดครู่หนึ่ง “ชิ่นเอ๋อร์ วันที่เจ้ากับเจ้าสามแต่งงานกันนั้น คุณหนูหานทรุดหนักที่สุด เจ้าคงพอเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างหรือไม่”
เป็นไข้ใจ
อวิ๋นหว่านชิ่นนึกย้อนไปถึงคราวล่าสัตว์ยามนั้นหานเซียงเซียงเห็นฉินอ๋องไม่กี่ครา ยามนางพูดถึงฉินอ๋องต่อหน้าตนก็มีปฏิกิริยาที่ใส่ใจละเอียดลออ ยามนี้นางเข้าใจและไม่แปลกใจแล้ว ที่แท้หานเซียงเซียงก็ปักใจรักมาตั้งแต่ยามนั้นนั่นเอง
“ไม่กี่วันก่อน อาการป่วยของคุณหนูหานดีขึ้น” ไท่จื่อเอ่ย “พอได้ยินว่าหายป่วย นางก็โวยวายถอนหมั้นกับว่าที่คู่หมั้นคนก่อน บอกไม่อยากแต่ง สองสามีภรรยาสกุลหานต่างพากันงงงวย หากไม่ทำตาม นางจะฆ่าตัวตาย เป็นตายอย่างไรก็จะตัดสัญญาหมั้นให้ได้ พอไล่ถามมากเข้า สองสามีภรรยาจึงได้รู้ความในใจลูกสาว และรู้ว่าที่ลูกสาวล้มป่วยเป็นเพราะเจ้าสาม เรื่องนี้ไม่รู้ว่าถึงหูจวนสกุลหานได้อย่างไร หานทงเห็นคุณหนูหานคะนึงรักอยู่แต่ในห้อง ใฝ่หาแต่สามีของคนอื่น ก็ไม่อยากให้ลูกชายตนแต่งนางแล้ว จึงส่งหนังสือขอถอนหมั้นแก่สกุลหาน สองสามีภรรยาหานกังวลอนาคตของบุตรสาวอยู่ทุกวัน เห็นคุณหนูหานยินดี ซ้ำไม่ท้วงติงอันใดก็รับหนังสือขอถอนหมั้นนั้นมาอย่างสบายใจ กล่าวแค่ว่าหากไม่อยากแต่งก็ไม่ต้องแต่ง หากไม่แต่งให้เจ้าสาม ภายหน้าก็คงต้องกลายเป็นป้าแก่แต่งไม่ออก ร่ำเรียนหนังสืออยู่แต่ในห้องทุกวัน ไม่รู้ว่าฮองเฮาทรงรู้เรื่องนี้มาจากไหน ยกเรื่องคุณหนูหานมีใจลุ่มหลงไม่เสื่อมคลายมากล่าวว่านี่เป็นพรหมลิขิตจากสวรรค์ แล้วช่วยจวนฉินอ๋องจัดการเรื่องแต่งงาน…ฮ่องเต้ก็ดูไม่คัดค้านอันใด บรรดาคุณหนูที่ฮองเฮาเชิญมาวันนี้ก็มีคุณหนูหานด้วย”