ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่191.2 ผูกสัมพันธ์ฉันท์ญาติ (2)
แม่ลูกบุญธรรม? อวิ๋นหว่านชิ่นอ้ำๆ อึ้งๆ รอยยิ้มหุบหายไปจากใบหน้า “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร เซี่ยวเอ๋อร์เป็นทายาทของไท่จื่อ มิใช่เด็กที่ไหนก็ไม่รู้ ข้าจะรับเขามาเป็นลูกบุญธรรมได้อย่างไร อีกทั้ง หากอิงตามความอาวุโสแล้ว ข้าน่าจะเป็นอาสะใภ้ของเซี่ยวเอ๋อร์ หากผูกญาติด้วยแล้ว ข้าก็จะกลายเป็นแม่บุญธรรม นี่…ลำดับญาติจะไม่ยุ่งเหยิงหรือ”
“อาสะใภ้ไหนเลยจะเท่าแม่บุญธรรม” ไท่จื่อเอ่ยเสียงเบา “เจ้าวางใจเถิด ข้าได้คุยเรื่องนี้กับไทเฮาแล้ว ไทเฮาเปรมปรีดิ์เป็นอย่างมาก ราชวงศ์ของเราก็นิยมนับญาติกัน ข้ามีน้องชายคนเล็กที่เรื่องป่วยออดๆ แอดๆ ตั้งแต่เด็กๆ ว่ากันว่าเป็นโอรสมังกรผู้ยิ่งใหญ่ เผชิญกับภูตผีปีศาจ เคยนับเสด็จลุงเก้าเป็นพ่อบุญธรรม เลี้ยงง่ายนัก ไทเฮาบอกว่าในเมื่อมีวาสนาต่อกันเช่นนี้ นับเป็นญาติก็ไม่เลว แล้วก็ทรงรับปาก เสด็จพ่อก็ไม่ได้ว่าอันใด”
“นั่นน่ะสิเพคะ มิใช่ว่าพระชายาก็ถูกชะตาเซี่ยวเอ๋อร์หรอกหรือ รับเด็กคนนี้ไว้เป็นลูกเถิดนะเพคะ” หลานเจาซวิ่นอ้อนวอน “พอถึงยามที่พระชายาทรงมีบุตรของตัวเองแล้ว ก็จะสนิทชิดเชื้อกับเซี่ยวเอ๋อร์มากยิ่งขึ้น ภายหน้าพี่น้องจะได้ดูแลกันได้”
โชคชะตาที่มีต่อทารกน้อยคนนี้มิใช่น้อยๆ นางถูกใจอย่างมาก
อวิ๋นหว่านชิ่นก้มหน้ามองก้อนกลมๆ นุ่มนิ่มในอ้อมอก ในใจก็รู้สึกตื่นเต้นยินดี
เด็กคนนี้เป็นสิ่งที่นางเสียใจและเสียดายตั้งแต่ชาติที่แล้วมาโดยตลอด
“หรือพระชายาฉินอ๋องทรงรังเกียจหม่อมฉันที่เป็นมารดาของเขาที่มีฐานะต่ำต้อย…” หลานเจาซวิ่นกังวลใจ
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ลังเลอีกต่อไป จับนิ้วจ้ำม่ำของเซี่ยวเอ๋อร์ขึ้นโบกไปมาเบาๆ
ไม่ทราบว่าเป็นสัญชาตญาณของเซี่ยวเอ๋อร์หรืออย่างไร เด็กน้อยพลิกมือมาจับหมับเข้าที่นิ้วของนางไม่ปล่อย
นางหัวเราะออกมา
หลานเจาซวิ่นถอนใจออกมาคราหนึ่ง ใบหน้างามผ่อนคลายลง
เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนอยู่ในสายตาของไท่จื่อ พระองค์ยิ้มบางตรัสสั่งนางกำนัลว่า “ตั้งโต๊ะ ยกสุรามา”
ใช้เวลาเพียงสั้นๆ บ่าวรับใช้ตงกงก็ยกโต๊ะยาวที่ถูกปูด้วยพรมทอด้วยด้ายสีแดงมาวางไว้ใต้ต้นเหมย รินสุราดอกเหมยที่ชงเรียบร้อยลงใส่จอกดินเผาสองจอก
หลานเจาซวิ่นอุ้มเซี่ยวเอ๋อร์คืน แล้วหลบฉากไปอีกด้าน
ไท่จื่อยกขึ้นมาจอกหนึ่งส่งให้อวิ๋นหว่านชิ่น นัยน์ตาเจือด้วยรอยยิ้ม “การผูกสัมพันธ์ฉันท์ญาติตามพื้นบ้านนั้น ต้องจัดงานเลี้ยงอย่างใหญ่โต คำนับแลกเทียบแก่กัน ทักทายเครือญาติที่มาร่วมงาน ยามนี้เป็นจัดขึ้นอย่างกะทันหัน จึงจัดพิธีเรียบง่าย มีเพียงเจาซวิ่นและนางกำนัลไม่กี่คนเป็นสักขีพยานในพิธีนี้ พระชายาคงจะไม่ถือหรอกกระมัง”
อวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่เคยผูกญาติกับผู้ใดมาก่อน จึงไม่เคยนึกมาก่อนว่าอายุเท่านี้ก็รับลูกบุญธรรมได้ แต่ก็นับว่าแปลกใหม่ไม่เลว จึงรับสุราดอกเหมยมา “จะไปถือสาอันใดกัน มีความตั้งใจเต็มเปี่ยมก็เพียงพอแล้ว”
ไท่จื่อหยิบจอกสุราดอกเหมยอีกจอกขึ้นมา ทำท่าให้นางตามพระองค์มาที่ใต้ต้นเหมยนี้ แหงนหน้ามองฟ้าดิน สองมือชูจอกขึ้น
อวิ๋นหว่านชิ่นยืนเคียงข้างพระองค์ ถือจอกมองฟ้าดิน รู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก จึงขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า “เช่นนี้หรือ”
ไท่จื่อที่อยู่ข้างๆ ก้มหน้าลงมอง “เซี่ยวเอ๋อร์ยังเยาว์นัก ย่อมต้องเป็นข้าที่คำนับแทนเขา”
อวิ๋นหว่านชิ่นก็ไม่อยากจะพูดอันใด จึงยืนหลังตรงฟังไท่จื่อ โครงหน้าด้านข้างสงบงดงาม น้ำเสียงมั่นคงเปล่งออกทีละประโยคยาวนาน “โอรสองค์โตของซย่าโหวซื่อจุน ประสูติเมื่อวันอังคารที่ยี่สิบแปด เดือนสิบ ปีจย๋าอู่[1] นามแรกเกิดว่าเซี่ยว จะมาเป็นลูกบุญธรรมของพระชายาฉินอ๋องสกุลอวิ๋น แต่นี้ไปจะปรนนิบัติดูแลแม่บุญธรรมดั่งแม่แท้ๆ กตัญญูกตเวทีไปชั่วชีวิต หากภายภาคหน้าแม่บุญธรรมมีบุตรธิดา ก็จะรักเอ็นดูและดูแลดั่งมือเท้าของตัวเอง ไม่ละเลยเพิกเฉย”
กล่าวจบก็จิบสุราดอกเหมยคำหนึ่ง รอดผ่านเข่าไปสาดลงดินบนโคนต้นเหมย
อวิ๋นหว่านชิ่นทำตามพระองค์คราหนึ่ง
หลานเจาซวิ่นอุ้นเซี่ยวเอ๋อร์เดินยิ้มเข้าไปหา “ยินดีกับฝ่าบาทด้วยเพคะ ที่หามารดาบุญธรรมที่ดีให้เซี่ยวเอ๋อร์ได้”
อวิ๋นหว่านชิ่นอุ้มลูกบุญธรรมตัวน้อยมาลูบๆ อยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าแดดเริ่มจะแรง ลมก็พัดหนักขึ้นแล้วจึงได้ก้มลงหอมแล้วส่งเขาคืนหลานเจาซวิ่นไป
ไท่จื่อเห็นนางเอ็นดูรักใคร่เสียไม่ยอมปล่อยมือ จึงยิ้มแล้วเข้าไปใกล้ จ้องมองเซี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ในห่อผ้าแล้วมองอวิ๋นหว่านชิ่นคราหนึ่ง “ลูกชาย เรียกท่านแม่สิ”
อวิ๋นหว่านชิ่นสีหน้าพลันเปลี่ยน ไท่จื่อยักไหล่เดินออกไปหลายก้าว
หลานเจาซวิ่นมองสีพระพักตร์ของไท่จื่อแล้วค้อมกายกล่าว “เซี่ยวเอ๋อร์เพิ่งจะหายจากการป่วยหนัก จึงอยู่ข้างนอกนานนักมิได้ เชิญฝ่าบาทและพระชายาฉินอ๋องพูดคุยกันต่อเถิดเพคะ”
ได้รับสัญญาณที่ไท่จื่อส่งมา หลานเจาซวิ่นอุ้มเซี่ยวเอ๋อร์ออกมาจากป่าเหมย
นางกำนัลก็ยกโต๊ะยาวออกไป
ภายในสวนเงียบสงบขึ้นมา อวิ๋นหว่านชิ่นหันมองไปรอบๆ ไม่มีคนจึงยอบกายคำนับ “ไม่มีเรื่องใดแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ เดี๋ยวออกตำหนักไปหม่อมฉันจะให้คนนำของขวัญมามอบให้เซี่ยวเอ๋อร์ที่ตงกง” แม้การกล่าวคำสัตย์จะเรียบง่าย แต่ก็มิอาจให้เรียบง่ายเกินไป มิอาจเอาเปรียบเซี่ยวเอ๋อร์ได้
ไท่จื่อมองนางนิ่งๆ แต่มิได้ห้ามอันใด กล่าวเพียงว่า “เจ้าทำเช่นนี้เพื่อจะรีบหลบหน้าข้าใช่หรือไม่ เจ้าเป็นแม่บุญธรรมของเซี่ยวเอ๋อร์ ข้าเป็นพ่อแท้ๆ ของเขา เจ้ากับข้าหลุดจากความสัมพันธ์เครือญาตินี้ไปไม่ได้ หรือภายหน้าเจ้าก็ยังหลบหน้าไม่ยอมพบไปตลอด?”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มออกมาอย่างอดมิได้ “พ่อแท้ๆ กับแม่บุญธรรม ต่อให้ไม่ไปมาหาสู่กันก็คงไม่เป็นไรหรอกกระมัง ข้ารับเซี่ยวเอ๋อร์มาเป็นบุตรบุญธรรม มิใช่รับพระองค์มาเสียหน่อย” นางรู้จุดประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์ของพระองค์ที่ยกเซี่ยวเอ๋อร์ให้เป็นลูกบุญธรรมของนางตั้งแต่แรกแล้ว
ไท่จื่อหน้าตึง ผู้หญิงคนนี้ยังไม่ลืมที่จะพูดฉีกหน้าพระองค์ประโยคสองประโยค สุราดอกเหมยที่ทรงดื่มไปเมื่อครู่ปั่นป่วนอยู่ในกาย พลันรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย จึงโน้มตัวไปด้านหน้า กระซิบเสียงต่ำว่า “แต่เมื่อครู่ ผู้ที่กราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้ามิใช่ลูกของข้า แต่เป็นข้า”
ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย อวิ๋นหว่านชิ่นมองพระองค์คราหนึ่ง “นับว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ข้าจะมาตงกงก็แล้วกัน”
ไท่จื่อเห็นนางเริ่มรำคาญแล้ว ก็ลนลานขึ้นมา รีบขวางนางไว้ “เอาล่ะๆ ข้าล้อเล่นน่ะ เจ้าคิดเป็นจริงเป็นจังไปได้ เจ้ารู้จักข้าวันนี้วันแรกหรืออย่างไร”
เดิมทีอวิ๋นหว่านชิ่นก็คร้านจะพูดให้มากความอยู่แล้ว รีบๆ เดินออกไปก็สิ้นเรื่อง แต่กลับชะงักฝีเท้าอย่างไม่ทราบสาเหตุ แล้วเงยหน้าขึ้นมองพระองค์ “ประโยคใดของฝ่าบาทจริง ประโยคใดล้อเล่น ข้านั้นมิทราบจริงๆ”
ไท่จื่อพระพักตร์นิ่งอึ้ง แต่กลับหยัดตัวตรง อ้าแขนกว้างเพื่อขวางไม่ให้นางไป “เป็นอันใดของเจ้าอีก ข้าไปกวนโมโหเจ้าเข้าอีกแล้วหรือ มาๆ บอกข้ามาให้ชัดแจ้ง”
อวิ๋นหว่านชิ่นผลักมือพระองค์ออก “หลีกไป”
ไท่จื่อกล่าวอย่างทีเล่นทีจริงว่า “วันนี้ไม่บอกข้าให้รู้ อย่ามาโทษข้าที่ขังเจ้าไว้ที่ตงกงไม่ให้กลับไปก็แล้วกัน”
อวิ๋นหว่านชิ่นเงียบไปพักหนึ่งจึงกล่าวว่า “ไท่จื่อปล่อยให้นางในของตงกงเข่นฆ่ากันเพื่อโค่นฮองเฮาลง ซ้ำยังให้เลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองตกอยู่ในอันตราย เซี่ยวเอ๋อร์กำลังป่วยถูกพระสนมรองพาตัวไป แน่นอนว่าพระองค์ต้องส่งคนไปจับตาดูไว้แน่ เซี่ยวเอ๋อร์ถูกขังไว้ในห้องเก็บของจนเกือบจะตายอยู่แล้ว พระองค์ก็น่าจะรู้ แต่กลับมองดูเซี่ยวเอ๋อร์ป่วยตายอย่างเงียบๆ ข้ารู้สึกเหมือนกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้รู้จักพระองค์จริงๆ เพียงแต่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ยินดีกับพระองค์ด้วยเพคะที่ได้ล้างแค้นนี้และเยียวยาบาดแผลในใจไปได้เสียที” เห็นพระองค์ไม่กล่าวคำใดนางก็ก้าวเท้าจากไป แต่ยังเดินไปไม่กี่ก้าวกลับได้ยินเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง สุรเสียงเรียบนิ่งไร้อารมณ์ใด “รังนกพลิกคว่ำไหนเลยจะมีไข่ใบที่ไม่แตก[2] หากเจี่ยงฮองเฮาไม่ล้ม ข้าก็ไม่แน่ใจว่าเซี่ยวเอ๋อร์จะอยู่รอดปลอดภัยไปจนถึงเมื่อใด การทุ่มสุดตัวของข้านี้ ในเมื่อเขาเป็นลูกชายของข้า สมรภูมินี้เขาก็ควรจะร่วมด้วย นี่คือโชคชะตาของผู้เป็นโอรสสวรรค์ ข้ายอมให้เขาตายในมือข้าที่เป็นบิดาของเขา ยังดีเสียกว่าให้เขามีชีวิตต่อไปแล้วโดนผู้อื่นควบคุมอย่างหวาดผวาในภายภาคหน้าเช่นนั้น”
อวิ๋นหว่านชิ่นหยุดฝีเท้าลง ฝีเท้าด้านหลังค่อยๆ เยื้องย่างเข้ามาใกล้ รู้สึกได้เพียงร่มเงาของต้นเหมยที่ขยับไหว กลิ่นหวานรุนแรงของสุราดอกเหมยลอยผ่านไหล่มา “เจ้าโทษข้าว่าเลือดเย็นไร้ความรู้สึก ดูแลคนในครอบครัวไม่ดีพอ แต่ที่แห่งนี้ มิได้มีเพียงแค่ข้าผู้เดียวที่เป็นเช่นนั้น”
[1] ปีจย๋าอู่ เทียบเป็นคริสต์ศักราชคือปี 2014
[2] รังนกพลิกคว่ำไหนเลยจะมีไข่ใบที่ไม่แตก ใช้เปรียบเปรยว่าความทุกข์ของคนๆ หนึ่ง ก็คือความทุกข์ของทุกคนทั้งครอบครัว