ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่228เปิดโลงย้ายศพ(1)
ชูซย่าฉงน “จะกลับไปจวนหรือเจ้าคะ”
อวิ๋นหว่านเอ่ยว่า “ไปไท่โจว”
ทั้งสองเดินทางติดกันทั้งวันทั้งคืน ก่อนเที่ยงของวันรุ่งขึ้นก็มาถึงไท่โจว
ระหว่างทาง ชูซย่ากลับไม่กล้าถามอวิ๋นหว่านชิ่นมากนักว่าเป็นเรื่องใดกันแน่ รู้เพียงว่าในเมื่อเป็นจดหมายที่เมี่ยวเอ๋อร์ส่งมา ซ้ำยังตั้งใจส่งมาให้บ้านสวนเป็นพิเศษอีก จะต้องเกิดเรื่องใดขึ้นแล้วแน่
นี่เป็นครั้งที่สองตั้งแต่เกิดมาที่ได้ออกจากเมืองหลวง ครั้งแรกนั้นติดตามกองกำลังทหารตระกูลเฉิน ย่อมไม่ต้องทำตามระเบียบขั้นตอนใด ครานี้ออกจากจวนอ๋องไปยังบ้านสวนโย่วเสียน เพราะต้องออกประตูเมือง อวิ๋นหว่านชิ่นจึงให้ชูซย่าไปฝ่ายราชการเพื่อซื้อบัตรประชาชนมาฉบับหนึ่งไว้ล่วงหน้า เพื่อสะดวกในการเข้าออก
พอเข้าเมืองไท่โจวมา ทหารรักษาการณ์ประจำเมืองที่ยืนอยู่ทั้งสองด้าน ตั้งแถวออกเป็นสองกลุ่ม ตรวจดูเอกสารของคนเข้าออก และมีบรรดาเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ดูๆ แล้วน่าจะมีระดับขั้น ถือดาบถือหอก แยกกันเดินตรวจการทั้งสี่ทิศ สีหน้าระมัดระวัง ป้องกันความวุ่นวายตลอดเวลา
หน้าประตูใหญ่ของเมืองที่ก่อด้วยหินปูนขาว มีกลุ่มคนรวมตัวตั้งแถวยาวขยับขึ้นหน้าทีละนิด ทั้งหมดนี้เป็นพ่อค้าที่มาติดต่อค้าขายภายในเมืองและประชาชนที่กลับบ้านเกิดกำลังรอการตรวจสอบของทหารตรงประตูเมืองอย่างร้อนใจ คนที่ขาดระเบียบขั้นตอนไปเล็กน้อยหรือตอบติดๆ ขัดๆ ก็จะไม่ให้เข้าเมือง
ชูซย่าเลิกม่านขึ้นมองก็ตกใจ “เหตุใดการเข้าออกไท่โจวจึงเข้มงวดกว่าเมืองหลวงอีก”
อวิ๋นหว่านชิ่นดึงสายตากลับมา ชูซย่าพูดมาไม่ใช่เรื่องโกหก เมืองเล็กๆ อย่างไท่โจว หากมิใช่มีคนใหญ่คนโตที่อำนาจคับฟ้ามาล่ะก็ การทำงานขององครักษ์จะเข้มงวดเพียงนี้ได้รึ
รถม้ามีทางเดินรถเฉพาะ หลังจากที่พวกอวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปแล้ว ก็หยุดนิ่ง ชูซย่าลงจากรถส่งเอกสารยืนยันตัวตนไป เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นนายหนึ่งรับมา เนื่องจากคนที่เข้าเมืองเป็นคนต่างถิ่น การตรวจสอบจึงละเอียดเป็นพิเศษ “มาจากเยี่ยจิงรึ”
ชูซย่าพูดตามที่อวิ๋นหว่านชิ่นบอก ตอบไปว่า “เจ้าค่ะ บ้านเดิมบรรพบุรุษของท่านย่าเล็กข้าคือไท่โจว ลูกเขยไม่ว่าง เห็นว่าใกล้จะถึงเช้งเม้งแล้ว จึงได้มาไหว้บรรพบุรุษคนเดียวก่อนเจ้าค่ะ”
เจ้าหน้าที่มองสตรีในรถคราหนึ่ง เผยให้เห็นเงาร่างครึ่งหนึ่งอย่างเลือนราง แต่งกายอย่างสตรีวัยเยาว์ที่ออกเรือนแล้ว หน้าตาแม้ว่าจะมีหมวกคลุมหน้าผืนบางบังอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ก็มองออกถึงความน่ารักฉลาดเฉลียวและอ่อนโยน เขาเอ่ยว่า “ทำความสะอาดหลุมศพรึ วันนี้น่ะรึ”
“เจ้าค่ะใต้เท้า” ชูซย่าเอ่ยตอบ
เจ้าหน้าที่เอ่ยว่า “เกรงว่าวันนี้จะมิได้ ให้นายหญิงเจ้าพักอยู่ในเมืองคืนหนึ่งก่อน พรุ่งนี้ค่อยไป”
“เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะใต้เท้า”
“ทางการซ่อมแซมถนน จึงปิดทางไว้ชั่วคราว” เจ้าหน้าที่ส่งเอกสารคืนให้ พูดอย่างคลุมเครือแต่ก็แข็งกร้าวเช่นกัน เขาสั่งให้ทหารเปิดประตูปล่อยให้รถพวกนางเข้าไป
เมืองไท่โจวไม่ใหญ่ สุสานต่างรวมกันตั้งอยู่ที่พื้นที่เปิดโล่งของชานเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือ สุสานประจำตระกูลอวิ๋นก็เช่นกัน
พอเข้าประตูเมืองมา ดวงตะวันก็แรงกล้าขึ้นมาก รถม้าหยุดอยู่ชิดริมถนนชั่วคราว
ถนนที่วิ่งสู่สุสานถูกปิดไว้ ถนนสายหลักก็ย่อมสัญจรไม่ได้เช่นกัน อวิ๋นหว่านชิ่นจำตอนที่ถงซื่อพักอยู่ที่เมืองหลวงกับหลานนางแล้วพูดคุยสัพเพเหระกันได้ ได้ยินนางพูดถึงโดยไม่ตั้งใจว่า สุสานสกุลอวิ๋นในไท่โจวมีเส้นทางเล็กๆ ที่สามารถอ้อมไปได้ ทั้งครอบครัวของท่านย่ากับท่านลุงใหญ่ไปกราบไหว้ในเทศกาลทุกปี บางครั้งก็หักใจเช่ารถจ่ายค่าเดินทางมิได้ จึงต้องรีบตื่นแต่เช้า เดินตัดไปทางลัดเส้นเล็กนั้น
ทางสายนั้นน่าจะไม่ได้ปิด
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่คิดนาน นางให้ค่าแรงคนขับนิดหน่อย คนขับยกแส้ม้าหันหัวรถไปทางสายเล็กนั้นทันที
ท่ามกลางรถม้าที่ควบแล่น ไม่กี่เค่อก็เข้าใกล้สุสานสกุลอวิ๋น รอบด้านมีแต่ทุ่งกว้างในชานเมือง เป็นสถานที่ของผู้วายชน น่าจะสะอาดและเงียบสงบ แต่ไม่ไกลกันนั้น ภายในกำแพงสูงสีขาวที่แยกออกจากโลกภายนอก กลับมีเสียงฝีเท้าที่สม่ำเสมอปนเปไปกับเสียงคนสั่งการดังขึ้น
ฝีเท้าหนัก สถานการณ์ไม่เบาเลย!
ใจอวิ๋นหว่านชิ่นแทบจะกระเด็นออกมา “รีบไปกัน”
คนขับรถม้าเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่สวมชุดขุนนางยืนอยู่หน้าประตูสุสาน อย่างไรเสียเขาก็เป็นบ่าวไพร่ในจวนอ๋อง จึงรู้จักอยู่บ้าง เห็นลายที่อยู่บนอาภรณ์แล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นนายอำเภอของไท่โจว จึงอดสงสัยขึ้นมามิได้ ดูท่าแล้วทางการคล้ายมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่เพียงแต่เอาหลุมศพของไท่โจวทุกหลุมปิดกลั้นถนนไว้สิบลี้ กระทั่งนายอำเภอยังมาจัดการด้วยตัวเองที่หน้าประตู ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่ จึงเอ่ยว่า “เหนียงเหนียง นี่…”
ชูซย่ากลับเดาบางอย่างออก นางไม่สบายใจขึ้นมา กระซิบสั่งว่า “เข้าไป”
คนขับรถม้าจึงจำต้องเคลื่อนรถต่อ รถม้าเข้าใกล้สุสาน ขุนนางกลุ่มหนึ่งหน้าประตูเห็นรถม้าส่วนตัวที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ไหนฝ่าเข้ามาก็พลันตกใจ
เอ่ยออกคำสั่งไป ทหารหลายสิบนายต่างเข้ามาห้อมล้อมขวางทางเอาไว้ ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงดุดันว่า “พวกเจ้าฝ่าเข้ามาได้อย่างไร ยังไม่ลงรถมาอีก!”
อวิ๋นหว่านชิ่นรีบลงจากรถมา เดินไปทางประตูใหญ่ ทุกคนเห็นเป็นสตรีเยาว์วัยนางหนึ่ง สวมหมวกคลุมหน้า มองใบหน้าไม่ชัด แต่ใจกล้าไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าจะเดินมาทางขุนนางทหารทั้งกลุ่ม น้ำเสียงร้อนรนอยู่ไม่สุขเอ่ยขึ้นว่า “ใต้เท้าทุกท่าน รบกวนรายงานเหยากงกงว่ามีคนจากเมืองหลวงขอพบ”
สตรีนางนี้รู้ได้อย่างไรว่าเหยากงกงอยู่ที่นี่ นายอำเภอไท่โจวปากอ้าตาค้าง “เจ้าเป็นใคร นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเรียกเหยากงกงมาพบตามอำเภอใจเช่นนี้! ใครก็ได้ ใครก็ได้ จับนางกลับไปศาลาว่าการ บรรดานายท่านจะได้ไม่ถูกรบกวน!”
ขณะกำลังพูดนั้น ภายในกำแพงสูงก็มีเสียงคล้ายระเบิดทำลายดังขึ้นเสียงกัมปนาทลั่นฟ้า!
เนื่องจากสภาพแวดล้อมในสุสานเป็นที่โล่งกว้าง เสียงจึงดังกึกก้องเป็นพิเศษ ทุกคนจึงถูกดึงดูดความสนใจไปชั่วขณะ หันไปมองตามเสียงนั้น
อวิ๋นหว่านชิ่นสีหน้าซีดเผือด อาศัยจังหวะที่ขุนนางทหารมองไปทางสุสานเดินตรงไปทางประตู ขุนนางคนหนึ่งตาดีมองเห็นจึงรีบเรียกคน “ใครก็ได้ ใครก็ได้ มาจับ…”
ขุนนางทหารทั้งสองมาขวางทางไว้ แต่เห็นสตรีนางนี้ตะโกนขึ้นว่า “เหยากงกง! เหยากงกง! ข้ารู้ว่าท่านอยู่ด้านใน!”
“บังอาจ! บังอาจ!” นายอำเภอไท่โจวโมโหเดือดดาล “ผู้หญิงปากร้ายจากที่ใดกัน!”
“ทำลายหลุมศพของคนอื่นตามอำเภอ รบกวนความสงบสุขของบรรพบุรุษข้า นี่มันหลักคุณธรรมของเจ้าฟ้าราชวงศ์ใด!” อวิ๋นหว่านชิ่นตะโกนไปทางประตูใหญ่
นายอำเภอตกตะลึง กำลังจะเรียกขุนนางทหารให้มาจับคนเหล่านี้ไปศาลาว่าการ ชูซย่ากับคนขับรถก็พุ่งไปคุ้มกันนายหญิงไว้ ขณะที่ต่างฝ่ายต่างกำลังยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อต่อกันอยู่นั้น ก็มีเสียงแหลมเล็กดังขึ้นจากหน้าประตูใหญ่ “หยุดนะ! ถอยไป!”
นายอำเภอไท่โจวเห็นเหยาฝูโซ่วพาองครักษ์สองสามนายกับขันทีออกมา ก็รีบโบกให้ทุกคนถอยไปรอบด้าน เหลือที่ว่างเอาไว้
อวิ๋นหว่านชิ่นหอบหายใจ เห็นเหยากงกงสีหน้าตกตะลึงเดินเร็วๆ เข้ามาหา เอ่ยเสียงเบาว่า “พระชายาฉินอ๋องมาได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“หากข้ามาไม่ทัน ราชวงศ์ได้รื้อถอนหลุมศพของมารดาข้าแน่แล้ว!” อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องเหยาฝูโซ่วเขม็ง ข่มความไม่พอใจเอาไว้ “เหยากงกง ฝ่าบาททรงประทับอยู่ที่นี่ด้วยใช่หรือไม่ ข้าจะเข้าไป!”
เหยาฝูโซ่วถูกนางมองจนรู้สึกผิด มิได้แจ้งให้นางทราบสักคำ เขาเป็นฝ่ายผิดจริงๆ แต่ก็ยังห้ามปรามไว้ “เข้าไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ พระชายาฉินอ๋องโปรดวางใจ กลับไปก่อนเถิด ฝ่าบาทจะได้ไม่ทรงกริ้ว!”
กริ้วรึ อวิ๋นหว่านชิ่นจมูกคัดขึ้นมา “ตอนที่แม่ข้ามีชีวิตอยู่ ไม่เคยจะมีชีวิตที่สงบสุข หรือพอตายไปแล้วก็ต้องถูกฝ่าบาทขุดหลุมศพเจาะกระดูก เหตุใดฝ่าบาทต้องไปรบกวนวิญญาณของนางด้วย!”
แม้ชูซย่าจะคาดเดาได้บ้างในระหว่างทางแล้ว แต่ยามนี้พอมาได้ฟังจึงทั้งตกใจทั้งกระจ่างแจ้ง มิน่าเล่าพอเหนียงเหนียงได้รับจดหมายจากเมี่ยวเอ๋อร์ก็ร้อนใจขึ้นมา ค่ำมืดดึกดื่นมายังไท่โจว ที่แท้…ที่แท้ฝ่าบาทก็ทรงต้องการรื้อสุสานของฮูหยิน!
นี่มันเหตุผลอันใดกัน แม้จะทรงเป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน แต่ก็ไม่อาจขุดรื้อสุสานบิดามารดาของประชาชนได้
ขุดหลุมศพมารดาของคนอื่นเช่นนี้ จะให้คนอื่นเขากลับไปอย่างวางใจได้หรือ ลูกหลานกตัญญูดีๆ ที่ยังพอจะมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้างที่ไหนจะไม่ทุ่มสุดชีวิตบ้าง! นี่มันเป็นเรื่องใหญ่ที่ร้ายแรงนัก!