ยอดหญิงอันดับหนึ่ง - ตอนที่246บุกวัง(1)
“หมอหญิงหอจื่อกวงแยกย้ายมิได้ พระชายาฉินอ๋องสกุลอวิ๋นย่อมไม่อาจออกจากวังได้” ไท่จื่อตรัสขึ้น
เจี่ยไทเฮายามนี้ฉงนขึ้นมาแล้ว “หมายความว่าอย่างไร เจ้าพูดให้กระจ่างที” ฮ่องเต้ทรงสวรรคตไปแล้ว ยังต้องให้หมอหญิงเหล่านี้ทำอันใดอีก ยังไม่ปล่อยตัวให้ไปประจำหน้าที่เดิมเพื่อทำการใด
ไท่จื่อเลิกคิ้วขึ้น มองอวิ๋นหว่านชิ่นแวบหนึ่ง
อวิ๋นหว่านชิ่นพลันรู้สึกแปลกๆ ดวงเนตรที่เดิมทีแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มอย่างธรรมชาติ ยามนี้นึกไม่ถึงว่าจะเจือไว้ด้วยความเสียดายและเสียใจ ได้ยินพระองค์ตรัสด้วยน้ำเสียงมืดมนดังลอยมาว่า “พินัยกรรมของฮ่องเต้รับสั่งว่าหมอหญิงหอจื่อกวงหกนางที่ถวายการรับใช้ต้องร่วมฝังที่สุสานเซี่ยนหลิง ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว”
ประโยคนี้กล่าวออกไป เจี่ยไทเฮากับเมี่ยวเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกายสีหน้าพลันเปลี่ยน
บรรดาหมอหญิงหอจื่อกวงก็ตกใจกันมากเช่นกัน มีคนหนึ่งเป็นคนขวัญอ่อนตกใจจนร่างกายอ่อนยวบ ร้องไห้ออกมา ณ ที่นั้น
อวิ๋นหว่านชิ่นจับมือฉินไชและทิงเสียนไว้แน่น ทว่าห้ามให้ร่างกายสั่นเทามิได้เลย
“เจ้าปลอมราชโองการ” ซย่าโหวซื่อถิงจ้องมองไท่จื่อตรงๆ น้ำเสียงเย็นเยียบ
“เป็นไปไม่ได้” เมี่ยวเอ๋อร์ทนไม่ไหว “ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานพระชายาฉินอ๋องมาโดยตลอด ต่อให้ต้องมีคนร่วมฝังกับพระองค์ด้วย พระชายาฉินอ๋องก็มิอาจมีรายชื่ออยู่ในนั้นแน่นอน”
“ที่จวนฉินอ๋อง แม่นางสกุลอวิ๋นเป็นพระชายา” ไท่จื่อตรัสคร่าวๆ “ที่วังหลวง สถานะของแม่นางสกุลอวิ๋นเป็นหมอหญิงถวายการรับใช้ที่พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน ฮ่องเต้สวรรคต ทรงเลือกคนรับใช้ใกล้ชิดฝังพร้อมด้วย มีอันใดน่าแปลกกัน”
สายพระเนตรขยับเปลี่ยนไปมองฉินอ๋อง “เหยากงกง ฉินอ๋องบอกว่าข้าปลอมราชโองการ เราไม่อาจรับโทษนี้ไว้ได้ เช่นนั้นก็รบกวนท่านอ่านพินัยกรรมหน่อยเถิด”
เหยาฝูโซ่วล้วงพินัยกรรมออกมาจากแขนเสื้อ อ่านรายชื่อผู้ฝังพร้อมฮ่องเต้ไปทีละตัว คนสุดท้าย เป็นชื่อของอวิ๋นหว่านชิ่น
เจี่ยไทเฮาให้จูซุ่นรับราชโองการมาตรวจสอบคำต่อคำ มองไปทีละบรรทัด เป็นลายพระหัตถ์และราชลัญจกรของฮ่องเต้อย่างชัดเจน ไม่มีร่องรอยการปลอมแปลงแก้ไขเพิ่มเติมใด
เป็นเจตจำนงของหนิงซีฮ่องเต้จริงๆ เจี่ยไทเฮาหัตถ์คลายลง ราชโองการเกือบจะร่วงลงมา
ซือเหยาอันแทบจะได้กลิ่นดินปืนจากร่างของผู้เป็นนาย หันหน้าไปเห็นดวงตาทั้งสองของเขาลุ่มลึกขึ้น เกือบมองอารมณ์ใดไม่ออกเลย มือทั้งสองใต้แขนเสื้อกำแน่น นึกไม่ถึงว่าจะมีเสียงกร๊อบของข้อกระดูกชนกันดังขึ้นเบาๆ อีกด้วย นิ้วทั้งสิบจิกอยู่บนฝามือ ปลายนิ้วซีดขาวจนสีเลือดเลือนหาย
หากเป็นคำสั่งเสียของฮ่องเต้ เจี่ยไทเฮาก็ทำอันใดมิได้เช่นกัน ทันใดนั้นก็ตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย มองอวิ๋นหว่านชิ่นแวบหนึ่ง หญิงงามคนหนึ่งส่งไปฝังพร้อมพระศพ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็เจ็บปวดใจยิ่ง ในขณะที่กำลังวิตกกังวลอยู่นั้น ขมับก็เต้นแรงขึ้นมาฉับพลัน พระอาการปวดเศียรที่ยังไม่หายดีกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว
“ยังไม่พยุงไทเฮากลับตำหนักฉือหนิงอีก ไปตามหมอหลวงมาดูด้วย!” ไท่จื่อตะหวาดด้วยแววตาเคร่งขรึม
หม่าซื่อกับจูซุ่นรีบพยุงเจี่ยไทเฮา เมี่ยวเอ๋อร์จำต้องกลับตำหนักฉือหนิงกับเจี่ยไทเฮาไปก่อน
ไท่จื่อโบกแขนเสื้อสั่งให้เหล่าขุนนางออกจากตำหนักกานเต๋อไปรอส่งพระศพอยู่ด้านนอก แล้วหันมามองบรรดาหมอหญิงหอจื่อกวงแวบหนึ่ง “พาพวกหมอหญิงกลับไป”
บรรดาเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเข้ามาหา หมอหญิงนางหนึ่งตกใจจนขวัญหาย นึกไม่ถึงว่าจะขยับหลบไปด้านข้าง “ข้าไม่อยากตาย…เหตุใดต้องเอาข้าไปร่วมฝัง…”
“บังอาจ! เจ้าจะขัดราชโองการรึ” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งเลื่อนมือลงกำลังจะควักดาบออกมา!
อวิ๋นหว่านชิ่นรีบไปดึงหมอหญิงนางนั้นทันที แล้วส่งสายตาให้นางคุกเข่ารับผิด หมอหญิงนางนั้นจะได้ไม่กลายเป็นวิญญาณเสียแต่ตอนนี้ จากนั้นจึงลุกขึ้นพร้อมกับคนอื่นๆ อย่างมึนๆ งงๆ
เดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็เงยหน้าขึ้น เห็นบุรุษข้างล่างบันไดหน้าตำหนักมองมา สายตาลุกโชน คล้ายเต็มไปด้วยเปลวเพลิงอันโชติช่วง แค่สัมผัสก็เผาไหม้ทันที เต็มไปด้วยความวิตกกังวล
นางจะไม่เครียดได้อย่างไร แต่กลัวว่านางมองเขามากกว่านี้จะอดใจไม่ไหวโผเข้าไปหา จำต้องกลั้นน้ำตา ก้มหน้าลง มือจับมือฉินไชและทิงเสียนไว้แน่นพลางเดินไปทางตำหนักจื่อกวง
ภายในลานตำหนักเงียบงันขึ้น
ไท่จื่อเห็นซย่าโหวซื่อถิงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ก็สั่งขันทีว่า “เชิญฉินอ๋องออกจากวังเถิด”
ขันทีนายหนึ่งได้รับคำสั่งก็ลงบันไดวิ่งเหยาะเข้าไปหา ผายมือออก “ฉินอ๋องเชิญ…”
ยังพูดไม่ทันจบ ในที่สุดบุรุษที่มีความเย็นยะเยือดดุจน้ำค้างแข็งก็ระเบิดโทสะออกมาอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้า เขารวบแขนขันทีคนนั้นแล้วถีบอกกระเด็น
แรงเตะครานี้มหาศาล กระทั่งคนที่เดือดดาลเองยังถอยออกไปหลายก้าวอย่างรวดเร็วเพราะความเคยชิน พื้นรองเท้าขูดพรมเป็นรอยหนักเป็นทาง ขันทีที่โดนระบายโทสะใส่ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย รองเท้าเหล็กประทับกลางอกพอดี ยังไม่ทันจะได้ร้องออกมาสักแอะ ทั่วทั้งร่างก็กระเด็นไปกระแทกกับบันไดด้านหลังจนร้องครางออกมา กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง
“ท่านอ๋อง…” ซือเหยาอันเรียกขึ้นมาด้วยความตกใจ!
ไท่จื่อเหลือบมองขันทีที่สลบเหมือดไปบนบันไดแวบหนึ่ง หน้าอกบวมนูนขึ้น ดูท่าแล้ว กระดูกทั้งหมดคงหักไปแล้ว เฮอะ ลงมือได้ไร้ปรานีเสียจริง
ไม่ทันไรฉินอ๋องคนดีผู้อ่อนโยน ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ สุขุมนุ่มลึกต่อหน้าขุนนางทุกคนในราชสำนักและเสด็จพ่อ เฮอะ ยามนี้ ในที่สุดก็เผยใบหน้าที่แท้จริงอันโหดเหี้ยมออกมาเสียที
คนที่โดนถีบเป็นคนรับใช้คนหนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่ากำลังขู่ขวัญพระองค์อยู่
ไท่จื่อหยุดเว้นครู่หนึ่ง มิได้กล่าวโทษอันใด ทำเพียงแค่โบกหัตถ์เรียกให้คนมาหามคนเจ็บออกไป พระองค์จ้องมองอีกฝ่าย “ความรู้สึกของฉินอ๋องข้าเข้าใจได้ ข้าก็เสียดายเช่นกัน แต่คำสั่งเสียของฮ่องเต้ไม่อาจขัดขืนได้ บางทีฉินอ๋องอาจคิดว่าข้าไร้เมตตากับเจ้า แต่พระชายาฉินอ๋อง เจ้าคิดว่าข้าจะอยากมองนางตายหรือ หากข้ารู้ล่วงหน้าว่าเสด็จพ่อทรงมีเจตนาให้นางร่วมฝังด้วย ย่อมทุ่มสุดชีวิตเข้าขวางอยู่แล้ว ยามนี้…สายไปเสียแล้ว”
บุรุษเบื้องหน้าไม่ทราบเพราะเพิ่งจะระบายความแค้นออกไปหรือไม่ โทสะในอกได้สงบลงแล้ว ยามนี้น้ำเสียงจึงนิ่งจนน่าแปลกใจ “เมื่อใดหรือ”
ไท่จื่อตรัสว่า “ตามพระราชโองการ หลังจากที่วันนี้พระโกศของเสด็จพ่อตั้งขบวนออกจากวังไป บรรดาหมอหญิงกลับไปรอที่หอจื่อกวง เช้าตรู่วันมะรืน รับพระราชทานความตายจากฝ่าบาทปลิดชีพตัวเอง ส่งศพไปยังสุสานเซี่ยนหลิง เข้าไปยังตำหนักด้านข้างของสุสาน ถวายการรับใช้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนตราบชั่วนิรันดร์”
ซย่าโหวซื่อถิงไร้อารมณ์ฉาบบนสีหน้า ทำเพียงเงียบงันครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ออกจากวัง”
ซือเหยาอันประหลาดใจ เห็นท่านอ๋องหันหลังเดินไปทางประตูใหญ่ จึงทำเพียงกัดฟันเดินตามไป
ไท่จื่อจดจ้องไปเบื้องหน้า แผ่นหลังกว้างนั่นดั่งสัตว์ร้ายออกจากกรง ความหยิ่งยโสซ่อนตัวอยู่ภายใต้เนื้อหนังทั่วทั้งร่าง พระองค์เม้มปาก หันไปตรัสกับเหนียนกงกงว่า “เจ้าเดาดูสิ เจ้าสามจะไปแล้วกลับมาหรือไม่”
เหนียนกงกงที่ถูกถามก็นิ่งงัน ท่าทางนี้ของฉินอ๋อง หากบอกว่าไม่เข้าวังมาเอาตัวคนคืน ตนก็ไม่เชื่อ
“ทหารของฉินอ๋องทั้งหมดกลับเมืองหลวงมาแล้วกระมัง” ไท่จื่อรวบแขนเสื้อทั้งสอง เก็บประกายแววตา
“พอสมควรแล้วพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินรายงานลับนอกเมืองว่าเมื่อวานมาถึงชานเมืองหลวงแล้ว เกรงว่าวันนี้คงจะเข้าเมืองมาได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เหนียนกงกงรีบตอบ “ยามนี้ส่งทหารรักษาพระองค์ของเมืองหลวงไปจับกุมทหารจวนฉินอ๋องที่กลับเมืองมาเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่” ไท่จื่อโบกมือ “ในเมื่อต่างกลับเมืองหลวงกันมาหมดแล้วจะรีบร้อนไปไยเล่า ข้าจะจับโจร และจะจับราชาด้วย”
เหนียนกงกงกระจ่างแจ้งในแผนการของผู้เป็นนาย “ไท่จื่อหมายความว่าจะรอให้ฉินอ๋องพาทหารเข้าวัง ค่อยหว่านแหรวบจับ…”
จะทำผิดต่อพินัยกรรมสั่งเสียของเสด็จพ่อได้อย่างไรเล่า เสด็จพ่อใช้การตายของแม่นางสกุลอวิ๋นเป็นเหยื่อล่อ บีบบังคับให้เจ้าสามเข้าวังมาชิงตัวคน ค่อยนำทหารไปรวบจับทั้งหมด เช่นนี้แล้วจึงจะสามารถกำจัดหนามยอกอกแห่งต้าเซวียนไปได้ทั้งรากทั้งโคน ไท่จื่อเปลือกตากระตุก
“เฮ้อ เสียดายพระชายาฉินอ๋องจริงๆ” เหนียนกงกงรู้ดีว่าไท่จื่อโปรดปรานแม่นางสกุลอวิ๋น เสียดายที่สถานการณ์ใหญ่เบื้องหน้า พระชายาฉินอ๋องผู้นี้จำต้องกลายเป็นหมากที่สละชีพเสียแล้ว เขาจึงทอดถอนใจออกมา