ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่190.1รื้อบัญชีเจี่ยงฮองเฮา(1)
เรื่องตรงหน้าเร่งด่วนนัก ก่อนอื่นก็ดูดเอาเสมหะของพระนัดดาน้อยออกมาก่อน เขาจะได้ไม่ขาดอากาศหายใจ
จากการฝึกฝนและศึกษาการฝังเข็มมาเดือนสองเดือน นางก็เข้าใจเกี่ยวกับจุดฝังเข็มเพื่อช่วยชีวิตยิ่งขึ้น
เข็มสามเหลี่ยมใช้เป็นเครื่องมือเจาะ
นางใช้วิธีฝังเข็มที่จุดเซ่าซาง[1] เพื่อบรรเทาความดันในปอด ยามนี้คงทำได้เพียงปล่อยเลือดเสียและควบคุมพลังปราณ ปรับสมดุลหยินและหยางอย่างฉุกเฉินชั่วคราวไปก่อน
คาดไม่ถึงว่าการได้เจอกรณีศึกษาครั้งแรกนี้จะเป็นช่วงเวลาที่หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
อวิ๋นหว่านชิ่นมองหลานเจาซวิ่นคราหนึ่ง สงบสติอารมณ์ให้คงที่ ถอดถุงเท้าของพระนัดดาน้อยออก จับนิ้วหัวแม่มือของเขาให้เอียงไปด้านนอก ปลายนิ้วคลำหาจุดเซ่าซาง ลูบถูผิวที่อ่อนนุ่มของทารกให้อุ่น จากนั้นจับเข็มสามเหลี่ยมแทงลงบนผิวอ่อนนุ่มที่กำลังอุ่นๆ ไปสองขยัก เลือดหลายหยดถูกบีบรีดออกมา สุดท้ายนางใช้ปลายนิ้วกดรูที่ฝังเข็มไว้เบาๆ
ทันใดนั้น เสียงร้องไห้ของพระนัดดาน้อยก็ดังขึ้นลั่นห้อง อุแว้ อุแว้
หลานเจาซวิ่นมองด้วยความดีอกดีใจเป็นที่สุด ราวกับเพิ่งจะหลุดพ้นจากนรกขึ้นมาเกิดใหม่ นางอุ้มลูกชายขึ้นมาจากเตียงร้อนท่าทางเหมือนกับกำลังอุ้มของล้ำค่าที่สูญหายไปแล้วได้กลับคืนมาอย่างไรอย่างนั้น ร้องไห้เสียจนหมดสภาพ “เซี่ยวเอ๋อร์…”
พระนัดดาน้อยสีพระพักตร์ค่อยๆ ซับสีเลือดเจือแววระเรื่อขึ้นมา อวิ๋นหว่านชิ่นให้หลานเจาซวิ่นป้อนน้ำอุ่นให้อีกสองคำ ลมหายใจของทารกน้อยก็ดีขึ้นมาก
อวิ๋นหว่านชิ่นหันกลับไปเห็นเจี่ยงอวี๋แอบสั่งให้สาวใช้มาแย่งทารกน้อยไปอีก จึงตำหนิขึ้น “ปล่อยพวกเขาสองแม่ลูกไปเถอะ”
หลานเจาซวิ่นพลันได้สติ กระชับลูกชายในอ้อมกอดให้แน่นขึ้นแล้วหลบไปที่มุมห้อง
เจี่ยงอวี๋ยิ้มเย็น “ปล่อยไป? นางไปแล้วข้าจะทำเช่นไร! นังตัวแสบนี่ไม่ยอมไปเปิดโปงฮองเฮา! ข้าไหนเลยจะยอมเสียแรงเสียเวลาไปมากมายเปล่าๆ ปลี้ๆ เช่นนี้ได้!”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองนางอย่างเฉยเมย “เสียเวลาไปมากมาย? เจ้าเกือบจะทรมานลูกชายนางจนตายแล้ว”
หลานเจาซวิ่นอุ้มพระนัดดาน้อยไว้ แล้วคุกเข่าลงโขกหัวให้เจี่ยงอวี๋พลางร้องไห้สะอึกสะอื้น “พระสนมรองเพคะ เรื่องครานี้ข้าจะปิดปากให้สนิท…ท่านอย่าทำร้ายลูกชายข้าอีกเลย ข้าขอร้องล่ะเพคะ! ส่วนฮองเฮานั้น…ขะ…ข้าเป็นเพียงแค่นางสนมต่ำต้อยของตงกง ไหนเลยจะกล้าต่อกรกับฮองเฮาได้ ไม่ว่าพระสนมรองจะมีเรื่องบุญคุณความแค้นอันใดกับฮองเฮา ก็ปล่อยเราสองแม่ลูกให้มีชีวิตสงบเถิดเพคะ!”
เจี่ยงอวี๋เห็นท่าทางแน่วแน่ของพระชายาฉินอ๋อง ก็รู้ได้ว่าเรื่องในวันนี้นางก็มีส่วนเกี่ยวข้อง มิอาจทำอันใดได้ จึงสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่สบอารมณ์
หลานเจาซวิ่นปรีดา โขกหัวให้พระชายาฉินอ๋องหลายต่อหลายครั้ง “ขอบพระทัยพระชายาฉินอ๋องที่ทรงช่วยชีวิตเซี่ยวเอ๋อร์เพคะ ขอบพระทัยยิ่งนัก!”
อวิ๋นหว่านชิ่นหันไปกล่าวกับนางว่า “ไม่ต้องหรอก เจาซวิ่นลุกขึ้นเถิด พาพระนัดดาน้อยไปเสีย เพียงแต่มีหลายสิ่งที่จำเป็นต้องเตือนเจ้าไว้”
หลานเจาซวิ่นชะงักได้ยินเสียงสตรีลอยดังขึ้นท่ามกลางแสงเทียน แต่กลับชัดเจนและเฉียบคม “แม้วันนี้เจ้าจะรักษาชีวิตของพระนัดดาน้อยไว้ได้ แต่มิอาจเป็นไปตามที่เจ้าปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบเช่นนั้นได้”
หลานเจาซวิ่นสีหน้าพลันเปลี่ยน ร่างอยู่นิ่งไม่ขยับราวกับถูกแทงใจดำเข้าไปเต็มๆ สีหน้าหวาดกลัวที่คิดว่าลูกชายได้ตายไปแล้วเมื่อครู่พลันกลับมาฉายชัดบนใบหน้านางอีกครั้งหนึ่ง
“ที่ฮองเฮาทรงส่งคนมาดูพระนัดดาน้อยอยู่ทุกวี่วัน ใส่พระทัยห่วงใยเสียเต็มประดา เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าหมายความว่าอย่างไร แล้วที่พระสนมรองกล่าวไปเมื่อครู่เจ้ากลับไม่ปฏิเสธ แสดงว่าในใจคงจะรู้อันใดบ้างแล้ว หากฮองเฮาทรงตั้งใจขับไล่ไท่จื่อแล้วหันมาช่วยเหลือพระนัดดาน้อยขึ้นมาจริงๆ เจ้าว่ามารดาแท้ๆ ขององค์รัชทายาทพระองค์ใหม่เช่นเจ้าจะมีชีวิตรอดต่อไปได้หรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นมองดูนาง
หลานเจาซวิ่นหวาดหวั่นพรั่นพรึงไปทั่วทั้งร่าง พระสนมหยวนมารดาของไท่จื่อสิ้นพระชนม์ไปอย่างมีเงื่อนงำ นับประสาอะไรกับนางที่ตำแหน่งต่ำต้อยเป็นเพียงสนมของไท่จื่อเช่นนี้! หากฮองเฮาหมายตาลูกชายของนางแล้วช่วยส่งเสริมให้เป็นองค์รัชทายาทพระองค์ใหม่ขึ้นมาจริงๆ ฮองเฮาจะต้องเป็นผู้ควบคุมชักใยเซี่ยวเอ๋อร์แต่เพียงผู้เดียวแน่ ไหนเลยจะทรงอนุญาตให้มารดาแท้ๆ อย่างนางอยู่หายใจบนโลกนี้ต่อไปได้!
“หรือเจ้าจะบอกข้าว่าเจ้าไม่กลัวตาย ขอเพียงพระนัดดาน้อยมีอนาคตที่สดใสก็พอแล้ว” อวิ๋นหว่านชิ่นพยุงนางขึ้นมา “แต่ในเมื่อฮองเฮาทรงส่งเสริมไท่จื่อได้ และทรงทำลายพระองค์ได้ ทรงส่งเสริมพระนัดดาน้อยได้ ก็ย่อมทำลายลงได้เช่นกัน สุดท้ายพวกเจ้าสองแม่ลูกก็รักษาไว้ไม่ได้กระทั่งชีวิต หวังอันใดกับการมีชีวิตสงบสุข ยามนี้เจ้าอุ้มลูกกลับไปใช้ชีวิตสงบเงียบอย่างหลอกตัวเองและผู้อื่น แต่จุดจบของเจ้ากับลูกเป็นเหมือนพระสนมหยวนกับไท่จื่อหรือไม่ เจ้ารู้แก่ใจดี”
หลานเจาซวิ่นเงียบไปเนิ่นนานก็ถอนหายใจหนักๆ ออกมาคราหนึ่ง แรงทั้งร่างสูญหายไปสิ้น มีเพียงแขนสองข้างเท่านั้นที่กอดลูกชายไว้อย่างแนบแน่น
ในเมื่อฮองเฮาหมายตาลูกของนาง หากอยากจะมีชีวิตอย่างสงบสุข เช่นนั้นพวกนางสองแม่ลูกก็มิอาจวางตัวเป็นคนนอกได้อีก เว้นเสียแต่ฮองเฮาจะยังดำรงตำแหน่งอยู่
หลานเจาซวิ่นก้มหน้ามองพระนัดดาน้อยคราหนึ่ง แล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา สูดหายใจลึกกล่าวว่า “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ” แล้วหันไปทางเจี่ยงอวี๋ กัดฟัดกล่าวว่า “ข้าจะเชื่อฟังพระสนมรองทุกอย่าง”
ณ ตำหนักเจียสี่
พระชายาพานเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่มาเสียที สีหน้าก็เริ่มเคร่งเครียด เจี่ยงฮองเฮาที่ประทับอยู่ด้านบนทอดพระเนตรมาทางนี้หลายครั้งหลายครา
ฉินอ๋องที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ถูกนางกำนัลถวายน้ำแกงแก้สร่างไปแล้วสองชาม ยามนี้เอนกายพิงพนัก ขายาวงอเล็กน้อย ฉลองพระองค์เริ่มคลาย สายตาสะลึมสะลือ
ในที่สุด เจี่ยงฮองเฮาก็ตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “พระชายาฉินอ๋องเล่า”
กล่าวจบ เสียงภายในตำหนักก็พลันมลาย ทุกคนต่างมองไปยังที่นั่งของนาง
พระชายาพานลุกขึ้นทูลว่า “หม่อมฉันชอบสุราผลไม้ จึงวานให้พระชายาฉินอ๋องไปขอกับนางกำนัลด้านนอก มิทราบเช่นกันว่าต้องไปเอาที่ห้องเครื่องห้องใด แต่น่าจะใกล้กลับมาแล้วเพคะ”
เจี่ยงฮองเฮาเห็นสีหน้าของพระชายาพานไม่ค่อยมั่นคง ก็ไม่สนใจอันใดอีกต่อไปแล้ว เหลือบมองฉินอ๋องคราหนึ่ง น้ำเสียงกลับอ่อนโยน “ฝ่าบาทเพคะ นี่ก็ดึกมากแล้ว ใกล้ได้เวลางานเลี้ยงเลิกแล้ว พอพระชายาฉินอ๋องมาถึง ขอฝ่าบาทโปรดทรงประกาศราชโองการเถิด”
ขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากนอกตำหนัก
มิได้มีแค่คนเดียว
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาคลอไปกับเสียงอาภรณ์เสียดเสียงกับพื้นหินคดเคี้ยวไปมาไม่ขาดสาย เป็นสตรี
เชื้อพระวงศ์ภายในตำหนักต่างพากันมองออกไป เห็นเพียงพระสนมรองที่ติดตามอยู่ข้างกายของฮองเฮาเมื่อครู่กำลังก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ด้านหลังนางมีสตรีสวมชุดของวังหลวงรูปร่างอวบท้วม ใบหน้ามีคราบน้ำตาที่ยังไม่หมดไป ในอกกอดห่อผ้าไว้ห่อหนึ่งเดินตามมาติดๆ
เหยาฝูโซ่วตะลึง ด้านหลังพระสนมเจี่ยงมิใช่หลานเจาซวิ่นแห่งตงกงหรอกหรือ
หนิงซีฮ่องเต้จ้องมองไท่จื่อ
ยามปกติจะทรงแย้มยิ้มเริงร่า ยามนี้พระพักตร์กลับแปลกตา ดวงเนตรคู่นั้นหรี่ลง หน้าตาเคร่งเครียด แต่กลับมิได้ห้ามแม้แต่น้อย
ด้านเจี่ยงฮองเฮา พอเห็นหลานเจาซวิ่นอุ้มทารกมาก็หันไปมองเจี่ยงอวี๋ที่อยู่นำหน้ามา “พระสนมรองพาหลานเจาซวิ่นมาทำอันใดหรือ” พระทัยกลับไม่สงบ
สีหน้าหลานสาวเป็นสีหน้าที่พระนางไม่เคยเห็นมาก่อน นางยืนอยู่กลางตำหนัก เงยหน้างดงามแต่ก็ไร้รสนิยมขึ้น
ใบหน้าดวงนั้นที่ยามปกติอ่อนน้อมถ่อมตน วาจาเจ็บแสบ ใจคอโหดร้าย ประจบประแจง ทุกคราที่เห็นพระนางมีสีหน้าไม่ดีก็จะมาทำให้นางพอใจกำลังสำรวจสีหน้าของตนอยู่
ยามนี้นางกลับเงยหน้าจ้องมองตน นัยน์ตาฉายแววเย็นชา มุมปากโค้งขึ้นปรากฏเป็นรอยยิ้มประหลาด
เจี่ยงอวี๋ยังไม่ทันตอบคำเจี่ยงฮองเฮา หลานเจาซวิ่นที่อุ้มลูกน้อยอยู่ก็เดินไปหยุดอยู่หน้าบันไดหินด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
เจี่ยงฮองเฮาใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำ รู้สึกสังหรณ์แปลกๆ สีพระพักตร์พลันเขียวคล้ำ ตำหนิว่า “ดึกดื่นค่อนคืนเพียงนี้ ลมหนาวน้ำค้างแรง เจ้าเสียสติอุ้มเซี่ยวเอ๋อร์มาที่นี่ทำอันใด สาวใช้ข้างกายพวกนั้นของเจ้าเล่า ยังไม่กลับไปอีก! รองานเลี้ยงเลิกแล้ว เจ้ามาตำหนักเฟิงจ๋ารับโทษด้วย!”
หนิงซีฮ่องเต้ได้ฟังคำพูดของฮองเฮาก็พลันขนงขมวด เห็นหลานเจาซิ่วผมเผ้ายุ่งเหยิง ท่าทางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก็กลัวว่านางจะทำร้ายพระนัดดา จึงตรัสขึ้นว่า “ขันที อุ้มพระนัดดาน้อยมานี่…”
[1] จุดเซ่าซาง อยู่ที่ปลายนิ้วโป้ง เหนือปลายโคนเล็บ 0.1 นิ้ว จุดนี้ใช้รักษาไข้หวัด เจ็บคอ เลือดกำเดาไหล ไอ หอบ ชักในเด็ก โรคจิตซึมเศร้า คลุ้มคลั่ง และปวดเกร็งนิ้วมือ