ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่235มีสัญญาณครรภ์(1)
วันนี้แล้วอย่างไร ต่อให้นางทำเหมือนไม่ใส่ใจ แต่วันนี้ต้องเป็นวันที่ยากลำบากสำหรับนางแน่
เช่นนั้นจึงจัดให้เป็นวันนี้ ให้นางได้ผ่านหนึ่งวันนี้ที่ยากลำบากไป ลืมความไม่เบิกบานไป เหลือเพียงความสุขเอาไว้เท่านั้น
เขามิได้เอ่ยคำใด ใช้เพียงการกระทำมาเป็นคำตอบ อุ้มนางไว้! แล้วเดินไปยังสระน้ำ
เขาสัมผัสได้ว่านางกังวลอยู่เล็กน้อย แม้ว่าจะเสียภาพลักษณ์ไปนิดหน่อย แต่เขาก็ครุ่นคิดแล้วจึงขยับไปชิดริมหูนาง เอ่ยให้กำลังใจว่า “ก่อนหน้านี้ข้าดูตำราภาพมาไม่น้อย”
นางอดจะหัวเราะออกมามิได้ ความกังวลมลายหายไปสิ้น
พอเดินมาถึงริมสระ เสื้อคลุมตัวใหญ่และอาภรณ์ตัวในสีชาดก็หลุดร่วงจากมือใหญ่ของเขาลงสู่พื้น
หลังจากเรื่องรับสนมของจวนองค์ชายสามผ่านพ้นไป จวนก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ไร้ซึ่งร่องรอยของการจัดงานมงคลแม้แต่น้อย
พระสนมหันที่รับเข้ามาใหม่นอกจากวันที่สองที่เข้าจวนมาก็พาเสี่ยวถงกับหลี่ว์ชีเอ๋อร์ที่ท้องร่วงจนใกล้จะตายไปยังเรือนหลักเพื่อถวายพระพรภายใต้การนำทางของมอมอสองนาง จากนั้นก็อยู่ที่เรือนถังจูตลอด ไม่มีแม้กระทั่งเสียง
และเป็นวันแรกของการไปถวายพระพรนี้เอง เหล่าบ่าวไพร่ได้ยินว่าพระสนมหันก็ไม่ได้พบกับพระชายา มีเพียงแม่นางชูซย่าที่ออกมาเป็นตัวแทนต้อนรับ บอกว่าเหนียงเหนียงป่วยพอดี ต้องอยู่ที่เรือนเพื่อพักรักษาตัวหลายวัน ระยะนี้องค์ชายสามก็ทรงยุ่งนัก ออกไปแต่เช้ากลับก็มืดค่ำ ส่วนใหญ่ตลอดทั้งวันล้วนไม่อยู่จวน จึงยกเลิกให้พระสนมคนใหม่ไม่ต้องคอยมาปรนนิบัติเช้าเย็น เรื่องถวายพระพรในภายหน้าจะเป็นเมื่อใดนั้นก็ค่อยว่ากัน ขอพระสนมหันโปรดอยู่ที่เรือนให้สบายใจเป็นพอ
สนมที่เพิ่งจะเข้าจวนมา จะอาศัยการเข้าๆ ออกๆ เพื่อถวายพระพรและพูดคุยมาทำให้คุ้นหน้าและหาเส้นสาย จากนั้นจึงสามารถจัดการทำความคุ้นเคยกับความสัมพันธ์ทุกชนชั้นภายในจวนด้วยความรวดเร็ว เพื่อสร้างอำนาจบารมี คำว่า ‘ไม่ต้องมาถวายพระพร อยู่ที่เรือนให้สบายใจ’ นั้น ดูเหมือนจะเอาใจใส่มีอัชฌาศัย แต่ความเป็นจริงได้จำกัดวงสังคมการคบค้าสมาคมของพระสนมหันต่อแต่นี้ไปเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ช่างเป็นการวาดพื้นให้เป็นคุก[1]เสียจริง ให้พระสนมหันนางนั้นอยู่ได้แค่ภายในอาณาเขตของเรือนตะวันตกเฉียงเหนือเท่านั้น
เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่าบ่าวไพร่ที่ตามมาจากเรือนถังจูด้วยกันต่างพากันสบตากัน เกิดเสียงอื้ออึงขึ้นเบาๆ ทันที
มอมอทั้งสองเป็นคนของจวน ซ้ำยังเคยชี้แนะวิธีบริหารบ้านเรือนให้แก่พระชายา แม้ว่าจะตกใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเป็นอริกับพระชายาเพื่อนายหญิงคนใหม่ พวกนางก้มหน้าเงียบๆ ไม่ส่งเสียงใด
เสี่ยวถงเป็นสาวใช้ที่เกิดในจวนตระกูลหัน เห็นพระชายามีเจตนาเพิกเฉยไม่ต้อนรับอย่างชัดเจนก็วิงวอนด้วยความไม่เป็นธรรมที่ได้รับ “วันนี้เป็นวันแรก อย่างไรเสียเหนียงเหนียงก็ควรพบพระสนมสักหน่อย ให้พระสนมได้แสดงน้ำจิตน้ำใจนะเจ้าคะ”
สายตาชูซย่าทอดมองไปยังห้องหลักครู่หนึ่ง ปฏิเสธไปตามตรงว่า “เหนียงเหนียงยังไม่ตื่นบรรทม คงไม่สะดวก”
ตะวันขึ้นสูงมากแล้ว จะไม่ตื่นบรรทมได้อย่างไร หันเซียงเซียงอดรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาในใจมิได้ “แม่นางชูซย่า เพราะท่านอ๋องทรงประทับอยู่ด้านในด้วยใช่หรือไม่ เมื่อวานหลังออกจากเรือนถังจูแล้ว จะยังทรงไปที่ใดได้อีก”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์กลัวว่าจะยั่วให้อวิ๋นหว่านชิ่นไม่พอใจเข้าจึงกุมท้องน้อยที่ปวดขึ้นมาเป็นพักๆ อีกมือดึงหันเซียงเซียงไว้ กระซิบเกลี้ยกล่อมว่า “เหนียงเหนียงเพิ่งจะหายป่วย ไม่กี่วันนี้จัดการเรื่องงานมงคลก็เหนื่อยล้าไม่น้อยแล้ว หากพระสนมมีน้ำจิตน้ำใจ โอกาสที่จะมาถวายพระพรในภายหน้ายังมีอีกถมเถนะเจ้าคะ”
ชูซย่าเหลือบมองหลี่ว์ชีเอ๋อร์แวบหนึ่ง สีหน้าบ่งบอกว่าเป็นเด็กมีอนาคตสั่งสอนได้ น้ำเสียงจึงพอใจอยู่มาก “ฉลาดยิ่ง มิน่าเล่าจึงได้ต้องตาพระสนมเอก ซ้ำยังถูกพระสนมแย่งเอาไปใช้อีก”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ได้ฟังก็หนาวสั่น หันเซียงเซียงกลับทำเพียงทอดถอนใจ ห้ามเสี่ยวถงไม่ให้โวยวายขอพบพระชายา คำนับไปทางเรือนคราหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแอว่า “หม่อมฉันรับฟังเจตนาของเหนียงเหนียงด้วยความเคารพ วันนี้ไม่รบกวนแล้วเพคะ” แล้วสั่งบ่าวไพร่ว่า “ไป กลับกันเถิด”
วันนี้ตอนเช้าตรู่หลี่ว์ชีเอ๋อร์กลับมายังเรือนถังจูก็สัมผัสได้ว่าหันเซียงเซียงดูแปลกไป แรกเริ่มเพียงแค่ยังไม่ฟื้นตัวจากการโดนกระทบกระเทือนใจเมื่อวานนี้ จากนั้นจึงสัมผัสได้ว่านางมีความตื่นตระหนกอยู่เล็กน้อย หยั่งเชิงถามไปสองสามคำกลับไม่ได้คำตอบใด ยามนี้เห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็ยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม แต่ก็ทำเพียงประคองนางออกจากเรือนหลักไปพร้อมกับเสี่ยวถงอย่างเงียบๆ
อันที่จริงในตอนที่หันเซียงเซียงมาถวายพระพรนั้น อวิ๋นหว่านชิ่นกลับมิได้หลอกลวงนาง เพราะยังไม่ตื่นจากนิทราจริงๆ
ก่อนรุ่งสาง ทั้งคู่เข้าประตูเมืองทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือที่เปิดออก
ระหว่างทาง แม้ว่าซย่าโหวซื่อถิงจะกอดนางไว้แนบอกตลอดเวลา เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนจากรถม้าที่โคลงเคลง แต่ร่างกายนางก็ยังเจ็บจนตระหนกอยู่ดี
ทว่า นางก็ไม่ได้เสียเปรียบ เพราะหลังคอและแผ่นหลังของเขาล้วนเต็มไปด้วยรอยเล็บนาง
หลังจากการพักเมื่อคืนนี้ บุรุษผู้นี้มีชีวิตชีวาเต็มเปี่ยมเสียจนน่าตกใจ นางสงสัยนักว่าเขาไม่เพียงแต่กินลูกกลอนห้ามเลือดก่อนทำกิจเท่านั้น ในสระน้ำก็ไม่เพียงมีแค่ยาที่บำรุงความอบอุ่นเช่นกัน
ในความรู้สึกของเขาเพราะการปรับยาและน้ำพุร้อนให้เหมาะสม เลือดลมในร่างกายจึงได้ไหลเวียนคล่องขึ้น ไม่เหมือนแต่ก่อนที่พอมีอารมณ์ปรารถนาเกิดขึ้นมาเพียงเล็กน้อย เลือดลมก็เดินไม่สะดวกแล้ว มีสัญญาณการออกฤทธิ์ของพิษเกิดขึ้นจึงต้องปล่อยแรงปรารถนานั้นทิ้งไป
หลายครั้งหลายคราเข้า ราตรียังผ่านพ้นไปไม่ทันค่อนคืน เขาก็แทบจะทำกระดูกนางร้าวหลุดแยกออกจากกัน
ต่อให้ชาติก่อนจะมีประสบการณ์ แต่ก็ต้านทานการเรียกร้องของเขาเอาไว้ไม่อยู่ หากมิใช่เพราะการกระทำของเขาในตอนเริ่มบุ่มบ่ามมากล่ะก็ นางก็คงจะได้สงสัยว่าเขาเป็นคนช่ำชองอย่างแน่นอน
ในยามรุ่งสาง ชูซย่าได้เตรียมผ้าแห้งและสบายกับอาภรณ์สะอาดมาวางไว้ริมสระล่วงหน้า
ร่างทั้งร่างของนางอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงไปหมดแล้ว ก้าวเดินมิได้ เขาลุกขึ้นก่อน เตรียมตั่งนุ่มที่ปูด้วยหมอนหนุนสูงใบนิ่มริมสระและเตาที่มีไฟอ่อนๆ วางไว้ด้านข้าง แม้ว่าจะเป็นฤดูสารทอันผลิบาน ทั้งยังมีไอน้ำจากน้ำพุร้อน แต่เพราะเป็นชานเมือง ซ้ำยังเป็นยามดึก จึงมีความหนาวเย็นอยู่เล็กน้อย การป่วยของนางเพิ่งจะดีขึ้นไม่นานนี้เอง
พอตระเตรียมเสร็จแล้ว เขาจึงได้อุ้มนางขึ้นมาพัก
ในยามที่รถม้ามาถึงหน้าประตูจวน นภาก็ทอแสงรำไรแล้ว ทุกคนในจวนยังไม่ตื่น มีเพียงฉิงเสวี่ยกับเจินจูสองคนที่มารอต้อนรับอยู่หน้าประตู ซย่าโหวซื่อถิงอุ้มนางลงจากรถ อุ้มกลับไปยังห้องปีกในเรือนหลัก ผลัดเปลี่ยนชุดคลุมใหม่แล้วเข้าวังไปออกว่าราชการ
นางอยากจะทราบนักว่าเขาไปเอากำลังวังชาเช่นนี้มาจากไหน รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยบ้างหรือไม่ แต่ก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจะพูดแล้ว
ชูซย่าและสาวใช้อีกสองคนไปเอาน้ำมา เช็ดตัวให้แก่นาง ระหว่างทาง กระทั่งทั้งสามคนแอบหัวเราะพูดคุยกันนางยังคร้านจะไปห้ามเลย สั่งงานคำหนึ่งแล้วซุกหน้าลงกับเตียงเข้าสู่นิทราไป
ในตอนที่หันเซียงเซียงมาหา นางก็กำลังไปเฝ้าพระอินทร์ถึงที่ไหนแล้วก็ไม่รู้!
ทว่า หลังจากกลับไปวันนั้น หันเซียงเซียงก็อยู่แต่ในเรือนถังจูตลอด ไม่ออกมาอีกเลย ลานบ้านด้านตะวันตกเฉียงเหนือที่เป็นที่พำนักของสนม จากเดิมที่เงียบงันอย่างไร ยามนี้ก็ยังคงเงียบสงัดอยู่อย่างนั้น
หากไม่รู้ว่าภายในจวนมีพระสนมเข้ามาเพิ่มล่ะก็ คงจะไม่รู้เลยว่านางมีตัวตนอยู่
ทว่าชูซย่าก็ยังกำชับกับฉิงเสวี่ยให้นางจับตาดูเรือนถังจูเอาไว้ โดยเฉพาะในยามที่เยี่ยนอ๋องเสด็จมา ในตอนที่ฉิงเสวี่ยมารายงานนั้น บอกเพียงว่าเยี่ยนอ๋องมิได้ใจกล้าเข้าไปในเรือนของพระสนมเหมือนครานั้นอีกแล้ว ทำเพียงแค่ในตอนที่มาที่จวนในหลายๆ ครั้ง มักจะทอดมองไปทางลานบ้านด้านตะวันตกเฉียงเหนือด้วยท่าทางคล้ายมีเรื่องหนักอกหนักใจ นึกไม่ถึงว่าจะมีโอกาสถึงสองครั้งที่ได้เจอเข้ากับหลี่ว์ชีเอ๋อร์ ซ้ำยังหยุดพูดคุยถามไถ่อยู่สองสามคำด้วย แต่ฉิงเสวี่ยอยู่ไกลนัก จึงไม่ได้ยินว่าพูดคุยอันใดกัน
แต่ไหนแต่ไรมาเยี่ยนอ๋องไม่เคยเห็นหลี่ว์ชีเอ๋อร์อยู่ในสายตา จะมีอันใดให้พูดคุยกับนางกัน ส่วนใหญ่ต้องเป็นการถามถึงเรื่องของแม่นางหันแน่ ชูซย่าให้ฉิงเสวี่ยว่างๆ ก็ไปจับตาดูก็พอ ไม่ต้องเปิดเผย
ทางด้านคุกคุมขังของกรมยุติธรรมได้ส่งจดหมายมาให้ล่วงหน้า เนื่องจากหงเยียนไร้ญาติในเมืองหลวง จึงได้ส่งไปแจ้งแก่ร้านเซียงหยิงซิ่วโดยตรง
ช่วงบ่ายของวันนี้ ในยามที่ชูซย่ากลับมาจากร้านเซียงหยิงซิ่วมาบอกเรื่องนี้ให้ฟัง
ต่อให้ไม่เตือนล่วงหน้า อวิ๋นหว่านชิ่นก็คอยนับวันประหารของหงเยียนอยู่ทุกวัน ไม่เคยลืมแม้แต่วันเดียว ก่อนหน้านี้ยังห่างไกลอยู่ มายามนี้กลับกระชิดจวนตัวแล้ว
ชูซย่ากล่าวจบก็ถอนใจ “ก่อนหน้านี้องค์ชายสามตรัสว่าอาจจะพอช่วยแม่นางหงเยียนได้ ทว่าจนถึงยามนี้ก็ยังไม่มีแม้แต่จดหมายสักฉบับ…หรือว่าจะหมดหวังจริงๆ เจ้าคะ”
——————————
[1] วาดพื้นให้เป็นคุก อนุญาตให้ใช้ชีวิตได้ภายในขอบเขตที่กำหนดเท่านั้น