ยอดหมอยาของอ๋องเสียน / หมอเทพเซียนของอ๋องเสียน - บทที่ 960 ได้พบซูมู่หรงอีกครั้ง
- Home
- ยอดหมอยาของอ๋องเสียน / หมอเทพเซียนของอ๋องเสียน
- บทที่ 960 ได้พบซูมู่หรงอีกครั้ง
บทที่ 960 ได้พบซูมู่หรงอีกครั้ง
หลังผ่านปีนั้นไป ก็เป็นเวลาในอีกห้าสิบปีต่อมาแล้ว ที่อันหลิงหยุนได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง
เกิดข้อพิพาทในแผ่นดินนี้ขึ้นอีกครั้ง มีพวกมักใหญ่ใฝ่สูงก่อความวุ่นวาย สร้างความเดือดร้อนให้แก่ราชสำนัก บวกกับภัยพิบัติน้ำท่วม ภัยแล้งที่เกิดขึ้นทางเหนือและใต้ นางจึงตัดสินใจจะไปดูเรื่องเหล่านั้นกับกงชิงวี่
ผู้ประสบภัยพิบัติมีความสำคัญกว่าเหตุก่อความวุ่นวายในประเทศ พวกเขาต่างก็คุ้นเคยกับการไปรักษาความเจ็บป่วย ช่วยชีวิตผู้คนแล้ว
สำหรับพวกเขาแล้ว แผ่นดินนี้จะเป็นของใครนั้นไม่สำคัญอีกต่อไป สิ่งที่พวกเขาสนใจมีเพียงความเป็นอยู่อันสงบสุข และการทำมาหากินของประชาชนต่างหาก มีเสื้อผ้าที่อบอุ่น มีอาหารให้ได้กินอิ่ม ไม่ต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานอีกต่อไป
เนื่องจากสถานการณ์ภัยพิบัติและโรคระบาด เดิมทีอันหลิงหยุนก็ไม่ได้อยากจะกลับมาอีก แต่เมื่อได้ยินว่าฮ่องเต้ชิงหยินเหนื่อยล้าทั้งใจกาย จึงปิดประกาศตามหานักเรียนของเขา
เมื่อได้เห็นประกาศที่ปิดไปทั่ว อันหลิงหยุนก็รู้ในทันทีว่า ซูมู่หรงจำชาติก่อนของตัวเองได้แล้ว
ทั้งสองจึงวางแผนเส้นทางที่จะกลับเมืองหลวง ระหว่างทางก็รักษาคนป่วย ช่วยชีวิตผู้คนไปเรื่อยๆ เมื่อภัยพิบัติโรคระบาดคลี่คลาย อันหลิงหยุน ก็ได้ติดตามกงชิงวี่กลับมาถึงเมืองหลวงพอดี
เมื่อได้พบกับซูมู่หรงอีกครั้ง เขาก็แก่จนหมดสภาพไปแล้ว เขานอนอยู่บนเตียงหลัวฮั่น เมื่อได้เห็นหน้าอันหลิงหยุน ก็ยกยิ้มอย่างโล่งอก
อันหลิงหยุนเดินไปนั่งลง: “อาจารย์”
ซูมู่หรงหันไปมองไทเฮาจุนเมิ่งที่อยู่ข้างๆ: “เมิ่งเอ๋อ เจ้าก็นั่งลงเถอะ!”
จุนไทเฮาในยามนี้ พระชนมายุได้แปดสิบชันษาแล้ว
จุนไทเฮาเช็ดน้ำตาแล้วนั่งลง ซูมู่หรงมองไปที่ใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของอันหลิงหยุน: “เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ข้าเริ่มรู้สึกเวียนหัวตาลาย จากนั้นก็เริ่มตื่นรู้ขึ้นมาแล้ว ตอนแรกยังคิดไปว่าคงเป็นความฝัน แต่แล้วข้าก็ค่อย ๆ รู้สึกแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ถึงได้รู้ว่าเป็นความจริง เวลานี้ข้าเองก็มีเวลาเหลือไม่มากแล้ว
การได้พบกับเจ้าอีกครั้ง สำหรับข้าแล้ว ถือได้ว่าเป็นเรื่องยากเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว
ชีวิตในสามชาติภพนี้ของข้า คิด ๆ ดูแล้วช่างครบพร้อมและมีสีสันเหลือเกิน สิ่งเดียวที่ปรารถนาแต่ไม่ได้มาก็คือเจ้าแล้ว
แต่สวรรค์ก็ไม่ทอดทิ้งข้า ให้ข้าได้มาพบกับจุนเมิ่ง
ซูมู่หรงพิศมองจุนไทเฮาครู่หนึ่ง พูดขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า : “ข้าตายไปก็ไม่นับเป็นอะไรได้ แต่ข้ากลัวว่านางจะต้องอยู่ในวังแห่งนี้คนเดียวเพียงลำพัง ไม่มีใครให้พึ่งพิง ย้อนนึกไปถึงตอนที่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่จากไปพร้อมกัน ในใจข้าก็แอบหลงเหลือความหวาดกลัวอยู่
อายุขัยของข้ามาถึงขีดจำกัดแล้ว ข้าเคยตายมาหลายครั้งเหลือเกิน ที่จริงข้าก็ไม่สนใจความเป็นความตายนักหรอก แค่เป็นห่วงว่าหลังจากที่ข้าตายไป จุนเมิ่งก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ข้าสงสารนาง! ”
“อาจารย์ ท่านก็รู้ว่าโชคชะตาเป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง ยิ่งเรื่องความเป็นความตายจะปัดป้องเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรกัน ท่านมีความทรงจำมากมายอยู่ในวังแห่งนี้ หลังจากที่ท่านจากไป จุนเมิ่งก็จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างดีเป็นแน่ นางยังมีลูกอีกเป็นพรวนที่ต้องเลี้ยงดูไม่ใช่หรือ?”
“ พูดไปแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆนั่นล่ะ แต่ข้าก็ยังอดกังวลใจไม่ได้”
“ เช่นนั้นข้าเองก็ช่วยท่านไม่ได้แล้วล่ะ”
อันหลิงหยุนรู้สึกจนใจอย่างมาก ซูมู่หรงมองดูอันหลิงหยุนครู่หนึ่ง: ” หยุนหยุน หวังว่าชาติหน้าข้าจะไม่ต้องพบกับเจ้าอีก ข้าอยากพาจุนเมิ่งไปพร้อมกัน เจ้าพอจะช่วยให้ข้ายืด
ชีวิตอยู่ต่อในวังนี้ไปอีกหน่อยได้หรือไม่ ตอนนั้นเจ้าคำนวณโชคชะตาของจุนเมิ่ง ว่านางมีดวงชะตาหงส์ จะมีชีวิตอยู่ไปจนถึงอายุเจ็ดสิบ ข้าลองคำนวณดูแล้ว ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งปี ข้าอยากรอให้ได้แค่หนึ่งปีเท่านั้น ”
“ไม่มีทางแล้วจริงๆ ข้าช่วยไม่ได้จริงๆ”
อันหลิงหยุนไม่เข้าใจ ทั้ง ๆ ที่มาถึงขั้นนี้แล้ว ทำไมซูมู่หรงถึงยังดื้อรั้นต่อไปขนาดนี้อีก
“ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จุนเมิ่งรู้แค่ว่าข้าคือกงชิงยี่เหริน ไม่เคยรู้ว่าข้าคือซูมู่หรง ข้าอยากให้นางได้ใกล้ชิดกับซูมู่หรงบ้าง แค่นั้นก็ยังไม่ได้เลยเชียวหรือ? หรือจะบอกว่า เจ้าสามารถดูข้าตายไปต่อหน้าต่อตา โดยไม่สนใจข้าเลยก็ได้อย่างนั้นหรือ?”
“….. ” อันหลิงหยุนไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายขนาดนี้มาก่อนเลยจริง ๆ ชั่วเวลานั้นเอง ที่อันหลิงหยุนนึกอยากให้ซูมู่หรงตายไปแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตายแบบไม่ต้องฟื้นขึ้นมาอีกเลย
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองไปยังจุนไทเฮา ซึ่งกำลังร้องไห้จนแทบจะกลายเป็นมนุษย์น้ำตาอยู่แล้ว นางก็เปลี่ยนใจขึ้นมาในตอนท้าย
ความรักคำนี้ ช่างเป็นคำที่ทำร้ายลึกถึงเนื้อฝังถึงกระดูกยิ่งนัก หากไม่ไปแตะต้องก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าไปแตะต้องเมื่อไหร่ ก็มีแต่แพ้ทั้งกระดานก็เท่านั้น
เป็นเรื่องยากที่ซูมู่หรงจะเรียกสติตัวเองได้คมชัดถึงขนาดนี้ นางจะโจมตีเขาต่อก็คงไม่ค่อยเหมาะแล้วจริงๆ
เมื่อเห็นจุนไทเฮาเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างสุดจะกลั้น ทั้งยังเห็นดวงตาคู่นั้นของซูมู่หรงที่สาดฉายแววแห่งความทุกข์โศกโศกา ประหนึ่งว่าพื้นดิน ท้องฟ้า มหาสมุทรอันแสนรักยิ่งกำลังสั่นสะเทือนทรุดถล่มลงตรงหน้า อันหลิงหยุนก็มีอันต้องสูดหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกใหญ่เลยทีเดียว
คนพวกนี้นี่หนอ ช่างเห็นแก่ตัวกันเสียจริง ทำเป็นพูดดีกับนาง แต่แท้ที่จริงแล้วก็แค่ต้องการใช้ประโยชน์จากนางกันทั้งนั้น
ช่างเถอะ! ใช้ประโยชน์ก็ใช้ประโยชน์ไปสิ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายอะไรมากมายอยู่แล้ว
อย่างที่ซู่มู่หรงว่าไว้จริง ๆ เลือดของนางทำงานอย่างขยันหมั่นเพียร ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อะไรที่เสื่อมสลายหายไปก็กลับมามีดังเก่า ทั้งยังทำให้คนไม่ตายอีกด้วย
“หยุนหยุน ที่ผ่านมาข้าทำตัวอย่างไรต่อเจ้าหรือ?” ซูมู่หรงหงายไพ่คนน่าสงสารทันที อันหลิงหยุนมองดูจนคลื่นไส้ ขนลุกขนพองไปทั้งเนื้อทั้งตัว
“ อาจารย์ อายุท่านก็ปาเข้าไปจนปูนนี้แล้ว มีชีวิตมาเกือบ ๆ ร้อยกว่าปีได้แล้วกระมัง? ยังกล้าพูดอะไรที่ฟังดูไร้ยางอายขนาดนี้ออกมาได้อีกนะ ข้าแทบจะขอก้มหัวประนมนิ้วทั้งห้า กราบคารวะด้วยความชื่นชมเลยจริงๆ!”
เจออันหลิงหยุนพูดใส่เข้าไปอย่างนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าแก่ ๆ ของซูมู่หรงถึงกับจางหายไปทันที
จุนไทเฮาสูดน้ำมูกถี่ๆ ลุกจากที่นั่งเตรียมจะคุกเข่าให้กับอันหลิงหยุน อันหลิงหยุนรีบยื่นมือออกมาหยุดนางไว้: “ท่านรีบลุกขึ้นเร็วเข้า อายุท่านจนปูนนี้แล้ว จะคุกเข่าให้ข้าได้อย่างไรกัน ตอนนั้นท่านคุกเข่าให้อ๋องเสียน ยังเกือบจะทำให้เขาถูกฟ้าผ่าตายอยู่แล้ว ยิ่งมาคุกเข่าให้ข้าอีก ข้าจะรับอย่างไรไหว? ”
“ไท่ซ่างหวางแทบจะฝืนต่อไปไม่ไหวแล้ว มีเพียงพระชายาเสียนเท่านั้น ที่สามารถช่วยเขาได้ ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่นานขึ้นอีกวันหรอก มอบชีวิตของข้าให้เขาไปเสียเถอะ เขาเล่าเรื่องราวอะไรหลายอย่างให้ข้าฟัง ข้ารู้ว่าเขาไม่ได้หลอกข้า แต่เขายังบอกด้วยว่า พวกเราไม่ได้รู้จักกันจริงๆ ”
จุนไทเฮาพูดจนอันหลิงหยุนแสดงสีหน้าว่ารู้สึกประทับใจออกมา นางถอนหายใจเฮือก พลางมองดูซูมู่หรง : “ทำไมถึงต้องทำอย่างนี้ด้วยล่ะ ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร นางก็เป็นฮองเฮาของท่านนะ นางรักท่าน ! ทำไมถึงต้องใส่ใจมากมายว่าจะเป็นกงชิงยี่เหริน หรือว่าจะเป็นซูมู่หรงด้วย ? หรือความรักที่นางมีต่อท่าน มันยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยสิ่งเหล่านี้อีกอย่างนั้นหรือ? ”
“ แต่ข้าอยากจะมอบทุกอย่างที่มีให้กับนาง ทั้งชาติก่อน ชาตินี้ หรือกระทั่งชาติหน้า รวมไปถึงเจ้าด้วย”
“….. ”
จู่ๆก็ปรากฏเสียงดัง “โครม” เสียงหนึ่งดังสนั่นขึ้นมา โต๊ะที่อยู่อีกด้านก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยง ๆ ไม่ใช่แค่การตบแล้วแตกออกแบบธรรมดาเท่านั้น แต่มันแตกละเอียดชนิดถูกป่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเลยทีเดียว อันหลิงหยุนยังตกใจจนถึงกับผงะไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆ
คนในวังต่างแตกตื่นตกใจหวาดผวากันไม่น้อย แต่ในเวลานี้ ไม่ว่าใครต่างก็ไม่กล้าส่งเสียงออกมากันสักแอะ
ได้ยินคำเรียกว่าพระชายาเสียน แต่ฟังคำร่ำลือผู้คนเล่าขานสืบต่อกันมาว่า นับตั้งแต่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ก่อตั้งประเทศเหลียงแห่งนี้ขึ้นมา อ๋องซื่อเจิ้นกงชิงวี่ ก็มีพระชายาเพียงองค์เดียวเท่านั้น คือพระชายาเสียน แต่ถ้านับมาถึงตอนนี้ นางควรอายุหนึ่งร้อย หรือไม่ก็เกือบสองร้อยปีได้แล้ว ทุกคนต่างตื่นตระหนกตกตะลึงกันไม่น้อย เมื่อคิดถึงข้อเท็จจริงข้อนี้
“เก็บกวาดโต๊ะนั่นให้เรียบร้อย แล้วไปเตรียมชามาให้พระชายาเสียนด้วย ” อันหลิงหยุนเก็บอารมณ์ให้สงบนิ่งเข้าไว้ หันไปจิกตาใส่กงชิงวี่ด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
กงชิงวี่จึงยอมเงียบสงบลงมาได้
จุนไทเฮานั่งลง เช็ดน้ำตาแล้วมองไปที่ซูมู่หรง: “หม่อมฉันไม่สนว่าท่านจะเป็นใคร หม่อมฉันรู้เพียงแค่ว่า ท่านเป็นไท่ซ่างหวางของหม่อมฉันเท่านั้นก็พอแล้วเพคะ”
ใบหน้าแก่ ๆ ของซูมู่หรง แลดูน่าขบขันขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง: “แต่ข้ายังไม่ได้อยู่กับเจ้ามากพอเลยนะ”
“… ” จุนไทเฮาก้มหน้า รู้สึกขวยอายขึ้นมาเล็กน้อย อันหลิงหยุนพบว่า เมื่อผู้ชายคนนี้ชอบใคร ไม่ว่าคำหวานเลี่ยนหยดย้อยขนาดไหน เขาก็สามารถพูดออกมาได้หมดจริงๆ แต่ถ้าเขาไม่ชอบแล้วล่ะก็ ไม่ว่าอะไรก็ไม่มีให้สักอย่าง
เมื่อหวนนึกไปถึงเรื่องดีงามพรรค์นั้นของกงชิงวี่ ในตอนนั้นที่เขาฆ่าเสี่ยวหยุนตาย เหตุผลก็เพียงเพราะเขาไม่ชอบเสี่ยวหยุน
สิ่งที่เรียกว่าผู้ชาย ช่างเป็นอะไรที่สุดยอดเสียจริง!
อันหลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงหันมองไปที่คนในวังทั้งหลาย แล้วพูดว่า “ทุกคนถอยออกไปก่อนเถอะ”
สีหน้าของกงชิงวี่ดูไม่สู้ดีนัก มองใบหน้าแก่ชราที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของซูมู่หรง แล้วพูดใส่หน้าไปว่า : “จะตายก็รีบตายไปเร็วๆซะ!”
ซูมู่หรงหันไปมองกงชิงวี่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ผลลัพธ์ยังคงก้ำกึ่งไม่แน่นอน!
จุนไทเฮาแอบกังวลใจไม่หาย นางมักรู้สึกอยู่เสมอว่า กงชิงวี่เป็นคนที่เข้าหาได้ยาก ไม่ค่อยเป็นมิตรกับใคร ทุกครั้งที่พบหน้า ก็มีแต่อยากจะฆ่าคนสถานเดียว
อันหลิงหยุนยังคงท่าทีเมินเฉยต่อกงชิงวี่ ทุกคนออกไปตามคำสั่ง อันหลิงหยุนรู้ว่า ซูมู่หรงรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
แต่นางเป็นคนขี้ใจอ่อน จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ?
ดังนั้นนางจึงนำมีดออกมา กรีดเข้าที่ข้อมือ แล้วบีบเปิดปากซูมู่หรงออก ให้เขาดื่มเลือดเข้าไป