ยอดหญิงแห่งวังหลัง - ตอนที่ 18.1
ตอนที่ 18-1น้องชาย
สิ่งที่ทำได้เพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือ การยืนเฝ้าดูผมยาวสีดำค่อย ๆ จมหายลงไปใต้ผิวน้ำ จนมิเหลืออันใดเลย . .
เมื่อภาพนี้ปรากฎขึ้นตรงหน้า ไป๋จื่อ จึงตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก จนแทบจะเป็นลมล้มทั้งยืน
แต่โชคดีที่มิได้เป็นไปตามที่คาดคิดไว้ มิกี่อึดใจต่อมา หลี่เว่ยหยาง ได้โผล่ขึ้นมาจากน้ำอีกครั้ง
พร้อมกับลากเอาร่างของหลี่หมินเต๋อขึ้นจากก้นสระด้วย
แม้ว่าหลี่หมินเต๋อจะยังเด็ก แต่เขาก็เป็นผู้ชาย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยาก มากสำหรับเว่ยหยางที่จะดึงตัวเขาขึ้นมา
หากนางคลายมือที่จับเขาเอาไว้แม้เพียงเล็กน้อย ร่างของ หมินเต๋อก็อาจจะหลุดร่วงลงไปในน้ำได้
ไป๋จื่อรีบวิ่งเข้าไปช่วยในทันที จากนั้นทั้งสองคนจึงช่วยกันลากเขาขึ้นมาบนฝั่ง
หลี่เว่ยหยางใช้มือแตะที่บริเวณหน้าอกของเขา
“ตัวยังอุ่นอยู่”
จากนั้นเธอก็เริ่มใช้ทักษะทั้งหมดที่เคยเห็นชาวบ้านใช้ในการช่วยชีวิตผู้จมน้ำ
ขั้นตอนแรกนางกดหน้าอกของเขาสองครั้ง แล้วใช้เข่ากดลงที่บริเวณท้องของเขา
หลังจากนั้นมินาน หลี่หมินเต๋อซึ่งหมดสติเพราะหายใจมิออก ได้กลับมาหายใจได้อีกครั้ง
เมื่อไอสองครั้ง เขาจึงพ่นน้ำในช่องปอดออกมา และได้สติกลับคืนมา
ในที่สุดเขาก็หายใจอีกครั้งแล้ว หลี่เว่ยหยางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หลี่หมินเต๋อหันหน้ามา ดวงตาของเขาเป็นสีดำเข้ม แต่ยังคงสดใสและเป็นประกายเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า
เขามีขนตายาว และหนาเป็นเเพซึ่งยังคงเปียก เพราะมีหยดน้ำเกาะอยู่
หลี่เว่ยหยางสะดุ้งทันที เมื่อสังเกตเห็นว่า รูปลักษณ์ของเขานั้นสง่างามยิ่งกว่าเด็กชายผู้ใดที่เคยได้พบเห็น
ดวงตาของเขามีเสน่ห์และดึงดูดใจแม้ว่าเขาจะมิได้ยิ้มก็ตาม เขามีผิวเรียบเนียนเหมือนกระเบื้องเคลือบชั้นดี
หากเขาเป็นเด็กผู้หญิง จะต้องเป็นคู่แข่งคนสำคัญด้านความงามกับหลี่จางเล่ออย่างแน่นอน
แม้ว่าในตอนนี้เขาอาจจะอายุเพียงแค่สิบขวบก็ตาม
ดวงตาใสเป็นประกายของเขาช่างไร้เดียงสา และเหมือนว่า เขากำลังต้องการที่จะกล่าวอันใดบางอย่าง
แต่ถูกหลี่เว่ยหยางขัด จังหวะการกล่าว โดยการใช้มือปิดปากของเขาในทันที
“อย่าส่งเสียงดัง! หากเจ้าส่งเสียงดัง ข้าจะปล่อยเจ้าไว้ที่นี่คนเดียว!”
ไป๋จื่อตัวสั่น เสียงของคุณหนูสามฟังดูเหมือนว่า นางเป็นโจรและกำลังจะขโมยทรัพย์สินของผู้อื่น
หลี่เว่ยหยางสังเกตเห็นว่า หลี่หมินเต๋อดูมึนงงมากเพียงใด ขณะที่เขาจ้องมองมายังนาง
นางเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของเขา มันช่างขาวนุ่มราวกับปุยฝ้าย
“ข้าคือพี่สามของเจ้า มีชื่อว่า หลี่เว่ยหยาง”
ขณะที่กล่าวนั้น นางให้ไป๋จื่อถอดเสื้อคลุมออกมา
จากนั้นจึงถอดเสื้อคลุมที่เปียกชื้นของหลี่หมินเต๋ออก และให้หมินเต๋อสวมใส่เสื้อคลุมของไป๋จื่อแทน
แต่ทันใดนั้น เว่ยหยางได้สังเกตเห็นว่า เขามีหยกรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวพร้อมเชือกสีแดงสวมรอบคออยู่
หลี่หมินเต๋อนั่งนิ่งจ้องมองนาง ด้วยแววตาของความสับสน
หลี่เว่ยหยางจ้องมองเขา ยิ่งจ้องมองใบหน้านั้นนานเท่าใด ก็ยิ่งหลงใหลในความงดงามมากขึ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม นางคว้าคอเสื้อของเขา พร้อมกับกล่าวว่า
“กลับไปเล่าให้ท่านแม่ของเจ้าฟังว่า
ฮูหยินใหญ่ต้องการที่จะฆ่าเจ้า
และพี่สามได้ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ เข้าใจหรือไม่”
สิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นการข่มขู่และคุกคาม เสียงของไป๋จื่อติดอยู่ในลำคอ ขณะที่จ้องมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
หลี่เว่ยหยางจ้องไปที่หลี่หมินเต๋อ
อย่างตั้งใจ นางกำลังจะปล่อยให้เขากลับบ้านไป
แต่หลี่หมินเต๋อ ผู้ซึ่งผ่านประสบการณ์เฉียดตายมาสด ๆ ร้อน ๆ จึงกลัวการถูกทอดทิ้งมากที่สุด
ในขณะนี้ เขาเอื้อมมือไปจับชายเสื้อของนาง แล้วเหวี่ยงแขนไปโอบรอบลำตัวของนางอย่างรวดเร็ว
“พี่สาม!”
ความรู้สึกอบอุ่นห่อหุ้มหัวใจของเว่ยหยางในทันที นอกจากน้ำเสียงที่อ่อนลงแล้ว ก็รู้สึกเงอะงะ
ครู่ต่อมาในที่สุดนางจึงกอดหลี่หมินเต๋อกลับ
เขาช่างเป็นเด็กที่น่ารักมาก เด็กผู้นี้ทำให้นางนึกถึงบุตรชายของตนเองในชาติที่แล้ว เขามักจะทำเช่นนี้กับนางเสมอ
ทุกครั้งที่เขาเห็นนางเขาจะรีบวิ่งเข้ามาหา ความรู้สึกในตอนนี้มันช่างเจ็บแปลบไปถึงขััวหัวใจ
นางหยิแก้มของหลี่หมินเต๋ออย่างแผ่วเบา ก่อนที่จะลูบไล้ด้วยความเอ็นดู
หลี่หมินเต๋อยังเด็กมาก เขานั่งนิ่งเงียบ และปล่อยให้พี่สาวแปลกหน้าผู้นี้หยิกแก้ม จนใบหน้าของเขาแดงช้ำ
ไป๋จือขมวดคิ้ว จากนั้นจึงกระแอมเสียงดัง หลี่เว่ยหยางจึงสะดุ้ง และปล่อยมือออกจากหลี่หมินเต๋อ
นางเตือนหลี่หมินเต๋อว่า
“เจ้ามิจ้องกลัวอันใดอีกต่อไปแล้ว จำไว้ว่า ในอีกมิกี่ชั่วโมงข้างหน้าเจ้ามิควรปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่น
ปล่อยให้พวกเขาคิดว่า เจ้าได้ตายไปแล้ว
ห้ามบอกใครเด็ดขาดว่า วันนี้เกิดอันใดขึ้นบ้าง นอกจากท่านแม่ของเจ้า!”
เว่ยหยางกล่าวพร้อมกับใช้มือจับที่ไหล่ของเด็กชายอย่างจริงจัง เล็บของนางจิกเข้าไปที่ไหล่ของเขา
และดวงตาของนางเป็นประกายลุกไหม้ด้วยเปลวไฟที่ร้อนแรง
ภายใต้การจ้องมองที่ร้อนแรงนั้น
หลี่หมินเต๋อซึ่งกำลังอยู่ในอาการตกตะลึง จึงเกิดความรู้สึกสับสนในหัวใจเป็นอย่างมาก
เขาจึงพยักหน้าโดยมิทันรู้ตัว
หลี่หมินเต๋อเดินออกไปอย่างระมัด ระวัง พร้อมกับลากเสื้อตัวโคร่งของไป๋จือไปด้วย
เขาฉลาดที่เลือกถนนที่มิมีผู้ใดใช้ เมื่อเห็นเช่นนี้ หลี่เว่ยหยางจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจในความมีไหวพริบของเขา
เมื่อครู่นี้ ในช่วงเวลาที่วิกฤตที่สุดเขาแกล้งทำเป็นหมดสติ เพื่อให้ผู้หญิงทั้งสองนั้นคิดว่าเขาได้ตายไปแล้ว เขาช่างเป็นเด็กที่ฉลาดเสียจริง ๆ
ไป๋จือก้าวเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนที่อุทานออกมาด้วยเสียงอันดัง
หลี่เว่ยหยางสังเกตเห็นสิ่งนั้นเช่นเดียวกัน
ในพงหญ้ามีนกกระเรียนสีขาวนอนตายอยู่
ในแคว้นต้าหลี่นกกระเรียนขาวถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี พวกมันล้ำค่าและหายากมาก
แม้แต่บ้านตระกูลหลี่แห่งนี้ก็มิเคยมีนกกระเรียนสีขาวมาก่อน แต่นี่เป็นนกกระเรียนที่ตายไปแล้ว
รอยยิ้มที่เยือกเย็นเกิดขึ้นบนใบหน้าของหลี่เว่ยหยาง จากนั้นนางจึงรีบขุดหลุมอย่างรวดเร็ว และฝังนกกระเรียนขาวให้ลึกที่สุด