ยอดหมอยาของอ๋องเสียน / หมอเทพเซียนของอ๋องเสียน - บทที่ 954 เมืองหลวงเกิดเรื่อง
บทที่ 954 เมืองหลวงเกิดเรื่อง
อันหลิงหยุนหันไปมองราชครูจุน :“ ในประเทศเหลียง มีต้นไม้ต้นหนึ่งที่เขียวชอุ่มตลอดทั้งปี ว่ากันว่าปลูกในวันที่ท่านอ๋องถือกำเนิด ตราบใดที่ต้นไม้นั้นยังคงอยู่ ประเทศก็ยังคงอยู่
ราชครูจุนประหลาดใจมาก: “เช่นนั้นแล้วอ๋องเสียน?”
กงชิงวี่กระแอมไอออกมาสองครั้ง หันไปมองอันหลิงหยุนนิ่ง
อันหลิงหยุนพูดขึ้นว่า: “ท่านอ๋องมีอายุขัยอยู่ที่สามร้อยปี หลังสามร้อยปีจากนั้นไป ข้าก็ไม่รู้แล้วล่ะ”
“…… ”
ราชครูจุนไม่ได้ถามอะไรออกไปอีก ในวันนั้น ราชครูจุนก็ได้รับของขวัญที่ส่งมอบมาเป็นของหมั้นหมาย หนึ่งเดือนต่อมา ก็มีพระราชพิธีอภิเษกสมรสขององค์ชายรัชทายาทแห่งประเทศเหลียง ส่วนพระชายาผู้ได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นไท่จื่อเฟยผู้นั้น เล่าลือกันว่าเป็นลูกสาวบุญธรรมของพระชายาเสียน
………………
หลังจากงานอภิเษกสมรสขององค์ชายผ่านไปได้ไม่นาน ก็มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่า อ๋องเสียนล้มป่วยอย่างหนัก พระชายาเสียนจึงพาเขาเข้าไปอยู่ในป่าลึก
หลังอ๋องเสียนไป จวนอ๋องซื่อเจิ้นก็เปลี่ยนเป็นจวนอ๋องชิน ผู้ที่รับผิดชอบดูแลต่อคือ อ๋องชินมู่
รถม้าแล่นออกจากเมืองหลวง อันหลิงหยุนแวะไปเยี่ยมดูเซวียนเหอก่อน
ถึงอย่างไรก็ยังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการให้เรียบร้อย เมื่อไปพบเซวียนเหอ ก็ได้เจอหยุนจวิ้นจู่บวชเป็นชีอยู่ที่นั่น
อันหลิงหยุนแอบเหลือบมองกงชิงวี่ ซึ่งยืนส่งสายตาเย็นชาราวจะแช่แข็งผู้คนอยู่ข้าง ๆ ดูเหมือนว่าเขาคงจะไม่เคยคาดคิดมาก่อนจริงๆ ว่าลูกสาวของเขาจะไม่แต่งงาน และในท้ายที่สุดก็ไปกราบเซวียนเหอเป็นอาจารย์ กลายไปเป็นนักพรตผู้ฝึกตนในลัทธิเต๋า
แต่พูดแบบตรง ๆ ก็คือ ในที่สุดเสี่ยวหยุนก็เลือกที่จะชอบใครสักคนในชีวิตของตัวเองแล้ว
เสินหยุนเจ๋ก็แต่งงานแล้วเช่นกัน เขาแต่งกับภรรยาวัยสาวคนหนึ่ง ได้ยินมาว่ามีลูกชายหนึ่งคน
อันหลิงหยุนไม่อยากพูดอะไรมาก แต่ก็มีบางคนที่ยังหัวดื้ออยู่
ที่น่าแปลกคือ สุดท้ายหยุนเล่ก็จากไปจริง ๆ นึกไปถึงช่วงเวลานั้นที่เขาทุ่มเทเพื่อความรัก ชนิดที่แทบจะเป็นจะตายให้ได้ แต่สุดท้ายเขาก็จากไป แต่เฟยยิงนั้นยังคงมีชีวิตอยู่
เมื่อเห็นอันหลิงหยุนกับกงชิงวี่ เฟยยิงก็ดีใจอย่างคาดไม่ถึง รีบก้าวมาข้างหน้าเตรียมคุกเข่าลง
อันหลิงหยุนเข้าไปพยุงเฟยยิงขึ้นมา: “พี่ใหญ่ไม่ต้องทำแบบนี้หรอก พี่ใหญ่จำไม่ได้แล้วหรือ? เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกัน พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ”
เฟยยิงลุกขึ้นยืน เขาในยามนี้ล่วงเข้าสู่วัยกลางคนไปแล้ว
แต่เมื่อเห็นกงชิงวี่ที่ยังคงดูเหมือนคนอายุราวๆยี่สิบ เขาก็ถึงกับตกตะลึงไปเลย
“ ท่านอ๋อง?”
“ข้าได้กินยาอายุวัฒนะ จึงทำให้ย้อนจากวัยชราหวนกลับมาเยาว์วัยอีกครั้ง ไม่ต้องตื่นตูมไป พระชายาบอกว่าข้าจะอยู่ได้ถึงสามร้อยปี น่ากลัวว่าจะทำให้คนในเมืองหลวงพากันตกใจกลัวกันเปล่าๆ เลยออกมาหาที่พักสักหน่อย”
เฟยยิงจึงพูดว่า: “เช่นนั้นที่นี่พักได้ไม่มีปัญหา”
“พวกเขายังไม่ไปที่อื่น ไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่หรอก หากเจ้าคิดจะไปก็ไปเถอะ เสี่ยวหยุนอยู่ที่นี่ไม่มีทางเกิดอันตรายอะไรแน่”
เซวียนเหอในชุดเสื้อคลุมสีฟ้าตามแบบลัทธิเต๋า เดินออกมาจากด้านใน มีเสี่ยวหยุนเดินตามอยู่ข้างกายไม่ห่าง ในวัดไม่มีใครอยู่ มีเพียงพวกเขาสามคนเท่านั้น
กงชิงวี่เห็นลูกสาวก็เดินตรงเข้าไปหา: “เสี่ยวหยุน”
“พ่อ”
เสี่ยวหยุนเองก็โตขึ้นแล้วเช่นกัน กงชิงวี่เดินไปตรงหน้าลูกสาว มองพินิจอย่างละเอียดถี่ถ้วนครู่หนึ่ง ย้อนนึกถึงความทรงจำตอนที่แต่งงานกับเจ้าของร่างเดิม นางช่างดูเหมือนนางในตอนนั้นไม่มีผิด
อันหลิงหยุนรู้ว่าเขากำลังย้อนคิดถึงเรื่องอะไรอยู่ จึงไม่พูดอะไรมาก
เมื่อพ่อลูกพบหน้า ย่อมมีเรื่องราวให้พูดคุยกันได้ไม่จบไม่สิ้น ระหว่างที่พวกเขาคุยกัน อันหลิงหยุนจึงเลี่ยงไปคุยกับเซวียนเหอและเฟยยิงแทน
ไม่ได้พบกันนานหลายปี พวกเขาต่างก็แก่ลงไปมาก อันหลิงหยุนได้เห็นพวกเขา รู้สึกเหมือนนางกำลังมองดูผู้อาวุโสอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ทุกคนพูดคุยกันยาวเกือบตลอดทั้งคืน เมื่อถึงยามเช้า อันหลิงหยุนก็ตามกงชิงวี่ออกไปจากที่นั่น ตอนที่ออกไปเสี่ยวหยุนยังไม่ตื่น กงชิงวี่ลงจากภูเขาไปพร้อมกับอันหลิงหยุน ไม่พูดอะไรมาก เพียงจากไปทั้งอย่างนั้น
อันหลิงหยุนลงจากเขามา ขึ้นไปนั่งบนรถม้าแล้วเอ่ยถามเขาไปว่า: “จริง ๆ แล้วท่านอ๋องอยากรั้งอยู่กับลูกสาวที่นี่ใช่หรือไม่?”
“นางไม่ได้อยากอยู่กับข้าเสียหน่อย ทำไมข้าถึงต้องรั้งอยู่ด้วยล่ะ?” กงชิงวี่โกรธแค้นเดือดดาลไปทั่วทุกอณูรูขุมขน ในใจร่ำๆอยากจะตีใครสักคนเหลือเกินแล้ว
อันหลิงหยุนหัวเราะเยาะเขา: ” ชีวิตนี้ ท่านยโสโอหังมาตลอดทั้งชีวิตแล้วแท้ๆ คิดอยากจะฆ่าเซวียนเหอ สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ ทั้งยังต้องยอมปล่อยให้ลูกสาวไปเป็นศิษย์ของเขาอีก แต่ก็ไม่มีอะไรที่ไม่ดีนะเพคะ ท่านอ๋องลองคิดในแง่ว่า ลูกสาวของท่านต้องเป็นเขาที่ดูแล เท่านี้ท่านก็จะมีความสุขแล้ว ”
กงชิงวี่ลืมตาขึ้นมองอันหลิงหยุน: “เจ้านี่ช่างไร้จิตสำนึกเสียจริง!”
“ยังดีกว่าท่านไหมล่ะ ส่งเห้าเทียนเห้าเหวินออกไป ไม่ยอมพามาด้วย อุตส่าห์คุยกันดีแล้วแท้ๆว่าจะพามาด้วย ท่านก็ยังรั้นจะเดินทางตามลำพังอยู่ได้”
“แค่พวกเราก็ดีอยู่แล้ว จะพาพวกเขามาด้วยทำไมล่ะ?”
“…… ”
กงชิงวี่หลับตาลง ยังรู้สึกทุกข์ใจไม่หาย แม้ว่าจะทำเป็นปากแข็ง แต่เขาก็ไม่พูดอะไรเลยทั้งวัน
ท้ายที่สุด ลูกสาวก็เป็นคนที่เขารักใคร่ห่วงใย เป็นอันดับหนึ่งในดวงใจอยู่วันยังค่ำ
การที่นางไม่แต่งงานตลอดชีวิต แล้วหันหน้าไปฝึกบำเพ็ญตนในลัทธิเต๋า ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า นางบำเพ็ญตนไปเพื่ออะไร?
แต่เขาจะเข้าใจได้อย่างไร ว่าเสี่ยวหยุนมีความรักอย่างลึกซึ้งต่อเขาไม่เคยเสื่อมคลาย
แม้ว่าจะกลับชาติมาเกิดใหม่ แต่สุดท้ายก็ยังไม่อาจปล่อยวางจากเขาได้
หลายเดือนต่อมา อันหลิงหยุนก็ติดตามกงชิงวี่ไปยังสถานที่ต่าง ๆ ใช้ระยะเวลาไปหนึ่งปีเต็ม เพื่อไปเยี่ยมเยียนบรรดาลูก ๆ ของพวกเขาจนครบทุกคน
หนึ่งปีให้หลัง พวกเขาได้พบซูอู๋ซินกับเฟิ่งไป่ซูที่อาศัยอยู่ในสถานที่อันสวยงาม รายล้อมไปด้วยภูเขาเขียวขจี และธารน้ำใสเย็นสดชื่นรื่นรมย์อย่างยิ่ง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งสองมีลูกด้วยกันสองคน ใช้ชีวิตอย่างสบายใจไร้กังวล
พวกเขายังเคยไปเยี่ยมเยือนหุบเขาราชาโอสถด้วย และได้พบเข้ากับซูมู่ไห่ที่จำอะไรไม่ได้เลย
เพียงคนเดียวที่ตายเร็วเกินไป คือซู่อู๋เหิ้ง ฮ่องเต้แห่งหนานอี้
แต่ทว่า เพียงคนเดียวที่ไม่เคยได้พบเห็นอีกเลยนับจากนั้น ก็คือเฟิงอู๋ฉิง อันหลิงหยุนไม่เจอเขาที่ไหนทั้งสิ้น
มีคนบอกว่า เจ้าสำนักทิงเฟิงไม่อยู่แล้ว บ้างก็ว่าตายไปแล้ว ในเมื่อหลายปีมานี้ไม่มีใครได้พบเห็นเขาอีกเลย
อันหลิงหยุนลองคำนวณอย่างละเอียด ยืนยันได้ว่านางไม่ได้เจอเขามานานหลายปีแล้วจริง ๆ นับตั้งแต่นางกลับชาติมาเกิดใหม่ในชีวิตนี้ ก็ไม่เคยได้เจอกันอีกเลย
อันหลิงหยุนยืนอยู่ริมน้ำ หันไปมองกงชิงวี่ที่ยืนดูสายน้ำอยู่อีกด้าน จู่ๆอันหลิงหยุนก็โพล่งถามขึ้นว่า “เขาตายแล้วหรือ?”
กงชิงวี่หันกลับมา: “ใคร?”
“ เฟิงอู๋ฉิง”
“เขาตายแล้วหรือไม่ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่บุกโจมตีหนานอี้ เขายังไม่ปรากฏตัวออกมาเลยด้วยซ้ำ ต่อให้ไม่คิดอยากข้องเกี่ยวขนาดไหน ฮ่องเต้หนานอี้ก็เป็นพี่ชายของเขานะ” กงชิงวี่แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาเต็มที่
“ พูดเช่นนี้หมายความว่า เขาน่าจะโชคร้ายมากกว่าดีแล้วสินะเพคะ? เพราะถ้าเขายังดีอยู่ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ไม่มาปรากฏตัว แต่ตอนนี้ข้านึกย้อนไปถึงใบหน้าของเขาแล้ว ก็ดูไม่เหมือนคนอายุสั้นเลยสักนิด หากเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ ทำไมถึงไม่เห็นหมอกุ่ยกับอู๋โก๋ แสดงท่าทางโศกเศร้าเสียใจเลยล่ะ? ” อันหลิงหยุนแปลกใจอย่างมาก
กงชิงวี่เลิกคิ้วมองอันหลิงหยุน: “ข้าไม่ได้ไปทำอะไรเขาเสียหน่อย ทำไมต้องมาสอบสวนข้าขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น นี่มันก็ผ่านมาหลายปีแล้วแท้ๆ ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่จริง ข้าก็ไม่กลัวเขาหรอก ดีไม่ดีเขาอาจแก่หง่อม จนดูไม่ออกแล้วก็ได้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ”
อันหลิงหยุนรู้สึกหดหู่ไปครู่หนึ่ง: “หากว่ากันตามเหตุผล ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา ซูอู๋ซินก็คงจะไม่มีความสุขเช่นกัน”
“เจ้าลองทำนายชะตาไม่ได้หรือ?”
กงชิงวี่ เริ่มเตรียมจะพึ่งพาความสามารถของอันหลิงหยุนแล้ว
อันหลิงหยุนพูดด้วยอารมณ์ไม่สู้ดี: “ข้าเป็นหมอนะเพคะ ไม่ใช่หมอดูทำนายชะตา”
“ไม่เห็นจะมีอะไรที่ต่างกันเลย สำหรับข้าแล้ว ไม่มีอะไรที่หยุนหยุนทำไม่ได้”
อันหลิงหยุนไม่มีอารมณ์จะคุยกับกงชิงวี่ การที่นางไม่เคยได้เจอกับเฟิงอู๋ฉิงอีกเลย ทำให้นางรู้สึกแปลกใจมาก เป็นไปไม่ได้ที่คนจะตายไปแล้ว แต่ที่แปลกก็คือ การที่ยังไม่ตาย แต่กลับเงียบหายไปชนิดไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยต่างหาก ที่ชวนให้คนรู้สึกสงสัยเหลือเกินแล้ว
“ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว หวังว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งหวังว่าพวกเราจะได้พบกันอีก” อันหลิงหยุนเอาแต่รู้สึกว่า เฟิงอู๋ฉิงหายตัวไปได้อย่างน่าแปลกใจเกินไปแล้ว
ยังมีอู๋ซานอีกคนที่ไม่ได้เจอที่ไหนอีก ไม่รู้ว่าพวกเขาไปอยู่ที่ไหนกัน นางรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ามีอะไรบางอย่างที่มันขาดหายไป
ทั้งสองไปยังสถานที่ต่าง ๆ มากมาย อ้อมไปอ้อมมา กงชิงวี่ยังคงชอบอยู่ในเมืองหลวงมากกว่า พวกเขาจึงตั้งใจจะกลับไปที่เมืองหลวงอีกครั้ง แต่ไม่ได้เข้าไปในตัวเมือง แค่แยกตัวห่างออกมาราวสิบลี้ มาพักอยู่กันอย่างสันโดษเท่านั้น
ทั้งสองกำหนดการออกไปข้างนอกไว้ว่า ที่ไหนเกิดโรคระบาด ก็จะไปที่นั่น
ในตอนที่กงชิงวี่อายุได้ห้าสิบ ทั้งสองก็กลับไปยังเมืองหลวง เปิดเรือนรักษาผู้ป่วยแห่งหนึ่งขึ้นในเมืองหลวง ตั้งชื่อให้ว่าห้องไป๋เฉ่า
ในช่วงเช้าของทุกวัน จะมีการตรวจรักษาอาการเจ็บป่วยให้คนจำนวนสิบคนโดยไม่คิดเงิน ไม่เพียงไม่คิดค่าตรวจอาการ กระทั่งการรักษา ก็ยังไม่คิดเงินอีกด้วย
ในปีนั้นฮ่องเต้ชิงหยินได้สละราชสมบัติ แล้วพาไทเฮาไปอยู่อย่างสันโดษ ซึ่งการจากไปนั้นถือเป็นลางไม่ดีเอาเสียเลย
และในปีนั้นเอง ประเทศเหลียงก็ตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน
ที่นอกเมืองหลวง มีคนจำนวนหนึ่งกำลังเตรียมก่อการกบฏ เตรียมยกกองกำลังทหารจำนวนสองแสนนายบุกโจมตีพระราชวัง
ผู้คนในเมืองหลวงล้วนพากันแตกตื่น เหล่าขุนนางพอต้องเผชิญกับปัญหาเฉพาะหน้า กลับไม่มีปัญญากระทำการใดๆได้
ที่นอกห้องไป๋เฉ่า คนสี่คนยืนอยู่ตรงนั้น มองตรงไปยังนอกประตูเมืองหลวง