ยอดหมอยาของอ๋องเสียน / หมอเทพเซียนของอ๋องเสียน - บทที่ 913 นางคือแม่ของเจ้า
บทที่ 913 นางคือแม่ของเจ้า
“นางคือแม่ของเจ้า” กงชิงวี่พูดเบาๆ ไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอกที่อยู่ตรงหน้านั่นอีกแล้ว
อะมู่ผงะไป แล้วเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ
วันนี้เฟยยิงเองก็อยู่ด้วย เขาเกือบจะหล่นลงมาจากหลังคา
กงชิงวี่หันมองอย่างไม่สบอารมณ์นัก : “เมื่อไหร่กันที่ข้าห้ามไม่ให้เจ้าปรากฏตัวต่อหน้าข้า เจ้านี่มันใช้ไม่ได้เสียจริงๆ ขึ้นไปทำอะไรอยู่บนหลังคากัน ลงมาเดี๋ยวนี้”
เฟยยิงจึงลงมาด้านล่าง : “ท่านอ๋อง พระชายา……”
“เฟยยิง เจ้ารีบนำจดหมายของข้าเข้าวังในทันที แล้วทูลฮองเฮาว่าข้าต้องการสร้างสัมพันธไมตรีกับประเทศเฟิ่ง และคนที่จะมาแต่งงานกับข้าก็คือมกุฎราชกุมารีของประเทศเฟิ่ง ข้าต้องการให้นางไปเจรจาสู่ขอให้ข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ !” เฟยยิงไม่กล้าถามอะไรมาก เขาถือจดหมายแล้วรีบเข้าวังไป
เมื่อหยุนโล๋ชวนได้รับจดหมายก็รีบลงมือในทันที นางสวมใส่ฉลองพระองค์แล้วตรงไปยังอี้ย่วน
ตอนนี้ทุกคนต่างเข้าไปในวิหารหลักหมดแล้ว หยุนโล๋ชวนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อนั่งลงแล้ว หยุนโล๋ชวนก็หันไปมองกงชิงวี่ วันนี้กงชิงวี่สวมใส่ชุดสีแดงที่ดูเก่าแก่ หยุนโล๋ชวนไม่เคยเห็นเขาแต่งกายเป็นทางการเช่นนี้มาก่อน
เขาหันไปสบตาหยุนโล๋ชวนแล้วพยักหน้า
กงชิงวี่หันมองเซวียนเหอ ตอนนี้มีเพียงคนของประเทศเฟิ่งที่ยังไม่มา
กงชิงวี่สั่งอะมู่ : “ออกไปเฝ้าด้านนอกไว้ หากเห็นไท่จื่อมา จงตีให้สลบแล้วลากออกไป”
อะมู่ผงะไปชั่วครู่ จากนั้นจึงผยักหน้าแล้วหันหลังเดินออกไปด้านนอก ช่างบังเอิญจริงๆ
แต่ไหนแต่ไรมากงชิงยี่เหรินออกจากวังหลวงน้อยครั้งมาก แต่วันนี้กลับมาที่อี้ย่วน ตอนที่อะมู่เห็นเขา เขากำลังเดินเล่นอยู่ในอี้ย่วน อะมู่เดินเข้าไป แล้วต้องการให้เขาตามตนไปที่อื่น
“อะมู่ ข้าอยากรออยู่ที่นี่ รู้สึกเหมือนว่ามีใครสักคนกำลังมา แต่ข้าเองก็บอกไม่ถูก” กงชิงยี่เหรินรู้สึกปวดหัว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอยากเรียกให้เขามาที่นี่
อะมู่หันมอง : “แต่วันนี้ทั้งห้าประเทศนัดรวมตัวกันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราชกิจ จะอยู่ที่นี่ไม่ได้ ขอไท่จื่อทรงตามอะมู่มาพ่ะย่ะค่ะ”
อะมู่ไม่อาจตีไท่จื่อได้ ถึงแม้จะได้รับคำสั่งมา
“เช่นนั้นใครจะมากันแน่นะ ?” กงชิงยี่เหรินยิ่งปวดหัวเข้าไปใหญ่ เขาเคาะหัวดู รู้สึกเหมือนมีภาพบางอย่างเริ่มปรากฏขึ้นมา”
“หยุนหยุน……” กงชิงยี่เหรินพูดออกมาเบาๆ นึกขึ้นมาได้แล้ว
แต่ยังไม่ทันทีเขาจะนึกขึ้นมาได้ทั้งหมด สมองก็มืดดับแล้วล้มลงไป
อะมู่หันมองกงชิงหยุนเยนที่ยืนอยู่ด้านหลัง : “หยุนเอ๋อ !”
“พี่อะมู่ ข้าว่าท่านคงจะดื่มยาขององค์หญิงใหญ่เข้าไปแล้วกระมัง ทำไมเรื่องเล็กแค่นี้ถึงทำไม่สำเร็จเสียแล้ว ใช้ให้ท่านตีเขาให้สลบแล้วลากไป ท่านยังจะมามัวยืนพูดพร่ำอยู่ที่นี่อีก ถ้าข้อศอกของท่านบิดไปอีกด้านล่ะก็ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน” กงชิงหยุนเยนสีหน้าเย็นชา
“รู้แล้ว คราวหน้าไม่กล้าอีกแล้ว”
อะมู่รีบที่จะลากเขาไป กงชิงหยุนเยนพูดว่า : “เอาเชือกมามัด แล้วพาไปที่ห้องนอนของข้า ประเดี๋ยวเขาตื่นข้าจะจัดการกับเขาเอง อย่าทำลายแผนการของท่านพ่อได้”
อะมู่รีบมัดเขาเอาไว้ จากนั้นจึงพาไปยังห้องนอนของกงชิงหยุนเยน เมื่อเข้าไปแล้วกงชิงหยุนเยนก็โบกมือส่งสัญญาณว่าให้อะมู่ออกไป
อะมู่กำชับว่า : “ห้ามทำร้ายเขาเด็ดขาด !”
“รู้แล้ว” กงชิงหยุนเยนโบกมือ ทำท่าทีรับปาก ไม่รู้เรื่องที่นางมีวิธีการมากมาย วันนี้นางจะต้องปรนนิบัติกงชิงยี่เหรินเป็นอย่างดีแน่นอน
อะมู่กลับไปรายงานกงชิงวี่ ตอนนี้เองอ๋าวฉิงเดินตามหลังมกุฎราชกุมารีของประเทศเฟี่งมา เด็กหญิงอายุสิบขวบสวมใส่ฉลองพระองค์สีแดง ท่าทางในการเยื้องย่างราวกับเป็นฮ่องเต้หญิงของประเทศเฟิ่งจริงๆ
วันนี้มีแม่ทัพอันเข้าร่วมด้วย แม่ทัพอันรู้สึกว่าเด็กที่อยู่ตรงหน้าช่างดูคุ้นตาเสียจริงๆ
เพียงแต่ใบหน้าของเด็กคนนี้สวมหน้ากากสีทองปิดบังเอาไว้ครึ่งหน้า ดังนั้นจึงมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของนาง
ฮ่องเต้หลิงหยุนเดินขึ้นไปบนวิหาร จากนั้นจึงหันไปคำนับหยุนโล๋ชวน : “ถวายพระพรฮองเฮา”
หยุนโล๋ชวนรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่นางก็ต้องข่มความรู้สึกเอาไว้ แล้วยกมือขึ้น : “มกุฎราชกุมารีเชิญนั่ง”
เฟิ่งหลิงหยุนเดินไปนั่งอีกด้านหนึ่ง หยุนโล๋ชวนพูดว่า : “วันนี้ในเมื่อทูตทุกท่านมากันโดยพร้อมเพรียงแล้ว ข้าเองก็มีเรื่องอยากจะประกาศให้ทราบ”
ตอนนี้ทุกคนยังไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น แม้แต่เฟิ่งหลิงหยุนเองก็คิดไม่ถึง
หยุนโล๋ชวนพูดว่า : “วันที่ฝ่าบาททรงมีสาสน์ที่กราบทวนที่จะต้องทรงทบทวน เดิมทีตั้งใจจะเสด็จมาที่นี่ด้วยพระองค์เอง แต่เป็นเพราะทรงมีราชกิจล้นมือ อีกทั้งในปีนี้ประเทศต้าเหลียงของเรามีน้ำค้างแข็งในฤดูใบไม้ร่วงมาเร็วผิดปกติ เกรงว่าหกาไม่ทันการจะกระทบต่อการเพาะปลูก ดังนั้นจึงทรงมีรับสั่งให้ข้ามา เพื่อประกาศเรื่องของอ๋องเซ่เจิ้งหนึ่งเรื่อง”
ราชครูจุนรู้สึกแปลกใจ น้ำค้างแข็งมาจากไหนกัน ทำไมเขาไม่เห็นจะรู้เรื่อง ?
ไม่มีใครพูดอะไร หยุนโล๋ชวนจึงพูดต่อ : “วันนี้เป็นวันครบรอบการจากไปของพระชายาอ๋องเซ่เจิ้งครบสิบปีแล้ว ข้าเองข้าเองก็รู้สึกเห็นใจมาโดยตลอด นึกถึงว่าท่านพี่มาด่วนจากไปเร็วขนาดนั้น อ๋องเซ่เจิ้งเองก้ต้องอยู่ลำพังตัวคนเดียว ทำให้ต้องผ่านคืนวันไปอย่างยากลำบาก
ข้าเองก็ลองมองหามาหลายปี อยากที่จะหาคู่ครองสักคนให้แก่อ๋องเซ่เจิ้ง แต่ก็ยังหาไม่เจอเสียที
ครั้งนี้จึงหวังว่าจะสามารถเป็นดองกับทุกๆ ประเทศได้
แต่คนที่จะเหมาะสมกับอ๋องเซ่เจิ้งนั้น เกรงว่าในโลกนี้คงจะมีเพียงมกุฎราชกุมารีผู้สูงศักดิ์ของประเทศเฟิ่งแล้ว”
เฟิงหลิงหยุนผงะไปชั่วครู่ ไม่คิดว่าจะรีบร้อนขนาดนี้
อ๋าวชิงรีบพูดขึ้นทันที : “ทูลฮองเฮา มกุฎราชกุมารีของเรายังทรงพระเยาว์มาก ไม่ใช่……”
“เรื่องเล็ก ยังไงเสียก็จะต้องโตขึ้นอยู่ดี อีกอย่างเรื่องนี้ก็ถือเป็นความปรารถนาส่วนตัวของข้าเพียงผู้เดียว ถ้าหากอ๋องเซ่เจิ่งและมกุฎราชกุมารีไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่นแล้วล่ะก็ ข้าจึงจะสามารถจัดการสู่ขอได้ อ๋าวเฉิงเสี้ยงไม่ต้องกังวลใจไป”
อ๋าวชิงจะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร ในเมื่อความเป็นจริงแล้วมกุฎราชกุมารีและอันหลิงหยุนนั้นช่างเหมือนกันเหลือเกิน
ถึงแม้จะผ่านไปสิบปีแล้ว แต่เมื่ออ๋าวชิงเห็นมกุฎราชกุมารีก็จะต้องนึกถึงอันหลิงหยุนผู้นั้นขึ้นมา
ต่อให้เกิดมาจากพ่อแม่คนเดียวกัน แต่จะให้เหมือนกันขนาดนี้ ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอยู่ดี
“มกุฎราชกุมารี !” อันหลิงหยุนคิดว่าเรื่องนี้เฟิ่งหลิงหยุนไม่มีทางเห็นด้วยแน่นอน เพราะนางเองก็ไม่เคยพบกับกงชิงวี่มาก่อน อีกทั้งนางเองก็ยังเป็นแค่เด็ก ยังไม่รู้ประสีประสา ก่อนจะมาก็พูดกับนางเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เพียงแค่มาปรากฏตัวก็พอแล้ว
แต่ตอนนี้เฟิ่งหลิงหยุนกลับพูดว่า : “ข้ายินดีที่จะแต่งงานกับอ๋องเซ่เจิ้ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าอ๋องเซ่เจิ้งจะยินดีหรือไม่ ได้ยินมาว่าเพื่อภรรยาแล้ว อ๋องเซ่เจิ้งยอมครองตัวเป็นโสดมาเป็นเวลาสิบปี ดังนั้นจึงคิดว่าอ๋องเซ่เจิ้งไม่น่าจะยอมตกลงเรื่องแต่งงาน”
“……” อ๋าวชิงตกตะลึง เขาเองก็คิดไม่ถึงเลยว่ามกุฎราชกุมารีผู้แสนอ่อนโยนจะพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาได้ ทำให้เขาไม่อาจพูดอะไรได้อีก
ตอนนี้ดูเหมือนว่ามกุฎราชกุมารีต้องการจะอภิเษกกับอ๋องเซ่เจิ้ง คงจะต้องรอให้อ๋องเซ่เจิ้งเป็นคนพูดปฏิเสธ
อีกทั้งหากอ๋องเซ่เจิ่งปฏิเสธการแต่งงานก็ถือเป็นเรื่องปกติ ถ้ายอมแต่งถึงจะถือว่าไม่ปกติ
ในใจของอ๋องเซ่เจิ้งมีพระชายาอ๋องเซ่เจิ้งอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีทางแต่งงานกับมกุฎราชกุมารีอย่างแน่นอน คิดแบบนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผล แต่ความจริงแล้วกลับไม่ใช่ อ๋าวชิงรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
ทุกคนต่างจับจ้องไปที่กงชิงวี่ รู้สึกว่านี่เป็นเพียงแค่การเล่นของเด็ก
แต่ในตอนนี้เอง กงชิงวี่พูดขึ้นว่า : “หม่อมฉันยินดีที่จะแต่งมกุฎราชกุมารีเป็นภรรยาพ่ะย่ะค่ะ”
“……” ทุกคนเกิดความโกลาหลขึ้น
หยุนโล๋ชวนรีบออกราชโองการในทันที : “ทหาร จงรับคำสั่งของข้า”
ด้วยฐานะของประเทศต้าเหลียงในตอนนี้ สามารถควบคุมทุกอย่างได้ทั้งหมด การที่จะสู่ขอมกุฎราชกุมารีของประเทศเฟิ่ง ขอเพียงแค่มกุฎราชกุมารีทรงรับปากออกมาเท่านั้น
“พ่ะย่ะค่ะ”
“วันนี้ข้าเจรจาสู่เรื่องงานแต่งงานของอ๋องเซ่เจิ้งได้สำเร็จ รู้สึกมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ขอให้ทั้งสองประเทศมีมิตรภาพอันดีต่อกันยาวนานอีกเป็นร้อยปี ขอให้อ๋องเซ่เจิ้งและมกุฎราชกุมารีรักใคร่กลมเกลียวกันตลอดไป
อ๋องเซ่เจิ้งท่านพอจะมีของอะไรที่จะใช้สำหรับเป็นของแทนใจบ้างหรือไม่ ?” หยุนโล๋ชวนเกรงว่าเรื่องนี้จะเกิดความวุ่นวายขึ้นในภายหลัง จึงต้องทำให้ทุกอย่างชัดเจนในทันที
กงชิงวี่หันมอง แล้วหยิบพู่กันขึ้นมา จากนั้นจึงเขียนจดหมายขึ้นมาหนึ่งฉบับด้วยลายมือของตนเอง หยุนโล๋ชวนนำตราประทับของฮองเฮามาประทับลงด้านบน จากนั้นจึงส่งให้เฟิ่งหลิงหยุน
อ๋าวชิงรีบขัดขวางในทันที : “มกุฎราชกุมารี ขอทรงโปรดพิจารณาดูอีกครั้งเถอะพ่ะย่ะค่ะ !”
แต่เฟิ่งหลิงหยุนกลับนำพู่กันมาเขียนลงบนจดหมายเพื่อแสดงถึงสัญญาใจที่มีต่อกัน
หยุนโล๋ชวนหันมอง แล้วยื่นให้แก่กงชิงวี่ กงชิงวี่จึงนำมาเก็บเอาไว้ จากนั้นจึงส่งปิ่นเงินหนึ่งเล่มให้แก่เฟิ่งหลิงหยุน
เขานั่งขัดสมาธิลงจากนั้นจึงยื่นปิ่นเงินให้แก่เฟิ่งหลิงหยุน เฟิ่งหลิงหยุนมองปิ่นเงินเล่มนั้นแล้วพูดว่า : “แต่ข้าไม่มีของขวัญจะมอบกลับคืนให้”
กงชิงวี่ยกมือขึ้น แล้วถอดหน้ากากที่อยู่บนหน้าของอันหลิงหยุนออก ทุกคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก ราวกับเป็นใบหน้าที่ถูกถอดแบบออกมาอย่างไรอย่างนั้น เหมือนกับกงชิงหยุนเยนทุกกระเบียดนิ้ว
หยุนโล๋ชวนเองก็ประหลาดใจ คิดว่าเห็นกงชิงหยุนเยนแล้ว