ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่197.1 (1)
สนมเอกเฮ่อเหลียนรู้ดีว่านางจงใจโน้มน้าวองค์ชาย สุดท้ายก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากว่านางยังไม่เลอะเลือน นางก็ไม่คงไม่ยอมสตรีอื่นเป็นแน่หากว่าความคิดเช่นนี้ยังมีอยู่ สนมเอกเฮ่อเหลียนปรับสีหน้าเรียบเฉย เอ่ย “จางเต๋อไห่ ไปเรียกฉินอ๋องและชายาเอกมาที่ห้องเอ๋อร์ฝาง[1] ข้างๆ”
จางเต๋อไห่เอ่ยรับคำ
สีหน้าซย่าโหวซื่อถิงกลัดกลุ้มเล็กน้อย เห็นว่านางเดินตามจางเต๋อไห่ไปก็จนปัญญาทำอะไรมิได้ ทำได้เพียงเดินตามไปก่อนเช่นเดียวกัน
ทั้งสองเดินตามกันไป ออกประตูเลี้ยวซ้าย ก้าวเท้าเดินตามทางที่ทอดยาว
ระหว่างทางบ่าวรับใช้ของตำหนักชุ่ยหมิง หยุดเท้าก้มตัวลงทำความเคารพ “ท่านฉินอ๋อง” บัดนี้คนตรงหน้าเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแทน ยิ่งต้องเคารพยำเกรงกว่าเก่า
เพียงครู่เดียวทั้งสามหยุดลงตรงหน้าประตูห้องเอ๋อร์ฝาง
ห้องบุปผาเป็นห้องสำหรับรองรับแขกที่แวะพักผ่อนระหว่างทาง
ด้วยเหตุที่ว่าตำหนักชุ่ยหมิงไม่ค่อยมีแขกต่างเมืองมากนัก ดังนั้นจึงมีเตียงตั่งและเก้าอี้เรียบง่ายอย่างครบถ้วน แต่ทว่าห้องนี้ว่างมาโดยตลอด แทบไม่มีร่องรอยการอาศัยอยู่ ทุกอย่างถูกจัดอย่างสะอาดเอี่ยมและสวยงาม
ท่านอ๋องเห็นจางเต๋อไห่เปิดประตู นางก้าวเท้าเดินหน้าเข้าไปเสียก่อนแล้ว ตนยืนนิ่งอยู่หน้าประตูยังไม่เดินเข้าไป เอ่ยเสียงหนักแน่น “มาเสียเวลาอะไรอยู่ที่นี่”
เห็นชุดแม่ชีที่ไม่สามารถปกปิดความงดงามได้ ลงน้ำหนักที่ปลายเท้าก้าวเข้าไป ทั้งยังรำคาญที่เขาอืดอาด กัดปากเอ่ย “มั่วชักช้าอะไรกัน เข้ามาข้างในก่อนค่อยพูด”
สีหน้าเขาทลายลง “กินดีหมีหัวใจเสือ[2]ที่ไหนมากัน” กลับไม่เอ่ยคำใดออกมาต่อ ยกมือไขว้หลังเดินเข้าไป
จางเต๋อไห่ยิ้มหัวเราะ พร้อมทั้งปิดประตูห้องเอ๋อร์ฝาง
เสียงประตูปิดลง ท่านอ๋องจู่โจมใช้ไหล่กว้างโอบกอดนางไว้ “โกรธหรือ”
เสียงอ่อนโยนที่คุ้นเคยลอดผ่านไรผมจนถึงใบหู จนทำให้ร่างที่ห้าวหาญและยิ่งใหญ่ด้านหลังจู่โจม
ปลายสันจมูกสูงโด่งชนเข้ากับผิวคอขาวนวลด้านหลัง เขาค่อยๆ ใช้ปลายจมูกขยี้เบาๆ
ทุกครั้งที่ได้โอบกอดนาง การปล่อยมือนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ยาก
ครั้งก่อนที่ได้เข้าใกล้กัน ก็คงเป็นคืนนั้นที่อารามฉางชิง วันนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรก็จะต้องคลี่คลายให้ได้
นางไม่ได้ตอบกลับไป ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของเขาหนักขึ้น จึงออกแรงพลักเบาๆ จับมือเขาแยกออก “ช้าก่อน หม่อมฉันมีเรื่องจะพูดกับท่านอ๋อง”
เขาไม่พอใจหนักที่นางต่อต้านเขาเช่นนี้ แขนแกร่งทั้งสองออกแรงดึงให้นางหันกลับมา
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่มีท่าทีโต้ตอบ หันกลับมาตามแรงดึงของเขา ท่าทีเย็นชาของเขาพัดโชยเข้ามาเต็มๆ นางส่งเสียงต่ำ “อ่า” ถูกเขากดไว้ด้านหลังประตู การกระทำรวดเร็วดั่งเสียงพัด ยังไม่ทันได้ส่งเสียง ใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ ใกล้เข้ามาจรดริมฝีปากลงบนฝีปากบอบบางของนาง เขาครอบครองริมฝีปากนางได้อย่างรวดเร็ว
จางเต๋อไห่เห็นว่าประตูห้องเอ๋อร์ฝางถูกกระทบเบาๆ ทั้งยังได้ยินเสียงหายใจของสตรีลางๆ สีหน้าก็แดงก่ำ
องค์ชายสามใจร้อนเสียนี่อะไร เหอะ
แต่ทว่า ข้าวใหม่ปลามันห่างกันนานเยี่ยงนี้ ไม่ง่ายเลยที่จะได้เจอกันสักครั้งหนึ่ง ทำเรื่องพรรค์นี้ก็เป็นเรื่องปกติ
จางเต๋อไห่นึกภาพที่ไม่ควรนึกในสมองเพิ่มมากขึ้นเรื่องๆ ใบหน้าแดงราวกับตับหมู เขินจนไม่สามารถเข้าใกล้ประตูได้ จึงรีบเดินลงไปรอตรงทางเข้าประตู
ภายในห้องเอ๋อร์ฝาง อวิ๋นหว่านชิ่นโดนท่านอ๋องโจมตีเข้า นางจับริมฝีปากของตนเอง รู้สึกว่าจะบวมขึ้นมาเล็กน้อย ดูบุรุษผู้นี้ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวพอได้ชิมของหวานเข้าหน่อยก็เตรียมการไว้พร้อมตลอด ชักโกรธขึ้นมาแล้ว ไม่ให้ตั้งตัวเลยสักครั้ง! จะชินได้เยี่ยงไรกัน
สายตาจ้องมองไปที่ชุดคลุมของเขา สมาธิของนางเตลิดหายไปหมด ยกมือขึ้นสัมผัสลูบไล้ไปตามผ้าดิ้นทองปักลายมังกรบนอกของเขา
นี่คงเป็นชุดที่ใส่เวลาออกราชการ คล้ายกับว่ามีเพียงองค์ชายที่สำเร็จราชการแทนถึงจะมีสิทธิ์สวมชุดนี้ได้
ข้าหลวงของตำหนักทอผ้ามาวัดตัวเขาถึงจวนอ๋อง ชุดสีดำทองตัดเข้ารูป ทุกซอกมุมเย็บเข้ากันพอดีกับสรีระ เผยให้เห็นร่างกายสง่าผ่าเผยและแข็งแรงกำยำ สวมด้วยเข็มขัดไว้ทุกข์สีขาว เอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อมทุกอย่างเข้ากันและสง่ายิ่งนัก
หากว่าจะมองใครคนใดคนหนึ่งว่าในอนาคตจะเป็นเช่นไร ก็คงต้องดูว่าเขาตอนนี้ปฏิบัติตนเช่นไร ถึงจะมองออกได้อย่างชัดเจน
เขาเดินมาถึงขั้นนี้แล้วจริงๆ
ในโลกนี้การเป็นโอรสของฮ่องเต้นับว่าเป็นเกียรติถึงแม้ภาพรวมแล้วจะยังไม่มีตำแหน่งใดๆ แต่ทว่าหากว่ายังไปไม่ถึงตำแหน่งสูงสุด ก็เป็นเหมือนตำแหน่งที่ต้องเหยียบย่ำบนพื้นน้ำแข็ง
บุรุษผู้นี้ แม้ว่ายังเดินไปไม่ถึงยอดเขาแต่ก็เริ่มมีเค้าลางแล้ว
จู่ๆ นางก็ใจลอย การมีร่มเงาให้พักพิงเป็นสิ่งที่สตรีทุกคนใฝ่ฝัน ตอนนี้นางควรจะดีใจสิ!
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางลูบสัมผัสก็ตกใจขึ้นมา คว้ามือจับมือน้อยบนอกเอาไว้ หายใจติดขัด “เมื่อครู่ยังไม่เห็นดีใจ ตอนนี้กลับมายั่วข้า” ม้วนมือจับมือน้อยของนางที่เล็กกว่าครึ่งหนึ่ง
“ท่านว่าราชการแล้วจริงๆ หรือ พร้อมกับจิ่งหยางอ๋องและสมุหนายกอวี้?” ยากนักที่จะเห็นว่านางไม่โต้แย้งตน
เขาคิดว่านางไม่ได้ดีใจมากนัก ยื่นมือลูบไล้ผมนาง เอ่ยเสียงเบา “อืม” เสียงหยุดไปครู่หนึ่ง “แต่ว่า ไม่ได้ทำงานกับพวกเขา ข้าเป็นหัวหน้า”
นัยน์ตาเขาเต็มไปด้วยคำว่าเขาไม่ใช่เด็กเมื่อวานซืนแล้ว เขาเดินมาถึงจุดนี้แล้ว เดินมาถึงราชสำนักแล้ว อำนาจของเขาจะยิ่งเพิ่มขึ้น นับจากนี้ชีวิตจะดีขึ้นเรื่อยๆ จะไม่ทำให้นางต้องลำบากหรือน้อยใจแม้แต่นิดอีกแล้ว
นางเอ่ย “อ้อ”
เขาเงียบอยู่สักพัก คว้ามือของนางไว้ “ไปกันเถอะ” เขารู้ว่าต้องทำเยี่ยงไรนางถึงจะสบายใจ
นางรู้ว่าเขาจะพาไปที่ไหน จึงยื่นมือรั้งมือเขาไว้ “ยังไม่ไปนะเพคะ”
ซย่าโหวซื่อถิงรู้ว่านางพะว้าพะวงเสด็จแม่ เกรงว่าจะทำให้แม่ลูกมีปัญหากัน เขาจ้องมองนาง “ทางเสด็จแม่ เจ้าไม่ต้องห่วงไป นางไม่ใช่คนเลวร้าย จริงๆ แล้วนางชอบเจ้าโดยตลอด แต่ว่าครั้งนี้ไม่รู้ว่าเป็นเยี่ยงไรถึงเลอะเลือนไป ครั้งหน้าข้าจะโน้มน้าวนางเอง”
ในที่สุดนางก็เอ่ยพูดขึ้นมา “หม่อมฉันรู้สึกว่าเสด็จแม่แค้นหม่อมฉันแล้วล่ะเพคะ”
เขามองนางด้วยความสงสัย
นางเริ่มเอ่ยถามก่อน “เรื่องที่ฮองเฮาสวรรคต ท่านได้ยินข่าวลืออะไรหรือไม่”
ว่าราชกิจ ข่าวลือจากพวกขุนนาง หลายวันมานี้มีหรือที่เขาจะไม่รู้ แต่ทำเพียงแค่ไม่รู้เสียก็จบ จริงๆ แล้วเขาเองก็สงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ทว่าพอไปถามเหยาฝูโซ่วก็พูดได้ไม่ชัดเจน หลังจากนั้นก็ไปตำหนักซือฝาหาผู้คุมข้าหลวง พวกเขาก็ปิดปากกันสนิท
สุดท้าย ศพของฮองเฮาถูกส่งไปฝั่งนอกเมืองระหว่างทางไปสุสาน ซือเหยาอันก็ได้ติดสินบนข้าหลวง ถึงได้ทราบว่าหลังจากที่ฮองเฮาสวรรคต ได้ถูกคนของฮ่องเต้จัดการทำความสะอาดอีกครั้ง เยี่ยงนี้ก็ไม่มีอะไรน่าแปลก แต่ทว่าได้แต่งหน้าโดยเฉพาะแต่งที่บริเวณท้อง เหตุนี้ทำให้เขายิ่งสงสัย
ได้ยินที่อวิ๋นหว่าชิ่นเอ่ยถาม เขาก็นึกขึ้นมาได้ ได้ยินมาว่าก่อนที่เจี่ยงฮองเฮาจะสวรรคต นางเคยไปที่ตำหนักซือฝากับไท่จือ พอนึกขึ้นมาได้สีหน้าก็เปลี่ยน แต่กลับต้องข่มอารมณ์เอาไว้ “อืม เคยได้ยินทำไมหรือ”
นางเล่าเหตุการณ์วันนั้นที่ตำหนักซือฝาตั้งแต่ต้นจนจบให้เขาฟัง
ซย่าโหวซื่อถิงขณะฟัง สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีปฎิกริยามากนัก การเสียชีวิตของเจี่ยงฮองเฮาไม่ใช้การเสียชีวิตจากโรคปกติ เรื่องนี้เขาเดาได้ตั้งนานแล้วไม่รู้สึกตกใจอะไร แต่แค่นึกไม่ถึงว่าจะรุนแรงเพียงนี้ทั้งยังถูกเสด็จพ่อใช้มีดแทงเองเสียด้วย
[1]เอ๋อร์ฝาง 耳房 คือ ห้องขนาบอยู่ด้านข้างห้องหลัก
[2]กินดีหมีหัวใจเสือ เปรียบว่า ไม่รู้จักรักตัวกลัวตาย ใจกล้าบ้าบิ่น