ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่219ทะเลาะวิวาท(2)
“พูดเรื่องนี้ก็น่าสนใจขึ้นมาแล้ว” ทายาทของตระกูลถูจวิ้นอ๋องที่เรียนร่วมชั้นกับเฝินอ๋องมาโดยตลอดยิ้มเอ่ยว่า “ฝ่าบาทคงเคยได้ยินเรื่องที่เยี่ยนหยางมาก่อนกระมัง พี่สาวของคุณชายอวิ๋นเพิ่งจะออกจากการรับโทษที่อารามฉางชิงมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เองพ่ะย่ะค่ะ”
“มิน่าเล่า พี่น้องกันจึงได้เหมือนกันเช่นนี้!” เด็กคนอื่นต่างพากันหัวเราะออกมายกใหญ่
“พี่สาวเยี่ยงนั้น จะสอนสั่งให้น้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังรู้ประสาและอยู่ในกฎอยู่ในเกณฑ์ได้อย่างไร!”
อวิ๋นจิ่นจ้งได้ยินเฝินอ๋องกับพรรคพวกเอ่ยถึงพี่สาวตน สีหน้าก็พลันเปลี่ยน เขาลุกขึ้นยืน “ลงโทษให้ไปยืนใช่หรือไม่ ลงโทษก็ลงโทษ”
เฝินอ๋องเห็นเขายอมแพ้ลงในที่สุด ก็ภูมิอกภูมิใจ เห็นเขากำลังจะหันหลังเดินออกไปจึงตรัสรั้งว่า “หยุดอยู่ตรงนั้น!”
จะยอมให้ลงโทษตอนนี้น่ะรึ สายไปเสียแล้ว!
เฝินอ๋องถือไม้เรียวฟาดลงฝ่ามือเบาๆ คราหนึ่ง ความโกรธเกรี้ยวยังไม่จางหายไป ไม่ทำตามที่เขาสั่ง ซ้ำยังมาหักหน้าเขาอีก ความโกรธนี้ยังไม่หมดไปง่ายๆ แน่ โทษนี้ ต้องเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้นอีก!
เรื่องที่มเหสีรองเหวยตาบอด เกิดจากพระสนมเอกเฮ่อเหลียนจากตำหนักชุ่ยหมิงรายงานทำร้าย ตระกูลเหวยสูญเสียซึ่งอำนาจ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฉินอ๋องและชายา
มารดาผู้เป็นสนมงามร้องห่มร้องไห้รำพันพูดถึงอยู่หลายต่อหลายครั้ง เฝินอ๋องทรงทราบดี
ยิ่งมาได้ยินเพื่อนร่วมชั้นยุยงอีก ความแค้นเคืองของเฝินอ๋องก็ปะทุออกมา วันนี้เขาจะล้างแค้นให้พระมเหสีรองกับเว่ยอ๋อง เขาส่งเสียงเฮอะอย่างเย็นชาออกมาคราหนึ่ง “ลงโทษให้ยืนก็จบหรือ โทษที่ให้ยืนนั้นเป็นการลงโทษที่เจ้าไม่เคารพอาจารย์และกฎเกณฑ์ ซ้ำเจ้ายังไม่เคารพข้าอีก! ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเล็กมาก ไร้มารดาคอยอบรมสั่งสอน การศึกษาไม่ดีเท่าที่ควร ข้าก็ไม่โทษเจ้า แต่บิดาเจ้าก็ยังมีนี่! ซ้ำยังมีพี่สาวที่เป็นพระชายาอยู่อีกมิใช่หรือ บิดากับพี่สาวเจ้าสั่งสอนเจ้ามิได้ ข้าก็จะสอนเจ้าเอง!”
ไม่เคารพอาจารย์และกฎเกณฑ์หรือ เด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบถือไม้เรียวขึ้นมาบนแท่นของท่านอาจารย์ เอาห้องเรียนมาเป็นสถานที่หาความสุขให้แก่ตน ซ้ำยังไม่รู้อีกว่านี่คือการหยามเกียรติอาจารย์และเหยียดหยามกฎเกณฑ์ อวิ๋นจิ่นจ้งได้ยินเขาดูถูกก็กำหมัดแน่น “ฝ่าบาทอย่าได้เอามารดาและพี่สาวกระหม่อมมายุ่งด้วย”
“เหตุใดจะเอามายุ่งด้วยมิได้ เจ้ามีมารดาที่ให้กำเนิดมา แต่ไม่มีมารดาคอยสั่งสอน มารดาเจ้าจากไปเร็วก็คงเพราะโมโหเจ้าจนตายกระมัง! บิดาเจ้าก็เช่นกัน ข้าแปลกใจนัก! ราชสำนักมีตระกูลใหญ่มากมาย ขุนนางชั้นผู้น้อยคนหนึ่งในกรมกลาโหมที่เกิดจากตระกูลยาจก จะปีนขึ้นสู่ตำแหน่งรองเจ้ากรมได้อย่างไร แล้วก็ได้ขึ้นเป็นเจ้ากรมอีก เกรงว่าคงมิใช่เพราะความสามารถ แต่ประจบสอพลอเก่งเสียมากกว่า! แล้วไหนจะพี่สาวเจ้าอีก ไม่รู้ว่าทำให้เสด็จพ่อเลอะเลือนไปด้วยวิธีใด มีคุณหนูสูงศักดิ์มากมายที่เพียบพร้อมโดนเด่น แต่มีเพียงนางผู้เดียวที่เข้าจวนอ๋องมาได้ ใช้วิชามารปีศาจใช่หรือไม่!” เฝินอ๋องเห็นเขาโกรธก็ยิ่งพอใจ
อวิ๋นจิ่นจ้งจิกเล็บลงฝ่ามืออย่างแรง สีหน้าแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ
จิ่งอ๋องเห็นเฝินอ๋องก่อเรื่องก็เริ่มรำคาญ ขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยปากขึ้นในที่สุด “พอได้แล้ว ท่านอาจารย์หลิวจะมาแล้ว…”
ก็เพราะใกล้จะมาน่ะสิ เขาถึงได้มิอาจปล่อยโอกาสที่ดีเช่นนี้ให้หลุดมือไปได้ เฝินอ๋องฟาดไม้เรียวลงบนโต๊ะ ท่าทางโกรธเกรี้ยวหนัก “ไม่! เขาดูถูกข้า!”
“เขาไปดูถูกเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน แค่อ่านตำราเสียงเบาไป ไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้า ไม่ได้เอาอกเอาใจเจ้าให้พอใจเท่านั้นมิใช่หรือ เอาล่ะ เจ้าแสดงเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาชั้นในเช่นนี้ก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน เรื่องไปถึงเสด็จพ่อก็จะไม่ดีได้” น้ำเสียงของจิ่งอ๋องเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว
แม้ว่าเฝินอ๋องจะเชื่อฟังเสด็จพ่อมาโดยตลอด ทว่าสำหรับเสด็จพี่พวกนั้นที่ตระกูลมารดามีตำแหน่งสูงกว่าพระสนมเขาก็มิได้หวาดกลัวไปเสียทั้งหมด แล้วยังถูกขันทีน้อยมาถูลู่ถูกังให้กลับไปนั่งที่อย่างไม่ยินยอมชอบใจอีก
ขณะนั้นเอง ลี่อ๋องกับอาจารย์หลิวเดินเข้ามาในห้องเรียนพอดี ภายในห้องจึงกลับไปเคร่งขรึมและเงียบดังเดิม
จิ่งอ๋องกลัวว่าอวิ๋นจิ่นจ้งจะฟ้องจึงหันไปมอง เห็นเขานั่งลงไปแล้ว สีหน้านับว่าสงบเรียบ ทว่าขอบตาแดงก่ำ ร่างก็สั่นน้อยๆ แต่ก็ทำเหมือนว่าไม่เคยเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาก่อน เหมือนกำลังกล้ำกลืนสิ่งที่ตนเพิ่งจะได้รับความไม่เป็นธรรมนี้ลงไป
พอใกล้จะถึงเวลาลกลางวัน คาบเรียนช่วงเช้าก็ได้สิ้นสุดลง นักเรียนร่วมสำนักศึกษาทั้งด้านหน้าด้านหลังต่างออกจากสำนักศึกษาชั้นในไป
อวิ๋นจิ่นจ้งเก็บสัมภาระ เดินออกไปด้านนอกคนเดียว
เฝินอ๋องที่ถูกล้อมหน้าล้อมหลังด้วยสหายร่วมสำนักที่คบไว้ก็ไม่เลวกับขันทีนั้นเดินมาถึงด้านหน้า เดินไปได้ครึ่งทางก็หันกลับมาชำเลืองมองเขาอย่างเหยียดหยามคราหนึ่ง หัวเราะเหน็บแนมอีกสองสามคำ คนข้างๆ ก็พากันหัวเราะตาม
จิ่งอ๋องที่อยู่ด้านหลังเห็นเหตุการณ์เข้า ขณะที่กำลังเดินผ่านอวิ๋นจิ่นจ้งไป ฝีเท้าก็ช้าลง “น้องชายข้าคนนี้ถูกเสด็จพ่อเอาใจมาตั้งแต่เกิด เที่ยวระรานคนอื่นจนเป็นนิสัยไปแล้ว ไม่ว่าจะทำผิดอันใด เสด็จพ่อก็มักจะทรงคิดว่าเขายังเด็ก ไม่รู้ความ คนในวังเห็นแก่หน้าของเสด็จพ่อ อีกทั้งไม่เคยมีผู้ใดขัดขืนเขามาก่อน เจ้าก็อย่าเก็บเอามาใส่ใจล่ะ” แล้วจึงหันมาอีกครั้ง เผยรอยยิ้มปลิ้นปล้อนเหลี่ยมจัดออกมา ปิดปากตรัสว่า “เหมือนอย่างข้ากับลี่อ๋อง คิดว่าเด็กคนนี้เป็นสัตว์เลี้ยงก็ได้แล้ว มีอันใดให้ถือสาหาความกันล่ะ”
อวิ๋นจิ่นจ้งเห็นว่าเป็นจิ่งอ๋องจึงหยุดฝีเท้าลง “ขอบพระทัยจิ่งอ๋องที่ทรงปลอบใจพ่ะย่ะค่ะ” พอเปิดปากพูดน้ำเสียงก็กลับสั่นเครือเล็กน้อย
จิ่งอ๋องรู้ดีว่าเขาถูกเฝินอ๋องต่อว่าใส่ต่อหน้าคนมากมายเพียงนั้น ซ้ำยังดึงเอามารดากับพี่สาวเข้ามาด้วยอีก ความเจ็บแค้นในใจนี้จึงยากที่จะจางหายไปได้โดยพลัน พระองค์เองก็พูดอันใดมากมิได้ จึงพยักหน้าเดินนำขันทีเดินจากไป
ด้านหน้าไม่ไกลกันนัก เฝินอ๋องหันกลับมามองอยู่เป็นครั้งคราว เห็นจิ่งอ๋องหยุดฝีเท้าเพื่อพูดคุยกับอวิ๋นจิ่งจ้งเป็นพิเศษ ดูเหมือนจะใกล้ชิดสนิทสนมกันอีก ก็ไม่พอพระทัยขึ้นมา
ถูซื่อจื่อยื่นหน้าเข้ามา “เป็นอันใดไปหรือ ฝ่าบาท”
“เด็กคนนั้น มองแล้วไม่สบอารมณ์นัก” เฝินอ๋องลูบอกไปมา
หลานชายคนโตของตระกูลใต้เท้าอิ่นผลการเรียนยอดเยี่ยมในสำนักศึกษาชั้นใน ได้รับความชื่นชมจากบรรดาอาจารย์มาโดยตลอด กระทั่งเวลาที่ฮ่องเต้เสด็จมาเยี่ยมเยือนตรวจสอบบัณฑิตที่ร่ำเรียนภายในสำนักศึกษาก็เคยตรัสชมเชยเขา ในกลุ่มนั้น คุณชายอิ่นเกลียดอวิ๋นจิ่นจ้งที่สุด เพราะแย่งหน้าแย่งตาเขา ยามนี้ได้ยินเฝินอ๋องตรัสเช่นนั้นจึงเอ่ยด้วยความโมโหว่า “เดิมทีฮ่องเต้ทรงเลือกเข้ามาเรียนในสำนักศึกษาด้วยองค์เองก็เพราะผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมของกระหม่อม เขาอาศัยอำนาจฉินอ๋องที่อยู่ในราชสำนักจึงเข้ามาเรียนที่นี่ได้ เข้ามาไม่กี่วันก็ไม่เห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตา ภายหน้าจะขนาดไหนพ่ะย่ะค่ะ ต้องกำราบความหยิ่งยโสนี่เอาไว้!”
คำพูดใส่ไฟนี้ ทำเฝินอ๋องระงับไว้ไม่อยู่ พระองค์กวักมือ ตรัสกับขันทีน้อยคนสนิทสองสามประโยค
ขันทีน้อยจะไม่ทราบนิสัยของผู้เป็นนายตนได้อย่างไร จึงกลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ “ฝ่าบาท นี่…”
“จะมัวร่ำไรอันใด รีบไปจัดการ!” เฝินอ๋องกระทืบเท้าด้วยความโกรธ
ขันทีน้อยรีบวิ่งไปหาอวิ๋นจิ่นจ้ง
อวิ๋นจิ่นจ้งกำลังจะเดินออกจากประตูใหญ่ของสำนักศึกษาชั้นในพอดี เห็นขันทีคนสนิทของเฝินอ๋องวิ่งเข้ามา ประสานมือเอ่ยว่า “คุณชายอวิ๋น เจ้านายบ่าวเชิญให้ไปพบที่หลังสำนักศึกษาขอรับ”
“คาบเรียนภาคเช้าจบแล้ว ฝ่าบาทมีอันใดจะรับสั่งก็ให้ว่ากันใหม่พรุ่งนี้” อวิ๋นจิ่นจ้งบอก
ขันทีน้อยรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเขาจะเอ่ยปัด จึงเอ่ยในสิ่งที่ได้เตรียมไว้ออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าเดิม “คุณชายอวิ๋น วันนี้เฝินอ๋องวู่วามเกินไปหน่อย กลับมาตรองดูก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจะดีนัก ทว่าอย่างไรก็เป็นคนในราชวงศ์ มิอาจอธิบายต่อหน้าผู้คนมากมายได้ ดังนั้นจึงอยากจะหาสถานที่สงบๆ มาปรับความเข้าใจกับท่าน ท่านคงจะมิได้ไม่เห็นแก่หน้าพระองค์ถึงเพียงนั้นกระมัง หากพระชายาฉินอ๋องทราบเข้าว่าท่านมาไม่ทันไรก็ไม่ถูกกับเฝินอ๋องแล้ว ไม่รู้ว่าจะเสียใจและกังวลเพียงใด”
แม้อวิ๋นจิ่นจ้งจะมิได้เชื่อว่าเฝินอ๋องทรงอยากปรับความเข้าใจกับตัวเอง แต่พอได้ยินชื่อพี่สาว ก็หันหลังเดินตามขันทีน้อยไป
ด้านหลังสำนักศึกษาชั้นในนั้น ต้นสนเก่าแก่ตั้งสูงตระหง่าน ใต้ต้นสูงใหญ่นั้นมีโต๊ะหินอ่อนขนาดใหญ่สองสามโต๊ะไว้ให้บัณฑิตได้อ่านตำรานอกเวลาเรียน เพราะเลิกเรียนแล้ว ยามนี้จึงเงียบสงัดมาก มีเพียงเสียงลมพัดไม้ดังซู่ๆ ให้ได้ยินเท่านั้น