ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่225จับตามอง(2)
ร่างนางสวมเพียงเสื้อคลุมที่บางเหมือนปีกจักจั่น ด้านในมีเพียงชุดนอนตัวเดียวเท่านั้น
เขาสามารถสัมผัสถึงอุณหภูมิและส่วนโค้งเว้าของนางได้ ความอ่อนนุ่มปกคลุมอยู่แผ่นหลังของเขา เสียดสีอยู่บนหลังเขาตามการหายใจของนาง ก่อกวนเขาจนเลือดลมปั่นป่วนไปหมด
ไม่ได้เจอเสียหลายวัน เขาฝืนระงับความปรารถนาที่อยากจะพะเน้าพะนอนางเอาไว้ จับมือนางไว้ ตอบว่า “อืม เรื่องในราชสำนักจัดการเสร็จแล้ว จึงหาเวลากลับมาดูเจ้า”
น้ำเสียงไม่ช้าไม่เร็ว เหมือนดั่งยามปกติ
“เช่นนั้นอีกเดี๋ยวต้องกลับเข้าวังไปอีกหรือไม่” นางกอดเอวเขาแน่นขึ้น ไม่อยากให้เขาลุกขึ้น
เขามิได้ตอบรับ น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เจ้าเข้าวังหรือ”
“เพคะ ไปถวายพระพรเสด็จแม่”
เขาพยักหน้าเอ่ยต่อว่า “เหตุใดเข้าวังทั้งทีจึงไม่เอาองครักษ์สองนายที่ข้าให้ไว้ไปด้วยเล่า”
อวิ๋นหว่านชิ่นตอบว่า “เดิมทีนั่นเป็นองค์ชายให้ข้าเพราะกลัวฮองเฮาจะทำร้ายข้า ยามนี้จะต้องมีให้ยุ่งยากไปไยเล่า”
ซย่าโหวซื่อถิงแววตาเรียบนิ่ง เปลี่ยนเรื่องไปว่า “ได้ยินว่าเจ้ากลับมาเสียเย็นย่ำ เกิดอันใดขึ้นหรือ อยู่ที่ตำหนักชุ่ยหมิงนานเพียงนั้นเชียว เสด็จแม่มิได้กลั่นแกล้งเจ้าใช่หรือไม่” น้ำเสียงฟังดูแล้วมิได้ต่างจากยามปกติ
นางฟังถึงตรงนี้ก็สัมผัสได้ว่าเขาแปลกๆ เหมือนกับสอบปากคำนักโทษอย่างไรอย่างนั้น
นางขยับเข้าไปใกล้ริมหูเขา เอียงศีรษะเอ่ยว่า “ถูกหานทงขวางไว้นอกวัง บอกว่าท่านรับสั่งห้ามเข้าออกวัง ข้าจึงจำต้องพาชูซย่ารออยู่ด้านนอกตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง ต่อมาเจอคนขององค์หญิงฉางเยว่เข้า ต้องขอบคุณองค์หญิงเสียแล้วข้าจึงได้มีโอกาสเข้าวังไป”
“หานทงรึ” ซย่าโหวซื่อถิงถามด้วยความสงสัย
“เพคะ”
คิ้วได้รูปขมวดมุ่นเป็นปมอย่างไม่พอใจ “หานทงผู้นี้ เถรตรงเกินไปแล้ว” ทว่ากลับเอียงศีรษะ แววตาเก็บงำความรู้สึกนึกคิดไว้ มองไม่ออกว่าทรงคิดอันใดอยู่ “ดังนั้น เจ้าจึงเสียเวลาอยู่นอกวังเช่นนั้นหรือ”
อวิ๋นหว่านชิ่นกลัวว่าเขาจะซักไซ้ต่อจึงโอบคอเขาไว้แล้วงอแงว่า “นอกจากจะเสียเวลาแล้ว ในรถก็ทั้งหนาวทั้งแคบ ต้องเบียดกับชูซย่าโดนลมอยู่ตั้งนานสองนาน แข้งขาแข็งไปหมดแล้ว แทบจะเป็นลมล้มพับไปเลย แล้วก็หิ้วท้องหิวตั้งค่อนวันด้วย”
แม้จะรู้ว่านางจงใจพูดเกินจริง แต่สีหน้าเขาก็ยังกระตุกยิ้ม “แล้วได้กินหรือยัง”
“เพคะ พอกลับจวนมาก็กินไปนิดหน่อย” นางพาออกประเด็นมาไกล โน้มตัวลง กำมือไว้แล้วทุบลงบนแข้งขา ออดอ้อนว่า “แต่แข้งขายังปวดเมื่อยอยู่เลย ยืนไม่ไหว”
ซย่าโหวซื่อถิงไม่ลังเลแม้แต่น้อย โอบเอวอันอุ่นนุ่มของนางไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง อีกมือจับข้อมือนางไว้ ออกแรงดึงมาด้านหน้า
นางไถลตัวลงมานั่งแหม่ะอยู่บนตักเขา ได้ยินน้ำเสียงไม่สบอารมณ์อย่างมากของเขาดังขึ้น “หานทงผู้นี้นี่ กลับไปข้าจะต้องสั่งสอนเขาเสียหน่อยแล้ว” แล้วเอ่ยเสียงทุ้มว่า “นั่งแบบนี้ แข้งขาคงไม่ปวดเมื่อยแล้วกระมัง” กล่าวจบก็นวดเท้าให้นางโดยที่ยังมิได้ถอดรองเท้าปักลายเนื้ออ่อนนุ่มที่เอาไว้ใส่ในเรือนออก บีบนวดให้อยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าว่า “แบบนี้ยิ่งสบายขึ้นหรือไม่”
นางได้ยินเขาบอกว่าจะสั่งสอนหานทงก็สบายใจขึ้นมามาก ฝ่าเท้าถูกเขานวดจนรู้สึกจั๊กจี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขานวดให้นาง หรือกำลังแต๊ะอั๋งนางอยู่กันแน่ นางหดเท้าขึ้น ริมฝีปากชมพูระเรื่อหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม ตบลงบนหน้าตักแข็งแกร่งของเขา “เบาะมนุษย์อันนี้ยอดเยี่ยมที่สุด เอ๋ ยืดหยุ่นก็ได้ด้วยหรือ” นางกอดคอเขาไว้ขยับขึ้นลงไปมา
เขาเห็นนางขย่มขึ้นลงไปมา ขณะที่กำลังขยับนั้น สาบเสื้อด้านหน้าที่หลวมก็ลื่นเปิดออก เผยให้เห็นหน้าอกขาวราวหิมะ อ่อนนุ่มดั่งเต้าหู้ ท่าทางเย้ายวนคนมองนัก จนอดดวงตาร้อนผ่าวมิได้ ทว่ากลับต้องระงับความคิดเอาไว้ เชยคางนางขึ้น เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ความสัมพันธ์ของเจ้ากับฉางเยว่ไม่เลวเลยใช่หรือไม่”
“คราที่ไปล่าสัตว์ องค์ชายก็ทราบว่าข้ากับนางได้รู้จักกันที่นั่นนี่เพคะ”
“ฉางเยว่ถูกพระสนมกับฝ่าบาทเอาอกเอาใจมาโดยตลอด นิสัยจึงเอาแต่ใจตัวเองมาก คบค้าสมาคมกับนางมิใช่เรื่องง่าย ถูกหัวเราะถูกโกรธเป็นกิจวัตร หากเจ้าอยู่ว่างๆ แล้วเบื่อ อยากได้สหายที่สนิทรู้ใจ ให้คุณหนูรองเฉินมาหาก็ได้ พระชายาจิ่งหยางอ๋องก็ไม่เลว ส่วนพวกองค์หญิงในรั้วในวังเหล่านั้น แต่นี้ไปเจ้าก็ไปมาหาสู่ให้น้อยลงเสีย เพราะไร้ประโยชน์” เขาเอ่ยเสียงเรียบ
“องค์หญิงฉางเยว่เอาแต่ใจตัวเองอยู่บ้าง แต่ปฏิบัติกับข้านับว่าไม่เลวทีเดียว” นางแก้ต่างเสียงเบา
เขากำมือวางลง จ้องมองไปยังนาง ดวงตาทั้งสองดำทะมึน ด้านในเขียนไว้ว่าเป็นข้าที่สำคัญหรือองค์หญิงกันแน่
อวิ๋นหว่านชิ่นจนใจ “ก็ได้ ภายหน้าเข้าวังไปจะพบปะนางให้น้อยลง”
เขาเห็นนางเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวานจึงมิได้กล่าวคำใดอีก อุ้มนางเอาไว้แล้วลุกขึ้น จัดเสื้อผ้าอาภรณ์นางให้เรียบร้อย “ดึกแล้ว ข้าจะเข้าวังก่อน คืนนี้เจ้าก็รีบเข้านอนเสีย เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ระยะนี้พักผ่อนให้เยอะหน่อย อย่าได้วิ่งไปนู่นไปนี่มากนัก”
อวิ๋นหว่านชิ่นนัดกับองค์หญิงไว้พรุ่งนี้เช้า ยามนี้เห็นเขาไม่ให้นางออกไปไหนจึงไม่รั้งเขานาน เอ่ยรับคำแล้วไปส่งเขาออกจากเรือน
พอกลับมาถึงเรือน ชูซย่าก็เข้ามา ดึงม่านปิดไว้เอ่ยถามว่า “เหนียงเหนียง องค์ชายสามเสด็จเข้าวังอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
“อืม” อวิ๋นหว่านชิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองชูซย่า “เขาน่าจะรู้ว่าองค์หญิงฉางเยว่พาข้าไปตำหนักตงกงแล้ว พูดจาแฝงความนัย ทั้งยังให้ข้าไปมาหาสู่กับองค์หญิงให้น้อยลงอีก”
“เอ๋ แล้วพรุ่งนี้…องค์หญิงจะมารับเหนียงเหนียงเข้าวังนี่นา”
อวิ๋นหว่านชิ่นแววตาสั่นไหว “ไม่ใช่เพียงครานี้คราเดียว” พอเจี่ยงยิ่นไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับเมืองหลวงมาเมื่อใดอีกชูซย่าลังเล “เหนียงเหนียงทูลองค์ชายไปตรงๆ ดีหรือไม่เจ้าคะ บอกไปว่ามิได้จะไปพบองค์หญิงฉางเยว่ แต่เป็นพระมาตุลาต่างหาก องค์ชายสามจะได้ไม่เข้าใจผิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นส่ายหน้า ถึงเวลานั้นเขาต้องสงสัยจุดประสงค์ของนางที่ไปพบเจี่ยงยิ่นแน่….เรื่องของน้องชายเรื่องนี้จะมองว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะมองว่าเล็กก็เล็ก แต่มิใช่เรื่องมีเกียรติมีศรีอันใด มีแนวโน้มจะส่งผลต่อชะตาชีวิตของน้องชายเสียด้วยซ้ำ
ก่อนเรื่องราวจะกระจ่างแจ้ง นอกจากตัวนางเองแล้ว มิอาจให้ใครหน้าไหนรู้ทั้งนั้น
เว้นไปชั่วครู่ นางก็เอ่ยว่า “หากเขารู้ว่าข้าไปพบองค์หญิงฉางเยว่อีกแล้วไม่พอใจ ข้าค่อยง้อเขาก็แล้วกัน”
ชูซย่าสีหน้าผ่อนคลาย ปิดปากยิ้ม “จริงด้วย องค์ชายสามชอบให้ท่านง้อที่สุด ต่อให้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายเพียงใดก็ถูกท่านง้อจนหายเกลี้ยง”
ด้านนอกของจวน ซย่าโหวซื่อถิงอาศัยค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวนั่งบนหลังม้าเรียบร้อย ควบขี่ไปยังวังหลวงพร้อมกับซือเหยาอัน
“องค์ชายสามวันนี้กลับไปแล้ว เหตุใดจึงไม่พักที่จวนสักคืนเล่าขอรับ ราชกิจในวังสองวันมานี้ก็จัดการพอควรแล้ว ทั้งยังมิต้องรีบร้อนเช่นนี้แล้ว เหนียงเหนียงมิได้รั้งองค์ชายไว้หรือ” ซือเหยาอันดึงบังเหียนพลางเอ่ยขึ้น
ซย่าโหวซื่อถิงหันไปมองจวนอ๋องคราหนึ่ง มิได้ตอบคำใด สีพระพักตร์กลับอึมครึมขึ้นมา ไม่ต่างกับท้องฟ้ายามนี้เท่าใดนัก ออกแรงดึงบังเหียน ควบม้าอยู่บนถนนหลวง เกือกม้าก็เร่งรีบตามการบังคับ
“หรุ่ยจือกลับมาแล้วหรือ” สักพัก น้ำเสียงเย็นเยียบเหมือนกับอยู่ท่ามกลางเมฆทะมึนหลายชั้น
ซือเหยาอันตอบคำ “ขอรับ เมื่อกลางวันให้คนส่งจดหมายมา บอกว่าถึงอำเภอลั่วไม่ไกลจากเมืองหลวงแล้ว อย่างช้าที่สุดพรุ่งนี้เช้าก็มาถึงจวนขอรับ”
“บอกนางว่าอย่าเพิ่งกลับจวน เข้าเมืองมาแล้วให้ไปนอกเขตพระราชฐาน…” เขาสั่งการ “จับตามองนางไว้” พูดจบก็ดึงบังเหียนขึ้น ส่งเสียงเร่งม้าคำหนึ่ง ขี่ควบออกไป
เช้าวันรุ่งขึ้น อวิ๋นหว่านชิ่นตื่นขึ้นมาก็ไปหอชุนหม่านที่ถนนจิ้นเป่าก่อนเพื่อซื้อของที่ระลึกจากแดนตะวันตก ของกินมีนมแพะกับลูกอมลูกเกด ของเล่นมีกล้องสลับลายของซีหยาง และอื่นๆ อีกกองใหญ่ ล้วนเพื่อให้องค์หญิงฉางเยว่ได้เบิกบาน
พอถึงยามคิดเงิน ผู้ดูแลวั่นเห็นเป็นนาง ไหนเลยจะรับเงินนางไว้ บอกแต่ว่าหากเถ้าแก่ทราบเข้าจะโดนว่าเอาได้ ดันกันไปดันกันมาก็ยืนกรานว่าไม่รับ