ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่233บุกห้องหอ(1)
การที่บรรดาสนมได้รับพระราชทานอนุญาตให้ออกจากวังนั้น เวลาย่อมมีจำกัดมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ต่อให้เป็นการกลับบ้านเดิมเยี่ยมญาติ ก็ไม่เกินเวลาเช้าจนถึงก่อนเที่ยง
นางพูดเช่นนี้คือการเร่งให้ตนรีบกลับไป!
พระสนมเอกพระทัยเย็นเยียบ คิดจริงๆ รึว่าซื่อถิงกับจวนฉินอ๋องเป็นของตนเพียงคนเดียว
แม้ว่าเวลาจะกระชั้น แต่พระสนมเอกกลับปกปิดความร้อนรนเอาไว้ ตรัสเสียงเรียบว่า “ไม่รีบ ข้าไม่มีบ้านเดิมอยู่ที่ต้าเซวียน ไม่เคยไปเยี่ยมญาติมาก่อน ฝ่าบาททรงสงสารข้า ยามนี้จึงได้ทรงอนุญาตให้ข้าอยู่พูดคุยกับพวกเจ้าให้มากหน่อยแล้วค่อยกลับ”
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางยืนกรานไม่ยอมกลับก็คร้านจะไปสนใจ ยังคงยกชาดื่มชื่นชมบรรยากาศ ยืดช่วงเอวขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่ให้สังเกตเห็นได้ง่าย รองเท้าผ้าปักใต้ชุดคลุมกันลมผืนยาวส่ายไหวไปมา ยืดเส้นยืดสาย
เวลาดึกดื่นมากขึ้น ในที่สุด เสียงตรงหน้าประตูก็ดังขึ้น “องค์ชายสามกลับมาแล้ว”
พระสนมเอกเฮ่อเหลียนปรีดายกใหญ่ นางลุกขึ้นสั่งว่า “รีบพาพระสนมหันกลับเรือนถังจู”
หันเซียงเซียงรอมาทั้งคืน ยามนี้ดวงใจจึงเต้นแรง ใบหน้าดวงน้อยแดงก่ำ ถูกหลี่ว์ชีเอ๋อร์กับเสี่ยวถงพยุงถวายคำนับลาแล้วออกมา
พระสนมเอกหันกลับไปมองอวิ๋นหว่านชิ่นแวบหนึ่ง ใบหน้าปรากฏเป็นรอยยิ้มสะใจ ตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ดึกมากแล้ว ชิ่นเอ๋อร์ก็เหนื่อยมามากแล้ว กลับไปพักที่เรือนเจ้าก่อนเถิด” ตรัสจบก็เดินออกจากโถงงานเลี้ยงไปขวางโอรสไว้
พอออกจาห้องโถงมา ยังเดินไปไม่กี่ก้าว หลี่ว์ชีเอ๋อร์ก็พูดกับหันเซียงเซียงสองสามประโยคแล้วเดินย้อนกลับมา คำนับเอ่ยขอบคุณต่อพระสนมเอกท่ามกลางราตรีกาล “ขอบพระทัยพระสนมเอกที่ทรงออกหน้าให้บ่าวได้อยู่ข้างกายพระสนมเพคะ! บ่าวไม่มีอันใดจะตอบเลย!”
อาศัยแค่นิสัยอ่อนปวกเปียกเหมือนโคลนของหันเซียงเซียงอย่างเดียว หลี่ว์ชีเอ๋อร์ไม่ฉวยเอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าจะสามารถอยู่ที่จวนต่อได้หรือไม่ วันนี้โอกาสหล่นมาจากฟ้า นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นพระสนมเอกเสด็จมาร่วมงานที่จวน โอกาสเช่นนี้นางไหนเลยจะไม่คว้าเอาไว้ให้มั่นได้
เมื่อครู่พอพระสนมเอกเข้ามาในจวน นางก็แอบเดินตามอยู่ท้ายๆ อาศัยจังหวะที่ไร้คนเข้าไปขวางทางเอาไว้ คุกเข่าถวายตัว วิงวอนขอให้ตนได้เป็นสาวใช้ข้างกายหันเซียงเซียง แล้วบอกอีกว่าตนกับพระสนมนับว่ามีวาสนาต่อกันหลายหน พระสนมจะต้องดีใจมากแน่
ตอนนั้นพระสนมเอกเฮ่อเหลียนพอเห็นสาวใช้ที่ท่าทางกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันนางนี้ มีภูมิลำเนาจากสามัญชนผู้ใช้แรงงานที่ตลาด ต้องมีไหวพริบกว่าหันเซียงเซียงแน่นอน ต้องได้ช่วยหันเซียงเซียงไว้ไม่ให้ถูกอวิ๋นหว่านชิ่นข่มเอาไม่มากก็น้อย จึงหวั่นไหว ต่อมาพอไปที่เรือนถังจู แค่เห็นบรรดาบ่าวไพร่ไร้ประโยชน์เหล่านั้นที่ส่งมาให้หันเซียงเซียง พระสนมเอกจึงยิ่งตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่ขึ้น
ยามนี้ พระสนมเอกกล่าวอย่างมีเลศนัยว่า “เจ้าไม่ต้องตอบแทนข้า ขอเพียงดูแลรับใช้นายหญิงของเจ้าให้ดี อย่าให้คนรอบข้างมาทำร้ายเอาได้ก็พอ”
“เพคะ” หลี่ว์ชีเอ๋อร์ค้อมกาย กลับไปยังข้างกายหันเซียงเซียงด้วยความปรีดา
ภายในโถงงานเลี้ยง ชูซย่าเดินมายังหน้าธรณีประตู ถุยน้ำลายลงกับเงาแผ่นหลังของพระสนมเอก
นี่กลัวว่าวันนี้องค์ชายสามจะถูกอวิ๋นหว่านชิ่นยึดเอาไว้ใช่หรือไม่ ถึงต้องไปคุมองค์ชายสามให้ไปเรือนถังจูในคืนนี้น่ะ!
สนดินสนฟ้าสนคนปลดทุกข์ สนแม้กระทั่งการเข้าหอของลูกชายก็ไม่ยอมปล่อยผ่าน!
ภายในห้องเจ้าสาว เปลวเทียนลุกโชน หันเซียงเซียงนั่งอยู่เนิ่นนาน ปวดเอวปวดหลังไปหมด นางแหวกม่านไข่มุกบนศีรษะออกเล็กน้อย
คนที่อยู่ข้างหน้าต่างมีเอวสอบไหล่กว้าง เห็นได้ชัดว่าเป็นร่างกายสูงใหญ่ ทำเอาใจนางเต้นแรงไม่เป็นส่ำ แต่บุรุษผู้นี้หันหลังให้นาง ตั้งแต่จางเต๋อไห่เชิญเขาเข้ามาในห้องหอจนกระทั่งยามนี้ ก็เอาแต่มองไปยังนอกหน้าต่างนิ่ง
หันเซียงเซียงกัดริมฝีปาก เอ่ยว่า “ท่านอ๋อง…ดึกมากแล้ว…”
บุรุษผู้นั้นกลับไม่สนใจเสียงรบกวนนั้นเลย เอาแต่จับจ้องไปยังนอกหน้าต่าง
ในที่สุดบุรุษข้างกายที่ตนคะนึงหาตลอดเวลาก็มาถึง แต่หากมิใช่เพราะพระสนมเฮ่อเหลียนใช้อำนาจในฐานะของผู้เป็นมารดาทั้งกล่อมทั้งร้องไห้บีบบังคับเชิญเขามา ยามนี้เขาจะมาอยู่ในห้องของตนได้อย่างไร
หันเซียงเซียงจิตใจมืดมน แต่ก็ฝืนเรียกความกล้า ดึงกระโปรงลงจากเตียงมา เดินไปยังข้างหน้าต่าง เอ่ยกับหลี่ว์ชีเอ๋อร์ที่อยู่รอรับใช้ด้านนอกเสียงเบา “ชีเอ๋อร์ เจ้าไปโรงครัว ต้มสุรามาสักหน่อย”
ในยามที่มึนเมาสุรา ต่อให้เป็นน้ำแข็งที่เย็นเยียบกว่านี้ก็คงต้องละลายลงมาบ้าง หลี่ว์ชีเอ๋อร์เข้าใจเจตนาของนางจึงหันหลังเดินออกไปจัดการ
หันเซียงเซียงเดินเข้าไปใกล้สองสามก้าว เอ่ยอย่างชัดเจนว่า “ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันทราบดีว่าความรักของท่านกับพระชายาลึกซึ้งนัก หม่อมฉันไม่กล้าไปแบ่งความโปรดปรานนั้นมา แต่เกรงว่าพระสนมเอกคงจะยังอยู่ด้านนอก อย่างน้อย ก็น่าจะให้นางได้กลับวังไปอย่างสบายพระทัยนะเพคะ…”
ต้องให้เสด็จแม่วางพระทัยแน่นอน มิฉะนั้นแล้ว ต้องมาได้ไถ่ถามตรวจสอบดูเป็นครั้งคราวแน่
ซย่าโหวซื่อถิงมองไปยังด้านนอกเป็นคราสุดท้าย แล้วหันกลับมา เปลือกตาขยับไหว เอ่ยสั่งว่า “ดับไฟ”
หันเซียงเซียงดีใจ ดับไฟในตะเกียงทั้งสี่อัน แล้วเป่าเทียนมงคลให้ดับไปด้วย ทันใดนั้นภายในห้องก็กลายเป็นทะเลลึกอันดำมืดไปทั่วทั้งบริเวณ
ดวงจันทร์สาดแสงข้างหน้าต่าง เงาร่างของบุรุษเป็นรูปร่างชัดเจน แต่กลับไม่ขยับไหว
นางสูดหายใจลึก อาศัยความมืดเข้าไปหา ยื่นมือไปดึงแขนเสื้อบุรุษคนนั้นไว้ “หม่อมฉันถอดอาภรณ์ให้เพคะ…”
กล่าวยังไม่ทันจบ ข้อมือบางก็ถูกดึงไปอย่างแรง ลมแรงสายหนึ่งผสมกับกลิ่นอำพันทะเลถาโถมเข้ามา หันเซียงเซียงยังไม่ทันจะรู้ตัวก็ถูกเขาดึงเสื้อส่วนหน้าเอาไว้ แล้วสะบัดลงไปบนเตียง
“ท่านอ๋อง…” ท่ามกลางความมืดสลัว หันเซียงเซียงใจแทบจะหยุดเต้น แยกไม่ออกว่ากำลังฝันอยู่หรือว่านี่คือความจริงกันแน่ นางยกมือขึ้นไปสัมผัสกับแผ่นอกแกร่งของบุรุษคนนั้น “…ให้หม่อมฉันปรนนิบัติท่านเถิด…”
ก่อนจะออกเรือน มารดากับมอมอในบ้านต่างสอนเรื่องบนเตียงทั่วๆ ไปแก่นางมาแล้ว ยามนี้ในสมองจึงได้ปรากฏออกมา นางข่มความอายไว้ เกี่ยวห่วงบริเวณสาบเสื้อด้านหน้าไว้ พอดึงออกก็เผยให้เห็นเสื้อตัวในของเขา
เขาปล่อยให้นางปลด มุมปากกลับแฝงความเย็นชา โน้มกายลงครึ่งหนึ่ง พอใกล้ข้างหูนางก็พลันหยุดชะงักลง
“หนทางการเข้ามาในจวนสายนี้ เป็นเจ้าเองที่ตัดสินใจ แต่นี้ไปก็อย่ามาโทษท่านอ๋องอย่างข้าว่าไร้หัวจิตหัวใจก็พอ”
กล่าวจบ ก็จับมือนางที่อยู่บนสาบเสื้อด้านหน้าตนเอาไว้ สะบัดทีหนึ่ง ตกลงไปอีกด้านพร้อมกันนั้นเขาก็หยัดกายขึ้น
ทันใดนั้น หันเซียงเซียงก็เหมือนตกลงจากสวรรค์ไปสู่นรก เห็นเขาทำท่าจะจากไปก็โศกเศร้าเหลือแสน นางกางแขนออก ดึงแขนเสื้อเขาไว้ “ต่อให้ท่านอ๋องจะไม่มาที่นี่อีก แต่วันนี้เล่า วันนี้เป็นวันมงคลของเรา จะอยู่ด้วยกันกับหม่อมฉันมิได้เลยหรือ…เหตุใด เหตุใดท่านอ๋องจึงไม่ยอมอดทนให้โอกาสหม่อมฉันสักครั้งเล่าเพคะ!”
แสงจันทร์สีเงินด้านนอกสาดส่องเข้ามาเป็นระยะ คอเสื้อของเขาเปิดออกเล็กน้อย ดวงตาสีนิลเย็นชาจดจ้องนาง ยกมือขึ้นดึงเสื้อตัวในแหวกไปด้านข้าง
หันเซียงเซียงตกตะลึง ด้านล่างแผ่นอกของเขาล้วนมีบาดแผลทรงกลมลึกบ้างตื้นบ้างอยู่เต็มไปหมด บางรอยขอบแผลก็ยังมีรอยฟันคล้ายว่าถูกสัตว์บางชนิดกัดเอา ภายในห้องอันมืดสลัว ยิ่งทำให้ตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น น่าหวาดกลัวยิ่ง!
นางเคยเห็นเพียงฉินอ๋องที่หล่อเหลางดงามดุจเทพบุตร ไหนเลยจะเคยเห็นฉินอ๋องที่มีบาดแผลน่ากลัวทั่วร่างเช่นนี้ หันเซียงเซียงปิดหน้า หวีดร้องออกมาเบาๆ “นะ…นี่มันคืออันใด…”
“ตกใจรึ” เขากลัดกระดุมเสื้อทีละเม็ดให้เรียบร้อย “ไม่โทษเจ้าหรอก ไม่มีสตรีคนใดที่เห็นสิ่งนี้แล้วจะไม่รังเกียจเดียดฉันท์และหวาดกลัว ใต้หล้านี้มีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ยามเห็นบาดแผลทั่วร่างพวกนี้ในครั้งแรกไม่หลบ ไม่หลีก ไม่ตกใจ ไม่หวาดกลัว ทำเพียงสงสารคุ้มครองปกป้อง ตั้งแต่วันนั้นมา ความอดทนและโอกาสทั้งหมดในชาตินี้ของข้าก็มอบให้นางผู้นั้นได้เพียงผู้เดียวไปแล้ว”
จิตใจหันเซียงเซียงถูกกระทบกระเทือนจิตใจ นางปล่อยมือลง เห็นเขาจะหันหลังไปก็โผไปขวางไว้อีก “ท่านอ๋องจะเสด็จไหน…”
เขาขมวดคิ้ว กายสูงโน้มลง ขยับเข้าไปใกล้
หันเซียงเซียงเกิดความหวังขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลับได้ยินเสียงที่ดังขึ้นข้างหูเบาๆ ว่า “ท่านอ๋องคำนี้ ไม่ได้มีไว้ให้เจ้าเรียก แต่นี้ไปให้เรียกว่าฉินอ๋องก็พอ”
มือเรียวของหันเซียงเซียงคลายลง แขนเสื้อไหลตกลงจากง่ามนิ้วลงมา