ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่231มือซ้ายมือขวา(2)
ให้จิ่นจ้งได้เป็นบุตรชายตระกูลขุนนางที่ไร้ทุกข์ไร้โศกเถิด
“ไม่เอาเรื่องเจ้าหรอก” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ย “ท่านอ๋องก็ทรงรู้เรื่องของฝ่าบาทกับท่านแม่ข้า ยามนี้รู้ว่าฝ่าบาทเสด็จไปไท่โจวเพื่อย้ายศพท่านแม่ข้าก็ไม่ตกพระทัยหรอก”
แล้วพูดคุยอีกสองสามคำ จึงได้ซึมเซาไป นางเอนกายลงหมอนงีบหลับไป
ณ เรือนฮั่นม่อ
ด้านหน้าประตูมีการรายงานขึ้นว่า “ท่านอ๋องขอรับ เยี่ยนอ๋องเสด็จมาขอรับ”
เยี่ยนอ๋องเดินเข้ามาด้านในเนิบช้า แย้มยิ้มเอ่ยว่า “วันนี้พี่สามลาหยุดอย่างหาได้ยากยิ่ง ทำเอาข้าตกอกตกใจหมด คิดว่าพี่สามล้มป่วยแล้ว จึงได้ตั้งใจมาดู”
ซย่าโหวซื่อถิงเพิ่งจะกวาดตามองฎีกาที่ฉีไหวเอินส่งมาได้รอบหนึ่ง เอ่ยว่า “นั่งลงเถิด”
“ท่านอ๋องไม่ได้ประชวร แต่เป็นเหนียงเหนียงที่ประชวรพ่ะย่ะค่ะ” ซือเหยาอันทูลบอกอยู่หน้าประตู
“เหตุใดพี่สะใภ้สามจึงป่วยได้เล่า” เยี่ยนอ๋องตกใจ “ป่วยเป็นอันใดรึ จนทำให้พี่สามเคร่งเครียดต้องลาหยุดอยู่ที่จวน คงมิใช่เรื่องใหญ่อันใดกระมัง”
ซย่าโหวซื่อถิงมิได้เอ่ยคำใด “ตอนนี้ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด นางนอนพักอยู่ในห้อง” เขาเหลือบมองอีกฝ่าย “มาที่จวนตั้งแต่เช้าตรู่ คงมิได้มาดูว่าใครป่วยอย่างเดียวกระมัง มีอันใดก็พูดมา”
เยี่ยนอ๋องสีหน้าเคร่งขรึม ไม่พูดเยิ่นเย้อมากความอีก “พี่สามคงรู้ว่าไม่กี่วันก่อนเสด็จพ่อทรงปลอมตัวออกจากวังไปกระมัง เรื่องนี้จัดการได้รัดกุมนัก คนในวังแทบจะไม่มีใครรู้”
เห็นองค์ชายสามมิได้ตกใจ เยี่ยอ๋องก็ตะลึง “พี่สามทราบอยู่แล้วหรือ”
ซย่าโหวซื่อถิงแววตาเรียบเฉย “เจ้ามาตั้งแต่เช้าก็เพื่อพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องนี้น่ะหรือ ฝ่าบาทปลอมตัวออกจากวัง ถึงขั้นน่าแปลกใจเพียงนั้นเชียว”
เยี่ยนอ๋องตบเข่าฉาด “ปลอมตัวออกจากวัง ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกอันใด แต่ข้าได้ยินมาว่าพอเสด็จพ่อกลับมาก็ทรงออกคำสั่งด้วยพระองค์เอง ได้ยินว่าเป็นคำสั่งลับ ให้ปิดด้านหลังรูปปั้นฮ่องเต้เกาจู่วัดไท่เมี่ยวเอาไว้ มีคนเฝ้าไว้โดยเฉพาะ ไม่อาจหยิบออกไปตามอำเภอใจได้ แล้วทรงเชิญจิ่งหยางอ๋องมายังพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน สั่งให้เขาควบคุมและเร่งรัดคำสั่งลับนี้ ไม่ให้คนมาเกิดความโลภอยากจะได้ พี่สามมีความสัมพันธ์ดีต่อเหยากงกงมิใช่หรือ ครานี้ได้สำเร็จราชการแทนก็เพราะเหยากงกงเกลี้ยกล่อมเสด็จพ่อให้ ไม่ทราบว่าจะหาโอกาสถามเขาดูได้หรือไม่”
หลายปีมานี้ ซย่าโหวซื่อถิงมีมนุษยสัมพันธ์ต่อทั้งภายนอกและในวังเพื่อสร้างอำนาจ เหยาฝูโซ่วที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของเขาที่พยายามช่วงชิงมาเช่นกัน
ทว่า ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็มีจำกัดอยู่เท่านี้ เพราะเหยาฝูโซ่วเห็นแค่เพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่เป็นเจ้านายตน งานที่ช่วยเขาเหล่านั้นอย่างการเอ่ยปากสองสามคำล้วนเป็นเรื่องธรรมดา
ให้เขาหักหลังฝ่าบาท สอดแนมเนื้อหาของคำสั่งลับ ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน
ซย่าโหวซื่อถิงไตร่ตรองครู่หนึ่ง “ในเมื่อเรื่องนี้เสด็จพ่อรักษาเอาไว้โดยใช้คำสั่งลับ ก็แสดงว่าทรงไม่อยากให้คนอื่นได้รับรู้ เจ้าไม่ต้องไปเที่ยวสืบหาล่ะ จะได้ไม่ถูกเสด็จพ่อทราบเข้าแล้วมาลงที่เจ้า”
“พี่สามไม่สงสัยหรือไรว่าคำสั่งลับของเสด็จพ่อคืออันใดกันแน่” เยี่ยนอ๋องเอ่ย “พระประสงค์นี้ เสด็จพ่อยังไม่ทรงบอกแม้กระทั่งไท่จื่อ และมิได้บอกโอรสอย่างเราๆ เพียงแค่เรียกจิ่งหยางอ๋องที่เป็นคนนอกมาควบคุม ท่านว่า…” เขาเว้นช่วง “คงมิใช่เรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งมกุฎราชกุมารหรอกกระมัง ตอนนั้นที่เสด็จพ่อแต่งตั้งไท่จื่อ ก็เพียงเพราะไท่จื่อทรงเป็นทายาทของฮองเฮา ทรงเห็นแก่ฮองเฮาเท่านั้น ยามนี้ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ไปแล้ว…เสด็จพ่อทรงคิดอยากเปลี่ยนตำแหน่งไท่จื่อขึ้นมาหรือไม่ พี่สามมีคุณูปการทุ่มเทเพื่อชาติบ้านเมือง สุดท้าย ตำแหน่งมกุฎราชกุมารตกไปอยู่กับไท่จื่อที่ไร้ซึ่งผลงานอันใดผู้นั้น เดิมทีก็ทำข้าโมโหอยู่แล้ว หากตกไปอยู่กับผู้อื่นอีกล่ะก็ โทสะในใจข้าคงข่มไว้ไม่อยู่แล้ว”
“ข่มไม่อยู่ก็ต้องข่มไว้” น้ำเสียงเขาราบเรียบ “ไม่ว่าคำสั่งลับนั้นคืออันใด และไม่ว่าเสด็จพ่อจะทรงเปลี่ยนมกุฎราชกุมารใหม่หรือไม่ เจ้าก็ต้องเข้าใจว่า ในพระทัยของเสด็จพ่อ แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ไม่เคยเกี่ยวข้องกับตำแหน่งมกุฎราชกุมารนั่นเลย”
เยี่ยนอ๋องกำหมัดแน่น “หรือว่า ลำบากลำบนทั้งกายใจ สุดท้ายกลับโดนคนอื่นชุบมือเปิบไปรึ”
“คำสั่งนั้นคืออันใดกันแน่ ยามนี้นอกจากฝ่าบาทก็ไม่มีใครรู้ ใจร้อนในตอนนี้แล้วจะมีประโยชน์อันใด” ซย่าโหวซื่อถิงเห็นน้องแปดท่าทางหดหู่เศร้าสร้อย น้ำเสียงจึงเจือความหยอกล้อเพิ่มขึ้น “หากเป็นรับสั่งเปลี่ยนตำแหน่งมกุฎราชกุมารจริง เสด็จพ่อต้องใช้จังหวะที่วรกายแข็งแรงอยู่ป่าวประกาศไปทั่วแคว้นแล้ว จะต้องมาทำลับๆ ล่อๆ ทำไมกัน ในเมื่อเป็นคำสั่งลับ ซ้ำยังเก็บซ่อนเสียมิดชิด ก็หมายความว่า ในระยะเวลาอันสั้นนี้ พระองค์จะไม่เรียกใช้คำสั่งนี้โดยง่าย บางทีนี่อาจจะเป็นคำสั่งเปล่าไปตลอดกาลก็เป็นได้”
เยี่ยนอ๋องได้ฟังจึงได้สบายใจขึ้นมา เขากอดแขนเสื้อเอ่ยว่า “เป็นข้าที่คิดมากไป พี่สามพูดถูกแล้ว”
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นว่าเขาเหมือนจะโตขึ้นมาเล็กน้อยจึงได้พอใจ พลิกฎีกาผ่านๆ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ทางด้านแม่นางสกุลหันเป็นอย่างไรบ้าง”
เยี่ยนอ๋องตะลึงงัน ไม่พอใจอย่างไม่ทราบสาเหตุขึ้นมา “ข้าบอกไปแล้วมิใช่หรือว่าพี่สามให้ข้าไปรบเข่นฆ่าศัตรูอันใดล้วนทำได้หมด แต่เรื่องประเภทนี้ ข้าจะไปทำได้อย่างไร! ความรู้สึกที่แม่นางหันมีต่อพี่สามหนักแน่นยิ่งกว่าทองเสียอีก สายฟ้ายังผ่าไม่ขาด พี่สามตั้งใจรับนางเอาไว้เถิด”
อารมณ์นี้ระบายออกมาอย่างกะทันหันอยู่บ้าง ซย่าโหวซื่อถิงหรี่ตาลง “เจ้ากับนาง…”
เยี่ยนอ๋องโพล่งขึ้นว่า “พี่สามอย่าคิดเหลวไหล พวกเราไม่มีอันใดกันทั้งนั้น!”
“ข้าพูดแล้วหรือว่าพวกเจ้ามีอันใดกัน” ซย่าโหวซื่อถิงแย้มยิ้ม
โชคดีที่มีเสียงใสของสตรีดังขึ้นมาจากด้านนอกเสียก่อน ฉิงเสวี่ยเดินเข้ามาทำลายความกระอักกระอ่วนของเยี่ยนอ๋องลง
ก่อนที่ซย่าโหวซื่อถิงจะมายังเรือนฮั่นม่อได้สั่งให้นางมารายงานอาการของอวิ๋นหว่านชิ่นเป็นระยะ เขาเงยหน้าขึ้น “กำลังจะกินยาแล้วใช่หรือไม่”
ฉิงเสวี่ยเอ่ยเสียงขื่นอยู่นอกหน้าต่างว่า “เหนียงเหนียงไม่ทานแม้กระทั่งข้าวเลยเพคะ ทานอะไรไปก็อาเจียนออกมา ให้ห้องเครื่องทำใหม่ตั้งหลายครั้งก็ทานไม่ลงเพคะ”
เขาม้วนฎีกาเก็บ
ณ ห้องที่ติดกับโถงใหญ่ภายในเรือนหลัก
อวิ๋นหว่านชิ่นนอนหลับเพลิน ยามตื่นขึ้นมาท้องจึงหิวอยู่บ้าง
ชูซย่าเห็นนางบอกว่าหิวขึ้นมาในที่สุดจึงรีบลุกขึ้น “บ่าวจะไปยกมื้อเช้าที่ครัวมาให้เจ้าค่ะ” แต่เห็นฉิงเสวี่ยยกถาดเข้ามาก่อนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างมีลับลมคมใน ถ้วยน้อยที่เป็นเคลือบลงยาบนถาดมีควันลอยฉุย
ชูซย่ารับมา เป็นโจ๊กปลาใส่กวางตุ้ง ต้มได้ขาวนุ่มละเอียด จานใบเล็กด้านข้างยังมีหมั่นโถวธัญพืชเป็นกับแกล้มอีกด้วย
อวิ๋นหว่านชิ่นรับมาดื่มได้สองคำ รสชาติจืดชืด ไม่เหมือนรสมือจัดจ้านของพ่อครัวในห้องเครื่องที่จวน แล้วมองหมั่นโถวที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง อาหารในจวนล้วนเป็นธัญพืชเม็ดละเอียด ไหนเลยจะมีอาหารหยาบเช่นนี้ นางวางช้อนลง รู้ได้ทันที เป็นเขาที่ทำ รูปแบบอาหารเหมือนกันกับที่เขาเข้าครัวทำที่บ้านสกุลเกาในชนบทครานั้น
รายการอาหารนี้ รสชาตินี้ ยังคงไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ไม่คิดจะพัฒนาเลยสักนิด โจ๊กเหลวยังคงใสแจ๋ว สามารถส่องแทนกระจกได้
ทว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะหิวใช่หรือไม่ นึกไม่ถึงว่านางจะกินจนเกลี้ยง
เพิ่งจะทานมื้อเช้าเสร็จ เจินจูกับฉิงเสวี่ยก็ยกถ้วยโจ๊กออกไป อวิ๋นหว่านชิ่นลูบท้องไปมา อยากจะลงจากเตียงไปเดินย่อย ก็ได้ยินเสียงเจินจูดังมาจากนอกหน้าต่างว่า “เหนียงเหนียง ฝ่าบาทเยี่ยนอ๋องเสด็จมาที่จวน ได้ยินว่าท่านป่วยจึงมาเยี่ยมเจ้าค่ะ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเอาหมอนหนุนเอวไว้ ลุกขึ้นนั่ง “ยังไม่เชิญพระองค์อีก”
เยี่ยนอ๋องนั่งอยู่อีกด้านของหน้าต่าง ทักทายพี่สะใภ้สามไม่กี่คำก็เริ่มอ้ำๆ อึ้งๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นสังเกตเห็นจึงเอ่ยว่า “ภายในห้องมีเพียงสาวใช้คนสนิทของข้า ไม่มีคนนอก เยี่ยนอ๋องมีเรื่องอันใดก็ตรัสมาเถิด”
เยี่ยนอ๋องทรมานมานานจึงได้กัดฟันเอ่ยว่า “ไม่กี่วันก่อน พี่สามให้ข้าไปใกล้ชิดแม่นางหัน ให้ข้าล่อลวงนางจนเปรมปรีแล้วเปลี่ยนมาชอบข้าเป็นดีที่สุด เรื่องเช่นนี้ข้าทำมิได้ บอกพี่สามไป เขาต้องไม่พอใจแน่ เดี๋ยวจะคิดว่าข้าอกตัญญู จึงจำต้องมาพูดกับพี่สะใภ้สามแทน หากมีเวลาโปรดเกลี้ยกล่อมพี่สามให้ข้าที”