ยอดหมอยาของอ๋องเสียน / หมอเทพเซียนของอ๋องเสียน - บทที่ 886 สวีฝูที่เตรียมพร้อมแล้ว
- Home
- ยอดหมอยาของอ๋องเสียน / หมอเทพเซียนของอ๋องเสียน
- บทที่ 886 สวีฝูที่เตรียมพร้อมแล้ว
บทที่ 886 สวีฝูที่เตรียมพร้อมแล้ว
กงชิงวี่พิงอยู่อีกฝั่งราวกับกำลังครุ่นคิด “สวีฝูควรจะอยู่ในวังของหนานอี้ ภายหน้าย่อมต้องมีคนอีกหลายคนต้องอยู่ในวังนั้น แต่ถ้าหากว่าหลิงหยุนคิดว่าต้องพาไปด้วย ก็ไม่เป็นไร ”
อันหลิงหยุนมองกงชิงวี่ที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก ถามเขาว่า “ท่านไม่เข้าใจ”
“หลิงหยุนจิตใจดีมีเมตตา คิดอยากจะเก็บพวกเขาเอาไว้ แต่ข้าคิดว่าการเก็บพวกเขาไว้ที่จวนอ๋องเสียนใช่จะเป็นเรื่องดี บ้านเกิดจากยาก จากบ้านเกิดเมืองนอนที่เติบโตมา พวกเขาจะไม่ชิน
ราชวังหนานอี้นั้นสวีฝูคุ้นเคยแล้ว ในใจเขาที่จริงก็รอการกลับไปของซูอิ๋ซินตลอดเวลา นั้นเป็นเพียงความศรัทธาเดียวที่เขายังมีชีวิตอยู่”
อันหลิงหยุนเหม่อลอยอยู่ชั่วครู่ นางไม่คิดว่ากงชิงวี่จะคิดถึงเรื่องเหล่านี้
“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นพวกเราไปดูกันเถอะ”อันหลิงหยุนเองก็อยากจะไปมอบหมายสวีฝูด้วยตัวเอง
กงชิงวี่เรียกให้เฟยยิงไป พวกเขาทั้งบ้านไปยังราชวัง แต่เฟยยิงกลับเฝ้าหลี่ถิงที่ถูกจับกุมอยู่นอกวัง
เข้าไปในวังแล้วอันหลิงหยุนพูดว่า “ท่านอ๋องพูดถูก ข้าเองก็คิดได้ แต่ข้ายังรู้สึกว่า สวีฝูอยู่ในวัง ก็แค่รอความตายเท่านั้น
คนอย่างซูอู๋ซิน หากจะกลับก็กลับมานานแล้ว ส่วนวังฉิงคุนย่อมมีคนคอยดูแลอยู่ ขาดสวีฝูสักคนคงไม่เป็นไร
สวีฝูแม้จะจากบ้านเกิดเป็นเรื่องยาก แต่ก็กลัวความโดดเดี่ยวยิ่งกว่า ”
กงชิงวี่เดินไปสักพัก “เช่นนั้นก็พากลับไปเถอะ”
“ขอบคุณท่านอ๋อง”
กงชิงวี่หยุดลง มองอันหลิงหยุน “เจ้าคิดไว้แต่แรกแล้ว ทำไมยังต้องหลอกข้าด้วย”
สองสามีภรรยาต่างก็อุ้มลูกไว้คนละคน เดินไปข้างหน้า
อันหลิงหยุนยิ้มแต่ไม่พูด ก้าวไปก่อน
ในราชวังกงชิงวี่กับอันหลิงหยุนสามารถเข้าออกได้ตามใจ เข้าไปในวังก็เห็นเสี่ยวเฉียวกับอะมู่ออกมาจากข้างในอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองออกมาแล้วก็รีบคุกเข่าต่อหน้าอันหลิงหยุนและกงชิงวี่
“อะมู่คำนับอาจารย์”
“ท่านพ่อท่านแม่”เสี่ยวเฉียวรีบโขกหัวคำนับ
“ลุกขึ้นเถอะ อย่าทำเช่นนี้ ”กงชิงวี่พูด ทั้งสองลุกขึ้น
คนในวังต่างก็คุกเข่าคำนับ
“ทำไมพวกเจ้าจึงเข้ามาในวัง”
“เห็นในวังไม่มีใคร อาจารย์ก็เพียงแต่กลับมาสะสางงานราชการ สองวันมานี้ไม่ค่อยสนใจงานในราชสำนัก จึงได้ให้ข้ากับอะมู่ช่วยเขา”
“ช่างไร้สาระจริงๆ เจ้าสองคนยังเป็นเด็ก จะทำเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร”อันหลิงหยุนยอมใจเฟิงอู๋ฉิงจริงๆ
“อาจารย์บอกว่า อะมู่ก็อายุสิบกว่าแล้ว เป็นหนุ่มใหญ่แล้ว ตอนที่อาจารย์อายุสิบขวบก็สามารถอ่านฎีกาได้แล้ว ”เสี่ยวเฉียวพูด ด้วยใบหน้าจริงจัง
“จะไปฟังเขาทำไมกัน พวกเจ้าล้วนเป็นเด็กน้อย ต้องเรียนอ่านเขียนทุกวันจึงจะถูก เขาทำเช่นนี้คงเพราะอยากอู้งาน ที่แม่มาครั้งนี้ จะพาพวกเจ้ากลับไปด้วยกันเลย”
เสี่ยวเฉียวกับอะมู่สบตากัน เป็นนานกว่าเสี่ยวเฉียวจะพูดขึ้น “ท่านแม่ พวกข้าไม่สามารถทิ้งอาจารย์ไว้ไม่เหลียวแล และอาจารย์ยังขอให้ท่านราชครูสอนพวกเราด้วย”
“……”อันหลิงหยุนมองกงชิงวี่ พูดเช่นนี้แสดงว่าลูกสองคนนี้ไม่อยากกลับไปด้วย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเจ้าอยู่ที่นี่เถอะก็ได้ ”กงชิงวี่ไม่คิดว่าจะให้ลูกๆทั้งหมดอยู่ข้างกายเขา ในเมื่อชื่นชอบหนานอี้ก็ให้อยู่ต่อไป อีกทั้งเฟิงอู๋ฉิงยังเป็นอาจารย์ของพวกเขา พวกเขาไม่จากไปย่อมสมเหตุสมผล
อันหลิงหยุนตามไปดูสวีฝู ลูกทั้งสองคนก็รีบตามหลังไป
คนในวังต่างก็เรียกขานเสี่ยวเฉียวจวิ้นจู่ เรียกซื่อจื่ออะมู่ ตำแหน่งและสถานะนั้นย่อมสูงส่ง แม้จะเป็นเด็กน้อย แต่ในวังหนานอี้นั้นพวกเขาถือได้ว่าเป็นตัวแทนของเฟิงอู๋ฉิง
ทุกวันสวีฝูยังคงมองออกไปนอกวังฉิงคุน เริ่มตั้งแต่ตอนเช้า จะต้องรอจนถึงดึกดื่น ก็เพื่อจะรออันหลิงหยุน เขารู้สึกได้ตลอดว่าอันหลิงหยุนจะกลับมารับเขา
แต่ไม่กี่วันมานี้กลับรู้สึกว่าอันหลิงหยุนไม่สามารถกลับมารับเขาแล้ว กำลังเตรียมตัวจะกลับ มีคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาทางวังฉิงคุน สวีฝูมองอย่างละเอียด จึงได้รู้ว่าพวกของอันหลิงหยุนมาแล้ว ตื้นตันจนน้ำตาไหล รีบวิ่งออกไปอย่างร้อนรน ไปคุกเข่าลงต่อหน้าอันหลิงหยุน อันหลิงหยุนประคองเขาขึ้นมา
“ไม่ต้องแล้ว ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อพาเจ้าออกไป เวลาไม่คอยท่า เจ้าดูสิว่าจะเอาอะไรไปด้วยหรือไม่ ”ระหว่างพูดอันหลิงหยุนก็มองไปรอบๆวังฉิงคุน สวีฝูฟังแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เขาก็รีบกลับเข้าไปเตรียมตัวทันที
และเพราะว่าเขามีใจอยากจะไปจากที่นี่แล้ว ฉะนั้นข้าวของก็ได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว ในวังฉิงคุนก็ได้จัดการไว้เรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าสวีฝูจะเป็นแค่กงกง แต่พอฮ่องเต้องค์ก่อนไม่อยู่แล้ว วังฉิงคุนมีเขาคอยกำกับดูแลอยู่ แม้ว่าฮ่องเต้หนานอี้จะอยู่ แต่ที่จริงแล้ววังฉิงคุนก็ยังเป็นสวีกงกงที่มีอำนาจดูแลอยู่ดี
ไม่เพียงเท่านี้ องครักษ์ในวังฉิงคุนล้วนเป็นสวีฝูที่เป็นคนคัดเลือก และยังมีหัวหน้าขององครักษ์อีกหลายคน ล้วนเป็นบุตรบุญธรรมของสวีฝู กับสวีฝูแล้วพวกเขาล้วนซื่อสัตย์ต่อเขาทั้งใจ สวีฝูยังมีขันทีเล็กๆอีกหลายคนที่อบรมสั่งสอนไว้อย่างดี กับแม่นมอีกคนหนึ่ง
พวกเขาล้วนเป็นคนสนิทของสวีฝู สวีฝูจะจากไปแล้ว ได้มอบหมายให้พวกเขา วังฉิงคุนจะไร้คนไม่ได้ และที่เขาออกไปก็เพื่อตามหาอ๋องที่จะทำหน้าที่สำเร็จราชการแทน
เพื่อให้จิตใจของประชาราษฎร์มั่นคง และยังทำให้วังฉิงคุนมั่นคงไปด้วย
สวีฝูมอบหมายงานเสร็จแล้ว ก็นำห่อผ้าห่อนึงออกมา
อันหลิงหยุนไม่ได้เข้าไปในวังฉิงคุน รออยู่ที่หน้าประตูวัง พอสวีฝูออกมาก็พาเขาจากไป
สวีฝูตามติดอยู่ด้านหลังอันหลิงหยุน เขาเชื่อใจในตัวอันหลิงหยุนอย่างหาที่สุดไม่ได้ เขารู้สึกว่า เขาติดตามรับใช้ฮ่องเต้มาสามยุค อันหลิงก็คือยุคที่สาม
เดินมาตลอดทาง เสี่ยวเฉียวกับอะมู่มาถึงหน้าประตูวัง หันไปพูดกับอันหลิงหยุนว่า “ท่านแม่ พวกเราต้องกลับไปแล้ว วันนี้อาจารย์ยังคงพักผ่อนอยู่ พวกข้าออกมาเขาบอกว่าให้ส่งถึงแค่ตรงนี้ก็พอ”
“อืม เช่นนั้นพวกเจ้ากลับไปเถอะ ดูแลเขาดีๆ”อันหลิงหยุนมอบหมาย แล้วก็ขึ้นรถม้าไป ใต้หล้าไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา อันหลิงหยุนรู้ดี
เสี่ยวเฉียวกับอะมู่คุกเข่าคำนับอันหลิงหยุนอีกครั้ง อันหลิงหยุนก็เข้าใจแล้ว ลูกสองคนนี้ ภายหน้าบางทีอาจจะไม่ได้อยู่เคียงข้างนาง
บอกให้เสี่ยวเฉียวกับอะมู่กลับไป อันหลิงหยุนก็ไปจากหนานอี้
เฟยยิงเตรียมตัวพร้อมไว้แต่แรกแล้ว พวกเขาไม่รั้งรอ จากไปนานแล้ว
ตลอดการเดินทางอันหลิงหยุนสงบมาก เพียงแต่ตอนที่ออกจากหนานอี้ ซูมู่ไห่ก็ถามออกมา ซูมู่ไห่ขวางรถม้าที่อันหลิงหยุนนั่งอยู่
อันหลิงหยุนเพียงแต่มองแวบเดียวเท่านั้น ไม่ได้มีทีท่าจะลงจะรถม้า
“เจ้าลงมาข้ามีคำพูดจะพูดกับเจ้า”ตอนนี้ซูมู่ไห่กำลังอยู่ในช่วงของความรักแรกรุ่น เขาคิดอยู่นานแล้ว ก็ไม่สามารถปล่อยอันหลิงหยุนได้ ในเมื่อตอนนี้เขาก็ยังไม่เป็นอะไร เช่นนั้นไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็คงไม่มีใครทำอะไรเขา แม้ว่าจะรู้ แล้วอย่างไร
ซูมู่ไห่ถูกรังแกตั้งแต่เด็ก ต้องเรียนรู้ที่จะอดทนในทุกเรื่อง
ตอนนี้เขาไม่อยากจะทนต่อไปแล้ว เขาคิดอยากจะพาอันหลิงหยุนไปด้วย
อันหลิงหยุนมองกงชิงวี่ที่นั่งอยู่บนรถม้าด้วยกัน สีหน้าไม่น่าดูจนน่าตกใจ
“เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้ามากนัก ตั้งแต่ท่านกับข้าถูกเขาเล็งเอาไว้ ข้าถูกหงเย่ล่อลวงให้ออกมา ลืมแล้วว่าสถานการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร ข้าน่าจะถูกไล่ต้อนจนจนมุม แต่อย่างไรข้าก็ได้ไล่ตามแล้ว
สุดท้ายก็ตกอยู่ในความยากลำบาก ร่างกายข้าไม่สู้ดีนัก ข้าทำเพื่อให้เขาได้สืบทอดบัลลังก์ของหนานอี้ จึงได้ช่วยเอาไว้
ใครจะรู้ว่าเขาอายุน้อยไร้ปัญญา ทำเรื่องเหล่านี้ขึ้น
ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องมองข้า ข้าเองก็ไม่ใช่นารีเป็นเหตุ อย่างน้อยก็ไม่ใช่กับซูมู่ไห่ เขาเป็นพี่ชายข้า ”
กงชิงวี่สั่งการด้วยสีหน้าเย็นชา “เฟยยิง ให้เขาไสหัวไป”
เฟยยิงได้รับคำสั่งก็ต่อสู้กับซูมู่ไห่ขึ้นมา ซูมู่ไห่แม้ว่าจะเพิ่งหายจากอาการป่วย แต่ได้ดื่มเลือดของอันหลิงหยุนแล้วร่างกายของเขาก็ฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วมาก กระทั่งรู้สึกได้ว่าตอนนี้ร่างกายของเขามีพลังที่ไม่มีที่สิ้นสุดกำลังพุ่งขึ้นมา
ปรากฏว่าด้วยความประมาทเพียงชั่วครู่ของเฟยยิง จึงถูกโยนออกไป