ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่223ฮ่องเต้กับภรรยาขุนนาง(1)
อวิ๋นหว่านชิ่นอมยิ้ม “มิได้รีบร้อนอันใด”
เช่นนั้นก็ดียิ่ง อิ๋นเชวี่ยพรูลมออกจากปาก ยิ้มตาหยี “เรื่องท่านหญิงหย่งจย้าเมื่อคราก่อน องค์หญิงยังมิได้ขอบพระทัยพระชายาเลยเพคะ วันนี้ได้พบพระชายา องค์หญิงจะต้องดีใจมากแน่ เช่นนั้นไปเข้าเฝ้าองค์หญิงดีหรือไม่เพคะ” เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นไม่ปฏิเสธก็รีบส่งสัญญาณให้ขันทีทั้งสองเข้ามา “พวกเจ้าสองคนกลับตำหนักโซ่วเซียนไปพร้อมพระชายาฉินอ๋องก่อน”
แล้วเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับอวิ๋นหว่านชิ่นว่า “ในเมื่อในวังมีรับสั่งออกมาว่ามิอาจรบกวนพิธีได้ เช่นนั้นก็ขอพระชายาโปรดลงจากรถเดินเข้าวังแทนเถิดเพคะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นยินดีทำอย่างยิ่ง นางลงจากรถให้ชูซย่ารออยู่ด้านนอก แล้วเดินตามขันทีเข้าไป
ในเมื่อเป็นแขกขององค์หญิงฉางเยว่ ทั้งยังมีขันทีของตำหนักโซ่วเซียนเดินนำด้วยตัวเอง ทหารรักษาพระองค์จึงขัดขวางไว้มิได้อีก พอเข้าวังมาก็เดินไปตามกำแพงแดง อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นรอบข้างไร้ผู้คนจึงหยุดฝีเท้าลง กวาดตามองรอบๆ สายตาไปตกอยู่บนร่างของขันทีอายุมากนายหนึ่ง “กงกงไปทูลองค์หญิงที่ตำหนักก่อนเถิด วันนี้เดิมทีข้ามาเพื่อถวายพระพรพระสนมเอก สุดท้ายถูกทำให้เสียเวลามามากเช่นนนี้ ข้าจะไปทักทายพระมารดาที่ตำหนักชุ่ยหมิงก่อน”
ขันทีนายนั้นครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นบ่าวกลับตำหนักโซ่วเซียนก่อนแล้ว” แล้วหันไปสั่งให้ขันทีอีกนายไปพร้อมกับนาง
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นขันทีนายนั้นเดินจากไปก็พาขันทีที่อายุน้อยอีกคนเดินไปยังตำหนักเฟิ่งจ๋า
เดินมาได้ครู่หนึ่ง ขันทีน้อยก็ได้สติขึ้น “พระชายากำลังจะเสด็จไหนพ่ะย่ะค่ะ นะ…นี่มิใช่ทางไปตำหนักชุ่ยหมิงนี่พ่ะย่ะค่ะ”
ทว่าเห็นสตรีข้างกายแย้มยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไปที่อื่นกันก่อน หากกงกงน้อยยินดีจะตามไปก็เดินตามมา”
ขันทีน้อยขาดประสบการณ์ สู้ขันทีคนอื่นมิได้ ก็มิกล้าเอ่ยห้ามและมิกล้าไม่ตามไป จึงถอนใจ สะบัดแขนเสื้อเดินตามต่อ
อยู่อารามฉางชิงมาสองเดือน จึงรู้เส้นทางภายในวังอย่างชัดแจ้ง ตรงไหนมีทหารคอยตรวจตรา ตรงไหนไร้ผู้ไร้คน นางล้วนทราบทั้งหมด
ไกลจากตำหนักเฟิ่งจ๋ามากเพียงนี้ก็ยังเห็นบรรดาทหารยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ น่าจะมาช่วยจัดการพิธีให้
ณ ลานหน้าตำหนักมีเสียงสวดจากนักพรตลอยมาให้ได้ยินแผ่วเบา
ผ่านพิธีเปิดแท่นบูชาทวยเทพ เก็บน้ำค้างด้วยกระจกสำริด ชำระล้างสิ่งสกปรกและบูชาเทพเจ้าแห่งเตาไฟในช่วงเช้าไปแล้ว ยามนี้พิธีการผ่านพ้นไปได้ครึ่งทางแล้ว เหล่านักพรตเต๋าสวดส่งวิญญาณเรียบร้อย กำลังจะสวดมนต์กันต่อ เพื่ออวยพรให้แก่ผู้วายชน
นางมิได้เข้าไปใกล้ พาขันทีน้อยเดินไปยังประตูด้านข้างของตำหนักเฟิ่งจ๋า
ไม่ถึงหนึ่งเดือนดี ราวกับภายในตำหนักมีฝุ่นปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง เงียบกริบเป็นเป่าสาก
ประตูข้างไร้คนเฝ้า ตำหนักเฟิ่งจ๋ายามนี้ไร้เจ้าของ เดิมทีก็คนน้อยอยู่แล้ว อีกทั้งวันนี้มีพิธีการอีก คนที่เหลืออยู่ทั้งหมดคงไปลานด้านหน้ากันหมด
ขันทีน้อยเห็นพระชายามาที่ตำหนักเฟิ่งจ๋าก่อนก็ตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่านางจะทำอันใด กลับได้ยินนางขยับมาสั่งว่า “รบกวนกงกงน้อยช่วยข้าแอบเชิญพระมาตุลามาที่นี่หน่อย” แล้ววางของชิ้นหนึ่งที่เย็นยะเยียบลงบนมือเขา เป็นสัญญาณว่าให้เขาเอาให้พระมาตุลาก็พอ
ขันทีน้อยก้มลงมอง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นหยกพกหัวสัตว์ชิ้นหนึ่ง เขากัดฟันวิ่งออกไป
อวิ๋นหว่านชิ่นยืนอยู่ประตูด้านข้างหลังกำแพง ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น เป็นคนสองคน
เสียงกุกกักดังขึ้น ขันทีน้อยผลักประตูออก มายืนอยู่ข้างอวิ๋นหว่านชิ่น จากนั้นเสียงฝีเท้าของคนผู้หนึ่งก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ รองเท้าสีดำสนิทคู่หนึ่งก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา
เจี่ยงยิ่นสวมอาภรณ์สำนักเต๋าสีทอง เทียบกับแต่ก่อนแล้วสง่ากว่ามาก ทว่าคิ้วกลับขมวดมุ่น แววตาฉายแววเศร้าโศก
เป็นเพราะเรื่องที่เจี่ยงฮองเฮาได้ทำเอาไว้แต่เก่าก่อน ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของเขา แต่สุดท้ายก็เป็นพี่น้องกันอยู่ดี
อวิ๋นหว่านชิ่นอุ่นใจขึ้น ค้อมกายเอ่ยว่า “ไม่พบกันนาน วันนี้รบกวนพระมาตุลาแล้ว ใช้วิธีนี้เชิญพระมาตุลามา คงจะดูแปลกพิกลนัก”
นางออกเรือนไม่นาน หน้าตาสวยสดงดงามกว่าแต่ก่อนมาก ทว่าก็ยังเป็นเด็กสาวในป่าไผ่ที่วิ่งตามกอดแขนเขาไม่ปล่อยอยู่ดี อารมณ์มืดมนของเจี่ยงยิ่นที่ทราบเรื่องการจากไปของน้องสาวจึงแจ่มใสขึ้นมา เขาคืนหยกพกลายปี้อั้น[1]ไป สะท้อนอกสะท้อนใจว่า “เหตุใดเจ้าจึงทำตัวห่างเหินกับข้าเล่า”
อวิ๋นหว่านชิ่นรับหยกพกมาเก็บลงกระเป๋าของแขนเสื้อ ปรับลมหายใจแล้วมองไปยังใบหน้าของเขา ปลอบใจว่า “ขอพระมาตุลาโปรดระงับความเศร้าโศกนี้เสียเถิด ฮองเฮามีพระมาตุลาคอยโปรดสัตว์ อีกทั้งยังมีฝ่าบาทที่ทรงแอบเสียพระทัยอยู่เงียบๆ นางต้องไปสู่สุขคตินานแล้วเป็นแน่ คงจะกลับสู่งสังสารวัฏไปแล้ว ชาติหน้าก็คงจะมิได้รับความทุกข์ระทมดั่งในชาตินี้อีกแล้ว”
เจี่ยงยิ่นทอดถอนใจ “น้องสาวข้าคนนี้ประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครมาทั้งชีวิต ทำการใดก็ไม่ปรึกษากับผู้ใดก่อน แม้จะทำให้คนโกรธแค้น แต่ก็น่าสงสารนัก หากนางกับฝ่าบาทเปิดอกเปิดใจต่อกัน บางทีเรื่องอาจมิต้องมาถึงขั้นนี้ ฝ่าบาทก็คงไม่ทรงถึงขนาดพอไร้ซึ่งนางแล้วจึงจะเพิ่งมาเข้าใจเจตนาของนาง เจ้าก็ช่างใจกว้างนัก รู้อยู่แก่ใจว่านางทำกับมารดาเจ้าอย่างไร้ปรานี เจ้ากลับไร้ซึ่งความโกรธแค้น”
อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องเจี่ยงยิ่นนิ่ง “ความจริงแล้ว ข้ากลับขอบคุณฮองเฮาด้วยซ้ำที่ขัดขวางมิให้ท่านแม่เข้าวัง จุดนี้ ข้ามิเคยคิดแค้นต่อฮองเฮาเลย”
“นั่นก็เพราะว่าหากมารดาเจ้าเข้าวังมา จะมีเจ้าได้อย่างไรใช่หรือไม่” เจี่ยงยิ่นฝืนมีชีวิตชีวาเอ่ยหยอกเย้าขึ้น
อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยว่า “หากตอนนั้นฮองเฮาไม่ขัดขวางท่านแม่ไว้ ท่านแม่เข้าวังมา บางทีอาจจะเป็นสตรีที่คับแค้นใจอยู่ในวังยามนี้ก็ได้ เมื่อก่อนข้าคิดว่าท่านแม่ทำเพื่อจบเรื่องในอดีต อีกทั้งยังกลัวว่าฮองเฮาจะทำร้ายท่านลุง เพื่อมิให้ฮองเฮาทรงระแวงท่านแม่จึงไม่เลือกทางนั้น แล้วแต่งงานกับขุนนางที่เพิ่งจะมีความก้าวหน้า อีกทั้งยังเป็นบุรุษที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามในราชสำนักอย่างสายฟ้าแล่บ ต่อให้ถูกฮองเฮาบีบบังคับจนต้องเลือกทางที่ทำให้ตนไร้ความสุขไปชั่วชีวิตก็ตาม แต่หากคิดให้ดีๆ แล้ว หากท่านแม่เข้าวังมา จะมีชีวิตที่ดีกว่าอยู่ที่บ้านหรือ ไม่แน่หรอก ยามนี้มาคิดดู ท่านแม่ข้าก็ยังทุกข์ตรมทั้งชีวิตอยู่ดี ไม่ว่าจะเลือกทางใดก็ทรมานพอกัน ราวกับมีหลุมไร้ก้นบึ้งกำลังรออยู่”
เจี่ยงยิ่นเห็นนางคิดได้อย่างทะลุปรุโปร่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่ เอ่ยปลอบว่า “อย่ามองในแง่ร้ายเพียงนั้น แม่เจ้ามิได้ไร้ซึ่งคืนวันดีๆ เสียทีเดียวนัก”
อวิ๋นหว่านชิ่นแย้มยิ้ม ดวงเนตรงามเป็นประกายแวววาวดั่งคบเพลิงอันรุ่งโรจน์ จ้องมองเจี่ยงยิ่นอย่างทิ่มแทง “วันคืนที่ดีหรือ แรกเริ่มข้าคิดว่าที่ท่านแม่ตายเป็นเพราะการที่ท่านพ่อกับแม่เลี้ยงแอบคบชู้กันจนมันสะสมเข้าทุกวันๆ ท่านแม่ทนไม่ไหว ต่อมาข้าจึงได้ทราบเรื่องของท่านแม่กับฝ่าบาทเข้า ข้าคิดว่าถูกสามีทอดทิ้งไม่ไยดี อีกทั้งมิอาจได้อยู่ร่วมกับคนที่รักจึงเป็นสาเหตุให้ท่านแม่จากไป…ไม่ว่าจะสาเหตุไหน ข้าก็เกลียดที่ท่านแม่อ่อนแอเกินไป ปลงไม่ตกจนเกินไป…ทว่ามายามนี้ ข้าพลันพบว่า บางทีสาเหตุที่ทำให้ท่านแม่ต้องจบชีวิตลงอย่างหดหู่เช่นนี้ กลับมิใช่อย่างที่ข้าคิดไว้ทั้งคู่”
เจี่ยงยิ่นเข้าใจแล้ว วันนี้นางมาพบเขามิใช่เพื่อพูดคุยกันถึงเรื่องเก่าก่อนระหว่างพวกเขา เขาหยุดครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “เด็กน้อย เจ้ามีอันใดก็พูดมาตรงๆ เถิด”
ท่ามกลางเสียงนักพรตที่กำลังทำพิธี อวิ๋นหว่านชิ่นก็เรียกกำลังใจให้ตนเอง
วันนี้หากมัวแต่ลังเลอยู่ บางทีเรื่องนี้อาจไม่กระจ่างชัดไปตลอดกาลได้ นางเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ระหว่างท่านแม่กับฝ่าบาท ไม่เคย…ผิดจารีตกันมาก่อนเลยใช่หรือไม่”
ตอนที่เจี่ยงยิ่นเคยสอนนางอย่างลึกซึ้งให้ไต่ถามเรื่องราวให้แน่ชัดนั้น กลับนึกไม่ถึงว่านางจะเอาเรื่องนี้ย้อนกลับมาหาตน เขาจึงตอบอย่างฉะฉานชัดเจนไปว่า “เหตุใดจึงเอาเรื่องเก่ามาเป็นประเด็นอีกเล่า คราก่อนตอนอยู่ที่ราชนิเวศน์ ข้าก็บอกเจ้าไปแล้ว ท่านแม่เจ้ากับฝ่าบาทแม้ก่อนแต่งงานจะได้รู้จักกัน พบพานกันหลายครา ความรักทั้งสองต่างเต็มไปด้วยความสุข ทว่าต่างรักษาจารีตประเพณีมาโดยตลอด มิได้…”
“มิได้ล่วงเกินกันระหว่างชายหญิงใช่หรือไม่” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยขึ้นโดยทันที คำบางคำก็ยากที่จะเอ่ยออกมา แต่ก็จำเป็นต้องถาม “แต่ว่า…หลังแต่งงานเล่า”
เจี่ยงยิ่นสีหน้าแข็งทื่อ
นางเงยหน้าขึ้นกัดฟัน “พระมาตุลา ตอนนั้นท่านสนิทกับฝ่าบาท ไปไหนมาไหนด้วยกัน ซ้ำยังเห็นท่านแม่กับฝ่าบาทพบกันและรู้จักกันมากับตา ต่อมา…ฝ่าบาทกับท่านแม่ไปถึงขึ้นไหนกัน มีเรื่องใดเกิดขึ้นกันแน่ บนโลกนี้นอกจากท่านแล้ว ข้าก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะไปถามเอาความจากผู้ใด”
———————————————————-
[1] ปี้อั้น หนึ่งในบุตรของมังกรทั้งเก้า รูปลักษณ์เป็นเสือ น่าเกรงขาม มักเกี่ยวข้องกับคดีความ โดยมากจึงสลักรูปสัญลักษณ์นี้ไว้บนประตูเรือนจำ เสือเป็นสัตว์ที่ทรงอำนาจ ดังนั้นปี้อ้านจึงมีส่วนในการข่มขวัญเหล่านักโทษในเรือนจำให้มีความเคารพต่อสถานที่