ยอดหญิงแห่งวังหลัง - ตอนที่ 70.1
ตอนที่ 70-1 จากไปแล้ว
ในขณะนี้ได้ยินเสียงเคาะประตูอย่างแผ่วเบาอยู่ด้านนอก หลีเว่ยหยางจึงขมวดคิ้วขึ้น
“นั่นใคร?”
“คุณหนู เป็นโม่งูเอง” โม่ฉุกระซิบ
ความสิ้นหวังในน้ําเสียงของสาวใช้ทําให้หลี่เว่ยหยางรู้สึกถึงลางบอกเหตุที่น่าจะเป็นข่าวร้าย
“เข้ามา!”
เมื่อโม่ฉเดินเข้ามาและเห็นหลี่หมินเสื้อ การแสดงออกของนางได้เผยให้เห็นถึง ความประหลาดใจและน้ําตาเริ่มคลอเบ้าตาทันทีในขณะที่นางกล่าวว่า:
“ฮูหยินสาม..ฮูหยินสาม อาการทรุดหนักแล้ว…”
เมื่อได้ยินคํากล่าวนั้นความเจ็บปวดได้เกิดขึ้นในหัวใจของหลี่เว่ยหยางทันที และนางหันไปมองที่หลี่หมิ่นเต่อโดยมิได้ตั้งใจ
การแสดงออกของเด็กชายในขณะนี้มได้แสดงให้เห็นถึงความผิดปกติแต่อย่างใด
ราวกับว่า เรื่องที่เขากําลังได้ยินอยู่นี้มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนเองและมารดาบุญธรรมของเขาเลย
แต่อันที่จริงแล้ว มือของเขามีอาการสั่นอย่างหนัก และการเคลื่อนไหวภายในดวงตาของเขา งบอกถึงความเจ็บปวดที่ยากจะปิดบัง
เขายังเป็นเด็กน้อยที่ไร้เดียงสา หลี่เว่ยหยางจับมือเขาแน่น
หลี่หมินเมื่อมองไปทางนางทันทีและกล่าวว่า:
“ข้าต้องกลับเดี๋ยวนี้”
“ข้าไปด้วย”
หลี่เว่ยหยางถอนหายใจออกมา ขณะที่นางกล่าวอย่างแผ่วเบา
มีคนสังเกตเห็นว่าในห้องของฮูหยินสามมีด้ายสีแดงเนื้อละเอียดหลุดออกมาจากบริเวณผ้าม่านอย่างน่าสงสัย
ท่านผู้อาวุโสหลีได้เชิญท่านหมอหลวงจากสํานักพระราชวังมาตรวจชีพจรของนางเป็ นการส่วนตัว
เคราของหมอชราท่านนี้ยาวมาก และมันยาวจนล่วงเลยหน้าอกของเขาไปแล้ว
ดวงตาของเขาปิดลงเล็กน้อย ปากของเขากําลังสวดมนต์อย่างแผ่วเบา
แม้ว่าหลี่เว่ยหยางจะสังเกตเห็นว่า ฮูหยินสามมีสีหน้าที่ค่อนข้างร่วงโรยและไร้เรี่ยวแรง
แต่เมื่อได้เห็นหน้านางอีกครั้งในตอนนี้แล้ว ทําให้คุณหนูสามถึงกับมีอาการใจสั่นสะท้านด้วยความหวันไหว
ฮูหยินสามซึ่งเดิมที่เป็นผู้ที่อ่อนโยนและมีความงดงามได้เปลี่ยนไปและกลายเป็นผอม แห้งเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณ
นางนอนอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา และหายใจหอบถี่มาก ดูเหมือนว่าลมหายใจนั้นพร้อมที่จะขาดหัวงลงไปตลอดเวลา
ในตอนนี้ท่านผู้อาวุโสหลี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ซึ่งห่างออกมาพอสมควร ขณะที่นางจ้องมองไปยังหมอหลวงด้วยความกังวลใจ
ฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองต่างก็ยืนอยู่ด้านข้างอย่างใจจดใจจ่อ
หญิงชราได้สูญเสียบุตรชายคนเล็กของนางไปแล้ว และตอนนี้ยังต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากการได้เห็นสิ่งนี้อีก
ตอนนี้ลูกสะใภ้ของนางกําลังจะทิ้งนางไปเช่นเดียวกัน เมื่อความคิดเห็นเช่นนี้เกิดขึ้นจึงทําให้ผู้คนที่อยู่รอบข้างต่างก็เกิดความทุกข์ใจกับนาง
บรรดาสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างฮูหยินสามต่างก็อยู่ในอาการเศร้าโศกอย่างเห็นได้ชัด
แต่มิมีผู้ใดกล้าที่จะร้องไห้ออกมาในตอนนี้ เนื่องจากฮูหยินสามยังมิได้จากไป
หากพวกนางร้องไห้ในตอนนี้ ก็เท่ากับว่าเป็นการแข่งนายหญิงของตนเอง
สีหน้าและท่าทางของฮูหยินใหญ่นั้นเป็นปกติดี แต่หลเว่ยหยางยังคงสามารถตรวจจับคลนอารมณ์ภายในที่แท้จริงของนางได้
เมื่อเห็นเช่นนี้หลี่เว่ยหยางจึงรู้สึกราวกับว่า มีก้อนหินขนาดใหญ่กําลังบดขยี้จิตวิญญาณของตนเอง
เมื่อฮูหยินใหญ่เห็นหลี่หมินเต๋อ นางจึงขมวดคิ้วและกล่าวว่า
“อาการป่วยของท่านแม่เจ้าร้ายแรงมาก เหตุใดเจ้าจึงมิอยู่ดูแลนาง?”
ทุกคนจ้องมองไปที่หลีหมุนเต่อ ด้วยการแสดงออกที่สามารถคาดเดาความคิดได้
ในทางกลับกัน เขามิได้ใส่ใจผู้คนทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเลย เขาทําเพียงแค่เดินเข้าไปที่เตียงนอนนั้น
เมื่อเห็นผู้ที่นอนอยู่บนเตียงแล้ว หัวใจของเขาก็แทบจะแตกสลายลงไปในทันที
เมื่อนึกถึงรูปร่างที่อวบอิ่มและมีน้ํามีนวลของผู้เป็นมารดา และนางมักจะมีสีหน้าที่อ่อน โยนเปล่งประกายงดงามมากเพียงใด
เขายิ่งรู้สึกว่าร่างนี้มิใช่มารดาของตนเอง ภาพตรงหน้านี้ต้องเป็นเพียงแค่ความฝันอย่างแน่นอน
แต่ความสับสนนี้หายไปอย่างรวดเร็ว และรู้สึกเหมือนมีมีดแทงทะลุเข้ามาที่หัวใจของเขา
ริมฝีปากของหลี่หมินเต็อกดเข้าไปใกล้ใบหูของนาง และเขาก็ร้องออกมาอย่างแผ่วเบา
“ท่านแม่ ลูกชายของท่านอยู่ที่นี่แล้ว!”
เมื่อได้ยินน้ําเสียงที่อ่อนโยนนั้นดวงตาของฮูหยินสามจึงเบิกโพลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่ดวงตาคู่ นั้นมีความแจ่มใสและมีประกายแห่งความสุข
และรู้สึกว่าสติสัมปชัญญะของนางยังคงครบถ้วนสมบูรณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด
หลี่เว่ยหยางเฝ้าดูอยู่ด้านข้าง และอดมได้ที่จะทอดถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง
ทันใดนั้นนางได้ยินเสียงแผ่วเบาของฮูหยินสามร้องเรียกนาง
“เว่ยหยาง”
หลเว่ยหยางเดินมาที่ผ้าม่าน และท่านอาสะใภ้สามของนางได้เอื้อมมือออกมาทันที และจับ ข้อมือของนางไว้
มือของนางผอมแห้งและเยือกเย็นจนหลเว่ยหยางถึงกลับสะดุ้งเมื่อมือนั้นสัมผัสโดนผิวของ นาง
แต่หลังจากนั้นมินานนัก นางรู้สึกได้ถึงพลังอันสงบที่ส่งผ่านมาจากฝ่ามือของท่านอาสะใภ้สาม
เมื่อก้มศีรษะลงเพื่อมองใบหน้าของนั้น จึงตระหนักว่าดวงตาของผู้ป่วยเปล่งประกายรัศมีที่มี เคยพบเห็นมาก่อน
นี่เป็นรูปแบบของความสิ้นหวังหรือเป็นการอุทธรณ์เพื่อขอความเห็นใจ
“เว่ยหยาง”
น้ําเสียงที่ส่งผ่านมาจากลําคอนั้นแหบแห้งและเสียงสั่นเครือขณะที่กล่าวว่า
“เจ้าต้องยึดมั่นในคําสัญญา…”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางได้หยุดอย่างกะทันหันและการจ้องมองของนางดูเหมือนจะแสดงให้เห็นว่านางมีคํากล่าวมากมายที่ต้องการจะกล่าว
แต่สุดท้ายนางก็มิได้กล่าวอันใดออกมาแม้แต่คําเดียว
นางเผยเพียงรอยยิ้มที่ขมขึ้นพร้อมกับแววตาแห่งความเมตตาและความรัก และน้ําเสียงของนางนั้นช่างเปราะบางเหมือนดั่งใยไหม
หลี่เว่ยหยางจ้องมองไปยังใบหน้าของนางพร้อมกับพยักหน้าและกล่าวว่า:
“ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ สิ่งที่ข้าสัญญากับท่านจะมีมีวันคืนคําเด็ดขาด”
ในท้ายที่สุดฮูหยินสามได้เหลือบมองไปยังหลี่หมิ่นเต่อพร้อมกับรอยยิ้ม
และมือของนางได้เลื่อนออกจากข้อมือของหลี่เว่ยหยาง และวางลงบนผ้าห่มที่ปกคลุมร่างของตนเองอย่างแผ่วเบา
ท่านผู้อาวุโสหลี่ปิดเปลือกตาลงและร้องไห้อย่างแผ่วเบา
ในที่สุดแม่สามีผู้นี้ก็มิสามารถเก็บกดความโศกเศร้าที่มีอยู่ภายในหัวใจเอาไว้ได้
หลี่เว่ยหยางมิยอมปล่อยให้น้ําตาไหลรินลงมาแม้เพียงสักหยดเดียว
มิใช่เพราะนางมิรู้สึกทุกข์ใจ แต่นางมิสามารถร้องไห้ออกมาได้ เพราะรู้สึกเหมือนมีอันใดบางอย่างอัดแน่นอยู่ในอกของนางทําให้รู้สึกหายใจติดขัด
นอกจากความเจ็บปวดจากการสูญเสียเพื่อนคนสําคัญแล้ว
นางยังรู้สึกราวกับว่า มีบางสิ่งในใจของนางถูกทําให้พังทลายลง และดูเหมือนจิตวิญญาณของ นางจะสูญเสียที่พึ่งสําคัญไป
ตอนนี้เว่ยหยางรู้แล้วว่า ที่ฮูหยินสามร้องไห้ฟูมฟายกับนางนั้น มิได้เพียงแค่เรื่องพันธมิตรเท่านั้น