ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่239ยับยั้ง(1)
เหล่าทหารจึงได้ล่ามโซ่เส้นนั้นใหม่ ล่ามสัตว์ร้ายเอาไว้ให้แน่น
เฮ่อเหลียนอวิ่นประสานมือ “ฝ่าบาทมิได้ตกพระทัยกระมังพ่ะย่ะค่ะ เจ้าตัวนี้กล้าหาญองอาจโดยกำเนิด แต่ไหนแต่ไรมาก็มีชื่อเสียงด้านสัตว์สงครามแห่งทุ่งหญ้าเหมิงกู่ ดังนั้นจึงใช้โซ่ล่ามไว้ห้าเส้น คิดไม่ถึงว่าจะล่ามไว้ไม่อยู่”
หนิงซีฮ่องเต้มองสัตว์ร้ายตัวนั้น นึกไม่ถึงว่าจะทำเอาขุนนางตกอกตกใจกันจนมีสภาพเช่นนี้ พระพักตร์อึมครึมขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ อีกทั้งยังได้ยินเขาบอกถึงอุปนิสัยใจคอของสัตว์ร้ายตัวนี้แล้ว ล้วนเป็นการเอามันไปเปรียบเปรยเป็นชาวเหมิงหนู หน้าอกแน่นขึ้น ไอออกมาสองสามครั้ง
เฮ่อเหลียนอวิ่นแววตาขยับไหว “ฝ่าบาทระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” กำลังจะสั่งให้นำสัตว์ร้ายออกไป กลับได้ยินเสียงลอยมาจากแถวด้านขวา น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม “เสียดายที่ต่อให้อุปนิสัยจะห้าวหาญแกร่งกล้ากว่านี้ก็คงสู้กาลเวลาสิบกว่าปีมิได้”
เฮ่อเหลียนอวิ่นหันมองไป เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามหล่อเหลามีสง่าราศี ยังไม่ต้องดูที่ชุดคลุมผ้าไหมลายมังกรตลอดร่าง แค่มองแววตาลุ่มลึกกับร่างกายตั้งตรงที่หาได้ยากจากชาวต้าเซวียนก็รู้ได้ว่าเป็นผู้ใด เขาจึงยิ้มเอ่ยขึ้นอย่างเลี่ยงมิได้ “เหตุใดฉินอ๋องจึงตรัสเช่นนั้นเล่า”
ซย่าโหวซื่อถิงมองสัตว์ร้ายในกรงเหล็กแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมา “เหมิงหนูตั้งอยู่ในทุ่งหญ้า สิงโตเป็นสัตว์ป่าที่ดุร้ายที่สุดในทุ่งหญ้า สัตว์ร้ายตัวนี้คล้ายสิงโต บนร่างมีลวดลายของเสือ ข้าเดาว่าน่าจะเป็นสิงโตเสือที่แคว้นท่านใช้เสือตัวเมียกับสิงโตตัวผู้ผสมพันธุ์กัน สิงโตเสือเป็นของล้ำค่าจริง แต่เสียดายที่โดยธรรมชาติแล้วสิงโตกับเสือไม่ถูกกัน หลายร้อยปีจึงสามารถให้กำเนิดมาได้แค่ตัวเดียว หลังจากคลอดแล้วจำนวนที่สามารถมีชีวิตอยู่จนถึงวัยเจริญพันธุ์มีแค่สองสามตัวจากในสิบตัว ต่อให้ฝึกสองสามตัวนี้อย่างดีที่สุด ตัวที่อายุยืนที่สุดก็ไม่อาจเกินสิบเอ็ดสิบสองปีได้” เขาหยุดเว้นครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าช้าๆ “จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพทางด้านอายุหรือร่างกาย ก็ยังสู้สุนัขบ้านที่เฝ้าเหย้าเฝ้าเรือนมิได้อยู่ดี”
เฮ่อเหลียนอวิ่นตกตะลึงงัน รอยยิ้มกลับยิ่งแย้มบาน “ฉินอ๋องทรงเอาสิงโตเสือที่หลายร้อยปีจะกำเนิดมาสักตัวไปเปรียบเทียบกับสุนัขที่เห็นได้ทั่วทุกหนแห่งอย่างนั้นรึ สิงโตเสืออยู่สูงกว่าทุกสรรพสัตว์ ไร้สิ่งใดเทียบเทียม ไม่เกรงกลัวสิ่งใด จะเอาไปเทียบกับสุนัขได้หรือ ต่อให้สุนัขดุร้ายกว่านี้ พอเห็นสิงโตเสือก็กลัวจนกางเขี้ยวกางเล็บมิได้แล้ว”
ทว่าเห็นซย่าโหวซื่อถิงเดินเอามือไพล่หลังมาถึงตรงกลาง แกะย่างทั้งตัวห้อยกลับหัวถูกเผาจนกึ่งเหลืองกึ่งไหม้ ฟืนด้านล่างอ่อนแรงลงเล็กน้อย ทว่ายังคงลุกโชนดังเปรี๊ยะๆ
ร่างสูงของซย่าโหวซื่อถิงโน้มลง คล้ายไม่ได้ตั้งใจ ยกฟืนที่ไหม้เป็นสีแดงจนเกือบจะหักแตกขึ้นมาท่อนหนึ่ง ก้าวเดินแผ่วเบาเนิบช้า โบกมือไปพลัน
ฟืนท่อนนั้นที่มีประกายไฟเผาไหม้จนเสียงดังเปรี๊ยะๆ ถูกโยนเข้าไปในกรงเหล็ก
สิงโตเสือตัวนั้นเห็นไฟลุกโชนสีแดงชาดก็ตกใจขึ้น นึกไม่ถึงว่าจะถอยหลังไปหนึ่งก้าว หลบอยู่ในกรง ห่างจากไฟได้มากเท่าใดก็ห่างออกไปให้มากเท่านั้น เสียงร้องคำรามในลำคอเมื่อครู่กลายเป็นเสียงครวญคราง
แต่ไหนแต่ไรมาสัตว์นั้นกลัวไฟ สิงโตเสือก็เช่นกัน
สิงโตเสือที่ชาวเหมิงหนูเพิ่งจะบอกว่าสูงส่งไร้เทียมทานไปเมื่อครู่ บัดนี้แค่เห็นไฟก็ยอมแพ้ บรรดาขุนนางและผู้ติดตามชาวเหมิงหนูสีหน้าแดงขึ้นด้วยความกระอักกระอ่วนเหลือจะกล่าว
หนิงซีฮ่องเต้อารมณ์ดียิ่ง “ฤดูล่าสัตว์ปีที่แล้ว เจ้าสามล่าหมีที่ดุร้ายที่สุดในฐานล่าสัตว์ได้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้ ไม่ชักกระบี่ ไม่หยิบธนู แค่ฟืนติดไฟท่อนเดียวก็ทำให้สัตว์ร้ายของเหมิงหนูตกใจกลายเป็นแมวได้ ดูท่าแล้วเจ้าสามจะเป็นดาวหายนะของเหล่าสัตว์ร้ายนะ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้ายจากที่ใดล้วนทำให้ตกใจหวาดกลัวหมด!”
แม้หลายวันมานี้ความประทับใจของฝ่าบาทที่มีต่อฉินอ๋องมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่เคยเอ่ยชื่นชมต่อหน้าธารกำนัลมาก่อนเลย เหยาฝูโซ่วทราบดีว่าวันนี้ฝ่าบาทพอพระทัยฉินอ๋องมาก จึงตามใจพระองค์ยิ้มเอ่ยเออออไปว่า “ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้นพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายแห่งต้าเซวียนจะไม่ห้าวหาญชาญชัยได้อย่างไร”
เฮ่อเหลียนอวิ่นได้ยินหนิงซีฮ่องเต้เหน็บแนม สีหน้าก็เหยเก ยิ่งมาได้ยินคำสรรเสริญชื่นชมของเหยาฝูโซ่วอีก เขามองฉินอ๋องแวบหนึ่ง สีหน้ากลับประดับด้วยรอยยิ้ม “เห็นฉินอ๋องกลายเป็นแขนขาให้แก่ต้าเซวียน ก็เป็นโชคดีของพระสนมเอก ข้าก็ยิ่งปราบปลื้มนัก ไม่เสียแรงที่ตอนนั้นข้ามากราบทูลขอร้องให้อวี้เยียนแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีและส่งตัวนางให้กับต้าเซวียนด้วยตัวเอง”
หนิงซีฮ่องเต้เห็นเขาเอ่ยเรียกพระสนมเอกเฮ่อเหลียนขึ้นมาต่อหน้าธารกำนัลมากมายจึงตามน้ำเขาไป ตรัสอย่างพระทัยกว้างว่า “นับแต่ที่พระสนมเอกแต่งเข้ามายังต้าเซวียนก็ยังมิเคยได้พบหน้าคนที่บ้านเลยสักครั้ง เฮ่อเหลียนไท่จื่อเป็นทั้งพี่ชายของนาง และเป็นพ่อสื่อให้แก่เรากับนาง หลังงานเลี้ยงวันนี้ไปก็ให้พระสนมเอกได้พบหน้ากันกับไท่จื่อที่หอหมิงกวง พูดคุยกันตามประสาพี่น้องเถิด”
หลังจากงานเลี้ยงเลิกราไป ทุกคนต่างคำนับส่งฮ่องเต้ให้เสด็จกลับ
รอจนกระทั่งคนในตำหนักแยกย้ายกันไป อวิ๋นหว่านชิ่น ฉินไชและทิงเสียนก็ออกมาจากหลังฉากบังลม ออกตำหนักจินหวาไป
ภารกิจเสร็จสิ้น ฉินไชกับทิงเสียนต่างพากันถอนหายใจ ยิ้มไปพลางเดินไปทางหอจื่อกวง
เพิ่งจะถึงหน้าประตูใหญ่หอจื่อกวง ยังไม่ทันจะก้าวเข้าประตูไป เงาร่างอันคุ้นเคยก็ปรากฏสู่สายตา
อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกคุ้นตานัก พอมองอย่างละเอียดอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฉีไหวเอินที่เป็นขันทีข้างกายคอยรับใช้เวลาองค์ชายสามอยู่ในวัง
ทิศทางที่ฉีไหวเอินเดินไป เป็นตำหนักจื่อกวงที่เมื่อครู่ฝ่าบาททรงพระราชทานอนุญาตให้พระสนมเอกกับเฮ่อเหลียนอวิ่นพบกัน
หอจื่อกวงกับหมิงกวงอยู่ใกล้กันมาก ล้วนเป็นที่พักชั่วคราวสำหรับแขกด้านนอกของวัง หอหมิงกวงเป็นสถานที่ที่มีไว้ให้พระชายาพระสนมในวังใช้พบปะญาติโดยเฉพาะ ตั้งอยู่เยื้องกับหอจื่อกวงที่บรรดาหมอหญิงพักอยู่ พอเข้าประตูนั้นไป เดินไปสิบกว่าก้าวก็ถึงแล้ว
อวิ๋นหว่านชิ่นมองหมอหญิงทั้งสองคน “ข้าจะไปดูว่าหอยตุ๋นลูกแพร์ที่ห้องเครื่องว่าเสร็จหรือยัง พวกเจ้าเข้าไปก่อนเถิด”
ฉินไชกับทิงเสียนพยักหน้าแล้วเข้าไปในหอก่อน
อวิ่นหว่านชิ่นเลี้ยวเข้าไปยังห้องเครื่อง ฉวยหยิบกาน้ำชาใบหนึ่งวางลงบนถาดด้วยท่าทางการเดินอันเชื่องช้าไปยังหอหมิงกวง
ยิ่งใกล้หอหมิงกวงเท่าใด ก็ได้ยินเสียงดังมาจากหน้าประตูเท่านั้น
“ฝ่าบาททรงพระราชทานอนุญาตให้เฮ่อเหลียนไท่จื่อพบกันกับพระสนมเอกเฮ่อเหลียนที่หอหมิงกวง ผู้ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า” เป็นเสียงองครักษ์หน้าประตู
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นฉีไหวเอินถูกขวางไว้หน้าประตูก็ย่องเข้าไปเสียงเบาสองสามก้าว “ฉีกงกงเหตุใดจึงได้เดินเร็วนัก น้ำชาที่ฝ่าบาททรงประทานให้พระสนมเอกเพิ่งจะต้มเสร็จ หันไปครู่เดียวท่านก็หายไปเสียแล้ว”
พอฉีไหวเอินเห็นก็นึกไม่ถึงว่าจะเป็นพระชายาฉินอ๋อง สมองพลันแล่นฉับไว รับถาดในมือนางมา ค้อมเอวลง “เป็นบ่าวที่เดินไวพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์เห็นว่าเป็นชาที่ฝ่าบาทประทานให้ก็ไม่กล้าว่าอันใดอีก ชี้ไปทางอวิ๋นหว่านชิ่น “ได้ ก็เข้าไปคนหนึ่งแล้วกัน”
ฉีไหวเอินจนปัญญา มองอวิ๋นหว่านชิ่นแวบหนึ่ง จำต้องยืนรออยู่ทางด้านนี้ก่อน
อวิ๋นหว่านชิ่นยกถาดเข้าไปในหอหมิงกวง
ภายในห้องโถง พระสนมเอกเฮ่อเหลียนยังไม่มา เฮ่อเหลียนอวิ่นหลังจากงานเลี้ยงเลิกราก็ตรงมาที่นี่เลย ยามนี้นั่งอยู่ผู้เดียวบนเก้าอี้นวมไม้แดงแกะสลักลายบุปผาทางด้านขวามือ
อวิ๋นหว่านชิ่นวางกาน้ำชาลง เดินออกมาจากโถงใหญ่ หันหลังเดินไปยังผนังด้านหนึ่งข้างนอกห้องโถงใหญ่ สามารถ มองเห็นเหตุการณ์ภายในนี้ได้พอดีผ่านบานหน้าต่างที่แง้มไว้ครึ่งหนึ่ง
ทว่า ณ ตำหนักชุ่ยหมิง หลังจากที่พระสนมเอกได้รับพระราชโองการรับสั่งจากทางตำหนักจินหวา จางเต๋อไห่ก็ให้จื่อซวงกับชิงฉานแต่งองค์ทรงเครื่องให้พระสนมเอก เพื่อเตรียมเสด็จไปยังตำหนักหมิงกวง
พระสนมเอกนั่งอยู่หน้ากระจก สีหน้าแววตาเป็นประกายวาบผ่าน โพล่งขึ้นว่า “เอาเช่นนี้ดีกว่า พวกเจ้าไปหาข้ออ้างมา บอกว่าข้าป่วย พบผู้ใดมิได้ก็แล้วกัน”
จางเต๋อไห่เห็นนายหญิงอารมณ์ไม่คงที่ ก็ปลอบว่า “นายหญิงทำเช่นนี้มิได้นะพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นรางวัลที่ฝ่าบาททรงประทานให้จะปฏิเสธได้อย่างไร ให้ท่านได้พบหน้ากับรัชทายาทแดนเหนือ ทรงบอกว่าสงสารท่านจึงให้ได้พบกับคนในครอบครัวอีกคราหนึ่ง แต่ความจริงแล้วเป็นมารยาทระหว่างแคว้นต่างหากนะพ่ะย่ะค่ะ” เขาคิดว่าที่นางกังวลใจหวาดหวั่นเช่นนี้ ก็เป็นเพียงคิดจะเลี่ยงการสัมผัสกับประกายไฟให้น้อยเท่านั้น กลัวว่าต้าเซวียนกับเหมิงหนูพอได้เป็นศัตรูกัน นางที่มีสายเลือดเป่ยเหริน ถึงเวลานั้นก็ยากที่จะโดนลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย พบหน้าได้น้อยเท่าใดก็พบให้น้อยได้เท่านั้น
พระสนมเอกสีหน้าซับซ้อนปนเปกัน ทราบดีว่าหนีไม่พ้นจึงทอดถอนใจออกมา แล้วไม่เอ่ยอันใดให้มากความอีก