ยอดหญิงแห่งวังหลัง - ตอนที่ 64.1
ตอนที่ 64-1 ร้ายกาจ
หลี่จางเล่อขมวดคิ้ว และแสดงสีหน้าลังเลใจก่อนที่จะกล่าวว่า:
“ในช่วงสิบวันที่ผ่านมานี้ เราพยายามทุกวิถีทางแล้ว แต่ท่านพ่อยังคงต้องการกักขังท่านเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน”
“เป็นไปมิได้!”
หลี่หมินเฟิงส่งเสียงดัง
“ข้าเป็นบุตรชายที่รักที่สุดของท่านพ่อ เขาจะทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!”
หมินเฟิงอาจจะมิทราบถึงเหตุผลที่แท้จริง แต่ดวงตาของเขาคมชัดขึ้นด้วยความรู้สึกเคียดแค้นอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ
และร่างนั้นได้สั่นสะท้านเหมือนใบไม้ที่กำลังจะร่วงหล่น
หลี่จางเล่อกล่าวว่า
“พี่ชายใหญ่ ท่านพ่อโกรธมาก ตอนนี้ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็ซุบซิบนินทาเกี่ยวกับเรื่องของท่าน
ท่านพ่อให้ความสำคัญกับเรื่องชื่อเสียงของบ้านตระกูลหลี่ของเราเป็นอย่างมาก
ดังนั้นสิ่งที่ท่านทำลงไป จึงเป็นสิ่งที่ท่านพ่อยอมรับมิได้!”
“ไม่ว่าพวกเจ้าจะได้ยินมาว่าอย่างไรก็ตาม แต่ข้าขอกล่าวตามตรงว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก!
เห็นได้ชัดว่า มันเป็นศพ แล้วมันจะวิ่งขึ้นไปบนต้นบ๊วยเพื่อแขวนคอตนเองได้อย่างไร?!
มันคือหลี่เว่ยหยาง นังผู้หญิงสารเลวที่วางแผนทุกอย่าง ข้าจะต้องจัดการกับนางให้เร็วที่สุด!”
เขากล่าวขณะที่จับไหล่ของหลี่จางเล่อ และเขย่าร่างของนางด้วยกำลังทั้งหมด พร้อมกลับตะโกนด้วยเสียงที่ดังมาก
ใบหน้าที่หล่อเหลาและสง่างามของเขาหายไปจนหมดสิ้นแล้วในตอนนี้
หลี่จางเล่ออยู่ในอาการตกตะลึง และนางเกิดความรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ใบหน้าของหลี่หมินเฟิงนั้น ทำให้นางนึกถึงสัตว์ร้ายที่มีความอาฆาตพยาบาท และตอนนี้เขาได้สูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปแล้ว
ฮูหยินใหญ่พุ่งตัวมาข้างหน้าด้วยความร้อนรน แล้วตบที่ใบหน้าของหลี่หมินเฟิงอย่างไร้ความปราณี:
“ข้าต้องการให้เจ้ามีสติให้มากกว่านี้! หากเจ้ายังทำตัวหุนหันพลันแล่นเช่นนี้ คงจะต้องตกหลุมพรางของหลี่เว่ยหยางอีกก็เท่านั้น
ตอนนี้นางซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดและแน่นอนว่า กำลังเฝ้าดูพวกเราตกอยู่ในความยากลำบากและกลายเป็นบ้าในที่สุด!”
หลี่หมินเฟิงผงะและจ้องมองไปยังผู้เป็นมารดาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เผยให้เห็นสีหน้าแห่งความอับอาย
มันช่างน่าเสียดายที่เขาเป็นผู้ชาย และมักจะโอ้อวดว่าตนเองมีพรสวรรค์ แต่ในตอนนี้นิสัยของเขามิหนักแน่น เมื่อเทียบกับมารดาผู้ซึ่งอยู่ตรงหน้าของตนเองในตอนนี้
ความรู้สึกผิดและความอับอายค่อย ๆ เผยออกมาบนใบหน้าของเขา จากนั้นเขาจึงคลายมือออก
หลังจากนั้นมินานนัก เขาได้พบว่าฮูหยินใหญ่เผยให้เห็นสัญญาณของวัยชราอย่างน่าปวดร้าว
มิเพียงแต่มีเส้นสีเงินงอกที่โผล่ออกมาจากผมด้านข้างเท่านั้น แต่ยังมีริ้วรอยปรากฏขึ้นที่บริเวณหางตาของนางอีกด้วย
และในขณะนี้ดวงตาคู่นั้นได้เผยให้เห็นถึงความรู้สึกของความกังวลใจเป็นอย่างมาก
มารดาของเขามีความรู้สึกวิตกกังวลภายในหัวใจอย่างเห็นได้ชัด และเขาเกิดความรู้สึกประหลาดใจอีกครั้งกับสิ่งนี้
มีหลี่เว่ยหยางเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถบีบบังคับให้มารดาของเขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้! นี่มันเกิดอันใดขึ้น?
ใบหน้าของหลี่เว่ยหยางลอยอยู่ในความคิดคำนึงของเขา และมันทำให้เขาโกรธแค้นจนสามารถที่จะฆ่านางได้
จากนั้นดวงตาของเขาหม่นหมองลงในทันที พร้อมกับสีหน้าที่สลดลงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่กล่าวออกมาว่า:
“ท่านแม่ ข้าพ่ายแพ้ให้แก่เด็กสาวผู้นั้นได้อย่างไร?”
ฮูหยินใหญ่กล่าวอย่างเย็นชาว่า:
“ข้าเคยตักเตือนเจ้าทั้งสองคนครั้งแล้วครั้งเล่าว่า หลี่เว่ยหยางผู้นี้เป็นหญิงสาวที่มีความโหดเหี้ยมและเลือดเย็น
เราจะต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวังและรอบคอบเป็นที่สุด โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดการนาง แต่เจ้าสองคนมิเคยฟังข้าเลย!”
นางสังเกตเห็นความตั้งใจที่จะฆ่าในดวงตาของบุตรชาย จึงถอนหายใจออกมาอย่างมิสามารถควบคุมได้ และกล่าวว่า
“มันเป็นความผิดของข้าด้วย ที่เลี้ยงดูเจ้าทั้งสองคนดีเกินไป
ทุกอย่างในชีวิตของพวกเจ้าดำเนินมาอย่างราบรื่นเป็นเวลานาน จึงทำให้เจ้าทั้งสองคนมิสามารถทนกับอุปสรรคเล็กน้อยนี้ได้”
หลี่หมินเฟิงกล่าวด้วยความโกรธแค้น และการแสดงออกของเขาเหมือนกับหมาป่าที่ได้รับบาดเจ็บ และจนตรอก
“แต่นางทำให้ข้าต้องทนทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้!”
เขามองว่า ตนเองเป็นผู้ซึ่งมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นจึงคิดว่า การกำจัดหลี่เว่ยหยางนั้นเป็นเพียงเรื่องที่เล็กน้อย
แต่เขามิเคยคิดเลยว่า จะกลับกลายเป็นตัวของเขาเองที่กำลังจะถูกกำจัด
ฮูหยินใหญ่แสดงรอยยิ้มเล็กน้อยซึ่งเป็นรอยยิ้มที่สามารถทำให้กระดูกสันหลังของผู้คนสั่นสะท้านได้ ก่อนที่จะกล่าวว่า:
“ในตอนนี้ หากเจ้ายังคงสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นอีก มันจะทำให้ท่านพ่อเบื่อหน่ายในตัวของเจ้ามากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนในเมืองหลวงทั้งหมดกำลังกล่าวถึงเหตุการณ์นี้
หากเจ้าออกไปภายนอก จะนำความอัปยศอดสูมาสู่ตนเอง
ดังนั้นควรอยู่ที่นี่จะดีกว่า และคิดทบทวนว่า เจ้าทำผิดพลาดตรงไหน!”
หลี่หมินเฟิงเผยให้เห็นความลังเลใจในการแสดงออกของเขา
หลี่จางเล่อกล่าวอย่างเย็นชา:
“พี่ชายใหญ่, เป็นเพราะท่านใจอ่อนจนเกินไป หากท่านจัดการกับจื่อหยานก่อนหน้านี้ เหตุการณ์นี้อาจจะมิเกิดขึ้น”
หลี่หมินเฟิงรู้สึกละอายใจเล็กน้อย เพราะนางกล่าวได้ถูกต้อง
เขามีความสนใจในตัวของจื่อหยานแต่ในฐานะน้องสาว นางจึงมิมีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเขา
ฮูหยินใหญ่จ้องมองไปยังหลี่จางเล่อ ขณะที่กล่าวว่า:
“หากมิใช่เจ้าที่ยุยงพี่ชายของตนเอง ผู้ชายอย่างเขาจะพาตนเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างไร!”
ใบหน้าของหลี่จางเล่อซีดลงทันที นางมิสามารถแสดงอารมณ์เกรี้ยวโกรธได้ ภายใต้การแสดงออกที่เข้มงวดของฮูหยินใหญ่:
“ท่านแม่ หากเราปล่อยให้หลี่เหว่ยหยางได้ใจเช่นนี้ จะมิเป็นประโยชน์ต่อพี่ชายใหญ่เลย”
ฮูหยินใหญ่กล่าวอย่างเย็นชาว่า
“เจ้าทั้งคู่! ในการจัดการกับหลี่เว่ยหยางนั้น เราต้องรอโอกาสที่เหมาะสม
ตอนนี้นางคือ สุภาพสตรีแห่งอันผิง ซึ่งมันเป็นการยาก ที่จะจัดการกับนางในตอนนี้!”
“ท่านแม่ ท่านเคยกล่าวว่า ให้พวกเรารอโอกาส แล้วเมื่อใดมันจึงจะถึงโอกาสนั้นเสียที!” หลี่จางเล่อกล่าวออกมาขณะที่ขมวดคิ้วแน่น
จากนั้นรอยยิ้มที่มิสามารถอธิบายได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮูหยินใหญ่:
“เร็ว ๆ นี้”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของ
หลี่หมินเฟิงและหลี่จางเล่อต่างก็แสดงถึงความประหลาดใจ
ฮูหยินใหญ่จึงกล่าวกับบุตรชายของตนเองว่า:
“เจ้าจงอยู่ที่นี่ และลองไตร่ตรองด้วยความคิดที่มีสติของเจ้าดูถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ในที่สุดข้าจะคิดหาวิธีที่จะปล่อยให้เจ้าออกไปจากที่นี่ให้ได้
สำหรับเจ้า จางเล่อ..ในช่วงนี้อย่าได้ปะทะกับนังเด็กนั่นอีก แม่จะทำให้นางหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในมิช้า!”
เมื่อเดินออกมาจากห้องโถงบรรพบุรุษแล้ว หลี่จางเล่ออดมิได้ที่จะเอ่ยถามว่า:
“ท่านแม่ ท่านมีแผนแล้วหรือ?”
ฮูหยินใหญ่ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แต่มิได้กล่าวอันใดออกมา
หลี่จางเล่อมีความสนใจอย่างมากในเรื่องเกี่ยวกับความตายที่กำลังจะเกิดขึ้นของหลี่เว่ยหยาง นางกล่าวว่า
“ท่านแม่ ต้องการความช่วยเหลือจากข้าหรือไม่?”
ฮูหยินใหญ่จ้องมองไปที่นางอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า:
“เจ้ามิควรกังวลใจ ทำเพียงแค่สร้างภาพพจน์ที่ดีงามต่อหน้าผู้อื่นก็นับว่าเพียงพอแล้ว”
หลี่จางเล่อหน้าแดงด้วยความเขินอายและกล่าวว่า
“ต้องขอโทษท่านแม่ด้วย ที่บุตรสาวผู้นี้เอาแต่ใจตนเองมาโดยตลอด”
ฮูหยินใหญ่ยิ้มและกล่าวว่า:
“ไม่ว่าหลี่เว่ยหยางจะเป็นเซียนจูหรือองค์หญิงก็มิใช่สิ่งที่สำคัญ
เพราะมีสิ่งหนึ่งที่นางมิสามารถแข่งขันกับเจ้าได้
เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่า ในคืนนั้นในงานเลี้ยงมีบุรุษหนุ่มหลายท่านที่จ้องมองเจ้าด้วยความหลงใหล
โดยเฉพาะองค์ชายห้าผู้นั้น เมื่อคืนท่านพ่อของเจ้าเล่าให้ข้าฟังว่า องค์ชายห้ามีความตั้งใจที่จะขอเจ้าแต่งงาน”
หลี่จางเล่อขมวดคิ้วและร้องถามด้วยความตกใจว่า:
“ท่านพ่อตกลงแล้วหรือ?”
ฮูหยินใหญ่ส่ายหัวและกล่าวว่า:
“ท่านแม่ขององค์ชายห้าเป็นที่โปรดปรานตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้
ดังนั้นองค์ชายห้าจึงต้องได้รับประโยชน์จากสิ่งนี้ด้วยอย่างแน่นอน
แต่ท่านพ่อของเจ้ากล่าวว่า ผู้ที่มีโอกาสขึ้นครองบัลลังก์มากที่สุดคือองค์รัชทายาท หรือไม่ก็องค์ชายเจ็ดอันเป็นที่รักของจักรพรรดิ
ส่วนองค์ชายห้านั้น เขายังขาดประสบการณ์อยู่มาก…”
นั่นหมายความว่าพวกเขาได้ตัดสินใจแล้วว่า จะอยู่ข้างเดี๋ยวกลับองค์รัชทายาท หรือองค์ชายเจ็ด……
เมื่อได้ยินอย่างนั้น หลี่จางเล่อจึงเกิดความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยในแววตาของนาง
และนางมิทรายว่า เหตุใดใบหน้าที่หล่อเหลาขององค์ชายสามจึงปรากฏขึ้นในมโนนึกของตนเอง
ผู้เป็นมารดาตบหลังมือของนางอย่างแผ่วเบาขณะที่กล่าวว่า :
“เจ้าจะต้องแต่งตัวให้งดงามและดูดีอยู่เสมอ แล้วเราจะใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
นับตั้งแต่ฮูหยินใหญ่ไปเยี่ยม
หลี่หมินเฟิงในห้องโถงบรรพบุรุษและตักเตือนหลี่จางเล่อในครั้งนั้นแล้ว
หลี่เว่ยหยางก็ค้นพบว่า มีเพียงแต่ข่าวเกี่ยวกับการอดข้าวประท้วงของคุณชายใหญ่เท่านั้น ที่ห้องโถงบรรพบุรุษ
แม้แต่หลี่จางเล่อก็ทำตัวเป็นปกติ และมีความประพฤติที่ดีมากขึ้นจนน่าสงสัย
และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้เห็นฮูหยินใหญ่ผู้นี้อีกครั้ง นางก็แต่งตัวดีกว่าเมื่อก่อนมากอย่างเห็นได้ชัด
หลี่เว่ยหยางสามารถเดาได้อย่างชัดเจนว่า เป็นเพราะฮูหยินใหญ่คงจะกำลังเตรียมวางแผนที่จะจัดการกับนาง
หรือพี่สาวของนางกำลังใช้ความงามของตนเองเป็นอาวุธในการทำสิ่งที่พิเศษ
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน หลี่หมินเฟิง ก็ได้รับการปล่อยตัวออกจากห้องโถงบรรพบุรุษ
ร่องรอยของความโกรธแค้นที่มีต่อหลี่เว่ยหยางมิสามารถมองเห็นได้บนใบหน้าของเขาแม้แต่น้อย ด้วยความเฉลียวฉลาด
อย่างไรก็ตาม ภายใต้การแสดงออกที่เงียบสงบนั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างแน่นอน…