ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่243อวัยวะภายในล้มเหลวจนตาย(3)
กล่าวจบ ร่างกายก็อ่อนยวบ สลบไป
จางเต๋อไห่กับสาวใช้คนสนิททั้งสี่รีบเข้าไปหา ที่กดจุดใต้จมูกก็กดไป ที่ไปตามหมอหลวงก็ไปตาม
อวิ๋นหว่านชิ่นถูกคนเบียดดันจนออกจากวงมา ฉินไชประคองนางออกจากห้อง เอ่ยเสียงเบาว่า “พระสนมเอกเป็นอย่างไรบ้างเพคะ…”
อวิ๋นหว่านชิ่นส่ายหน้า ขอบตาเปียกชื้นโดยไม่รู้ตัว ในขณะนั้นเอง ได้ยินเสียงร้องไห้ของจางเต๋อไห่ดังมาจากในห้อง “พระสนมเอกสิ้นพระชนม์แล้ว!”
ณ ตำหนักชุ่ยหมิง เสียงร้องไห้ดังระงมไม่สิ้นไปทั่วทั้งบริเวณ
ฉินไชแม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ พระสนมเอกก็โดนลงโทษให้เข้าตำหนักเย็นแล้วก็ปลิดชีพตนเองอย่างกะทันหันเช่นนี้ แต่ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ไร้เกียรติไร้ศรีเป็นแน่ อีกทั้งสิ้นพระชนม์ไปเช่นนี้ ไม่แน่ว่าจวนติ้งอ๋องก็อาจโดนเกี่ยวโยงเข้าไปด้วย นางดึงแขนเสื้ออวิ๋นหว่านชิ่นไว้ เอ่ยปลอบว่า “พระชายาฉินอ๋องอย่าได้เสียใจ…”
ทว่าเห็นนางดึงแขนเสื้อกลับ หันหลังให้ตำหนักชุ่ยหมิง ฝีเท้ารวดเร็วเดินออกไปดังลม
ฉินไชจึงจำต้องรีบตามไปติดๆ เพียงไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงหน้าพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน
อวิ๋นหว่านชิ่นดึงกระโปรงเครื่องแบบของวังขึ้น คุกเข่าลง “หมอหญิงถวายการรับใช้สกุลอวิ๋นขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
ด้านหน้าประตู เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูยังคงขวางเอาไว้ “ไม่มีรับสั่งของฝ่าบาท ไม่อาจเข้าเฝ้าได้”
“ให้พระชายาฉินอ๋องเข้ามา” เสียงเหยาฝูโซ่วดังขึ้นบนระเบียง
เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูปล่อยให้เข้ามา อวิ๋นหว่านชิ่นมองฉินไชแวบหนึ่ง บ่งบอกว่าไม่เป็นไร นางเข้ามาในตำหนัก เพิ่งจะถึงห้องด้านในสุดก็ได้กลิ่นยาเข้มข้นเข้ามาในจมูก
ปริมาณของยาแต่ละกลิ่นเพิ่มขึ้นมากว่าสามเท่า ดูจากยานี้แล้ว บุรุษที่นอนอยู่บนเตียงได้เข้าสู่ระยะสุดท้ายแล้ว
“ว่าอย่างไรนะ พระสนมเอก…ไปแล้วหรือ” คนที่นอนอยู่บนเตียงกลับไม่เดือดดาลที่นางบุกเข้ามา
อวิ๋นหว่านชิ่นก้มหน้าคุกเข่าลง สะอื้นว่า “เพคะ ฝ่าบาท พระสนมเอกสิ้นพระชนม์แล้ว”
เบื้องหน้ายังคงเงียบงัน จากนั้น เสียงสะท้อนใจในลำคอที่เปล่งออกมาจากพระองค์คล้ายร้องไห้คล้ายหัวเราะ “ดี แต่ละคน ล้วนไปก่อนเรา…แต่ละ ล้วนใจดำนัก…”
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับมิได้เอ่ยคำใดออกมา เหลือเวลามากพอให้ฮ่องเต้ได้ระบายความโศกเศร้า ครู่ต่อมา จนกระทั่งบุรุษเบื้องหน้าอารมณ์มั่นคงแล้ว นางกางแขนออกสองข้าง หมอบลงบนพรม “พระสนมเอกได้ใช้ชีวิตมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์แล้ว แสดงให้เห็นถึงความสัตย์จริงอย่างชัดเจน ขอฝ่าบาททรงอย่าได้เชื่อคำพูดไร้สาระเลยเพคะ”
หนิงซีฮ่องเต้ทรงรู้ดีว่านางมาไม่เพียงแค่จะมาบอกข่าวร้ายเท่านั้น ย่อมต้องมาร้องขอความเมตตาให้เจ้าสามแน่ ยามนี้พระองค์ทรงระงับความเจ็บปวดในพระทัยเอาไว้ชั่วครู่ เรียกความสดชื่นให้แก่ตน ฝืนลุกขึ้นนั่งบนเตียง “เราก็หวังว่านั่นจะเป็นแค่คำพูดไร้สาระเช่นกัน แต่ความจริงแล้ว เราไม่อาจให้อภัยเรื่องการปนเปขององค์ชายได้” เว้นหยุดครู่หนึ่ง “ชิ่นเอ๋อร์ ต่อให้จวนฉินอ๋องเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นจริงๆ เราจะปกป้องชีวิตเจ้าไว้ให้ปลอดภัยเพื่อมารดาเจ้า”
คำสัญญานี้ ไม่เพียงแต่ไม่อาจทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นวางใจลงได้แล้ว กลับยิ่งร้อนรนขึ้นมากว่าเดิมอีก ความหมายของฝ่าบาทคือไม่เพียงมั่นใจว่าท่านอ๋องมิใช่โอรสแท้ๆ ของพระองค์เท่านั้น คล้ายว่ายังจะออกราชโองการตัดสินชี้ขาดกับท่านอ๋องในเร็วๆ นี้ด้วย
แม้ว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะรู้แต่แรกว่าหนทางข้างหน้ายากลำบากนัก กลับคิดไม่ถึงว่าพูดได้แค่ประโยคเดียวก็ถูกฮ่องเต้ตีตกกลับไป นางเงยหน้าขึ้น “ฝ่าบาทเพคะ ฉินอ๋องจงรักภักดีและกตัญญู การแสดงออกในระยะนี้ พระองค์ก็ทรงเห็นได้อย่างชัดแจ้ง และทรงพอพระทัยด้วย!”
“บุคคลสำคัญของแคว้นเป็นสิ่งล่ำค่า สามารถปลูกฝังสั่งสอนต่อไปอย่างไร้ขีดจำกัด ทว่าองค์ชายแห่งต้าเซวียนพอผสมปนกับต่างชาติเข้า ก็เป็นความผิดที่ไม่อาจกอบกู้คืนมาได้อีกแล้ว! เจ้าเป็นคนฉลาด มิใช่สตรีที่ไร้เหตุไร้ผลเหล่านั้น ใครสำคัญกว่ากัน คงไม่ต้องให้เราบอกเจ้าอย่างละเอียดเช่นนั้นหรอกกระมัง!” ถ้อยคำดั่งเหล็กเย็นเฉียบ
“หากฉินอ๋องเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฝ่าบาทจริง พอถูกตัดสินผิดไป ฝ่าบาทก็จะไม่ตีอกชกหัว เสียใจภายหลังไม่สิ้นหรือเพคะ”
“เจ้าวางใจได้” หนิงซีฮ่องเต้มองนางนิ่ง และมิได้เอ่ยโทษที่นางพลั้งปาก “ต่อให้เราไร้หัวใจกว่านี้ ก็ไม่ถึงขั้นให้เขาสูญเสียชีวิตไปหรอก”
ความหมายของประโยคนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าสามารถอภัยโทษโทษประหารได้ แต่ต้องอยู่อย่างทนทุกข์ทรมานเหมือนตกนรกทั้งเป็น
เหมือนกับองค์ชายสี่ซื่อเฝ่ยขับไล่ออกไปนอกเมืองยังนับว่าดี เกรงว่าถอดบรรดาศักดิ์ให้เป็นสามัญชนแล้ว จำคุกตลอดชีวิต ยากที่จะได้พบใครอีก
เช่นนี้ดีไปกว่าการตายสักเท่าใดกันเชียว
อวิ๋นหว่านชิ่นใบหน้าขยับ หัวเราะออกมาทันใด
“เจ้าหัวเราะอันใด” ขนงเข้มของหนิงซีฮ่องเต้เลิกขึ้น และทรงทราบดีว่าเด็กคนนี้มีปฏิภาณไหวพริบมาโดยตลอด ย่อมมีคำพูดใดจะกล่าวแน่นอน
“หม่อมฉันหัวเราะที่ฝ่าบาทสูญเสียบุคคลผู้มีความสามารถคนสำคัญไปเพียงเพราะประโยคเดียวของชาวเหมิงหนูที่เอ่ยขึ้นตามอำเภอใจ เพื่อไม่เป็นการทำผิดต่อบรรพบุรุษแห่งราชวงซ์ซย่าโหว ยอมตกหลุมพรางแผนไส้ศึกของคนต่างแคว้น ดูเหมือนเป็นการกตัญญูมีความชอบธรรมสูงส่ง แต่ความจริงแล้วแค่สนใจหน้าตา ไม่สนใจชาติบ้านเมืองเท่านั้นเอง!”
“บังอาจ!” หนิงซีฮ่องเต้ตบพื้นเตียง โมโหจนไอออกมา ยืดพระวรกายลุกขึ้นนั่ง ยกแขนขึ้นกำลังจะตบลง
ในขณะนั้นเอง เห็นผ้าม่านเปิดออก เหยาฝูโซ่วสาวเท้าเข้ามาอย่างรีบร้อน ทว่ามิใช่มาลากอวิ๋นหว่านชิ่นออกไป แต่เดินมายังข้างเตียง กระซิบบอกข้างหูฝ่าบาท
หนิงซีฮ่องเต้ฟังไปฟังมา สีเลือดฝาดบนใบหน้าพลันจางหาย ค่อยๆ กลับมาสภาพเดิม ซ้ำยังซีดเผือดขึ้นมามากขึ้นไม่น้อย ขนงผูกกันเป็นปมแน่น
เหยาฝูโซ่วกล่าวจบก็ถอยออกไปด้านข้าง หนิงซีฮ่องเต้นั่งอยู่ตรงขอบเตียง คล้ายเข้าสู่การครุ่นคิดอันยากลำบาก เนิ่นนานทีเดียว จึงมองอวิ๋นหว่านชิ่นแวบหนึ่ง “เจ้าออกไปเถิด”
มิได้รับคำตอบ จะยอมออกไปได้อย่างไร วันนี้ได้เสี่ยงตายเข้ามาทัดทานแล้ว เช่นนั้นก็ทำให้ถึงที่สุดไปเลยแล้วกัน! อวิ๋นหว่านชิ่นมองฮ่องเต้นิ่ง ”ขอฝ่าบาทโปรดทรงเมตตากรุณาไตร่ตรองอีกครั้งด้วยเพคะ!”
หนิงซีฮ่องเต้เก็บแววตา ทอดถอนใจออกมายาวเหยียด “เจ้าวางใจได้ ในเมื่อเจ้าสามมีความอดทนถึงเพียงนี้ เราจะทนเสียคนมีความสามารถเช่นนี้ไปได้อย่างไร พระสนมเอกใช้ความตายมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์แล้ว ช่างเถิด เรื่องนี้เป็นความลับไม่แพร่งพรายออกไปภายนอก คิดเสียว่าไม่เคยเกิดขึ้น! ก็ให้มันจบไป!”
สถานการณ์พลันพลิกผัน ก่อนหน้านี้เดิมทียังเป็นหนทางสู่ความตายอยู่เลย จู่ๆ ก็มีถนนใหญ่กว้างขวางปรากฏขึ้น นี่ทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ทันตั้งตัว
เมี่ยวเอ๋อร์เข้ามาจากด้านนอก “พระชายาฉินอ๋อง ฝ่าบาททรงตรัสออกมาแล้ว ยังไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอีก”
อวิ๋นหว่านชิ่นรีบหมอบกับพื้นโขกหัวทันที “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
หนิงซีฮ่องเต้มุมโอษฐ์กลับปรากฏเป็นรอยยิ้มเย็นชา แล้วลูบสันจมูกเอนพิงเตียง
เมี่ยวเอ๋อร์ประคองอวิ๋นหว่านชิ่นให้ลุกขึ้น “ฝ่าบาทจะพักผ่อนแล้ว พระชายาออกไปก่อนเถิด”
อวิ๋นหว่านชิ่นคุกเข่าถวายคำนับ แล้วเดินออกจากพระที่นั่งหย่างซินเตี้ยนกับเมี่ยวเอ๋อร์ไป
หนิงซีฮ่องเต้เห็นว่าทั้งสองออกไปแล้ว กำมือทุบลงบนเตียง สุรเสียงเย็นเยียบ “ออกจากเมืองแล้วรึ”
“ขอรับ” เหยาฝูโซ่วทูลตามตรง “พอฟ้าสางก็ไปแล้ว ยามนี้ไปขวางก็ขวางไม่อยู่แล้ว เจ้ากรมธรรมการ กองการทูตและเจ้ากรมคนอื่นๆ หลายสิบนายไปส่งถึงระยะร้อยลี้ก็กลับมา ทหารฉินอ๋องส่งถึงชายแดนเหนือจึงจะกลับพ่ะย่ะค่ะ”
เฮอะ ส่งขุนนางใหญ่หลายสังกัดของราชสำนักกับทหารองครักษ์ของตนคุ้มกันส่งเฮ่อเหลียนอวิ่น พอเขาถูกลดตำแหน่งในเมืองหลวงลง ได้รับโทษ จะไม่เป็นการบีบบังคับให้เขาต่อต้านพระองค์รึ
เขาแค่ออกคำสั่งลับไปคำหนึ่ง เกรงว่าทหารองครักษ์หลายพันนายคงบังคับขู่เข็ญให้เหล่าขุนนางต้าเซวียนสวามิภักดิ์ชาวเหมิงหนูเป็นแน่!
หนิงซีฮ่องเต้อึดอัดคับทรวงสุดแสน ไอออกมา เหยาฝูโซ่วรีบลูบหลังให้ “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะด้วย…ต่อให้ฉินอ๋องจงใจจัดการเช่นนี้จริง ก็เป็นแค่การยื้อเวลาออกไปเท่านั้น พอทหารฉินอ๋องกลับมา ก็ออกพระราชโองการจับกุมทหารหลายพันนายไว้ แล้วรับสั่งปลดตำแหน่งเขาก็ยังไม่สาย…”
ทหารส่งชาวเหมิงหนูถึงชายแดนเหนือ ไปกลับอย่างน้อยหนึ่งเดือน
ยามนี้เจ้าสามมีวิธีการรวดเร็วดั่งสายฟ้า หนึ่งเดือนนี้ ต้องมีแผนใดอยู่อีกแน่ ไม่อาจนั่งรอให้หนึ่งเดือนสิ้นสุดลงกุมมือรอความตายโดยไม่ทำอันใดหรอก
ที่สำคัญก็คือ ร่างกายของพระองค์ไหนเลยจะสามารถรอให้ถึงหนึ่งเดือนไหว
รอพระองค์ตาย บ้านเมืองไร้ผู้ปกครอง ไท่จื่อเพิ่งจะรับตำแหน่ง อำนาจยังไม่มั่นคง เจ้าสามก็ไม่รู้ว่าจะก่อความวุ่นวายเท่าใด…