ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ - บทที่ 112
ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 112
พระสนมเหมยกล่าวอย่างเย็นชา “วันนี้นางก็กลับจวนแล้ว เจ้ามีโอกาสมากมายที่จะได้ฆ่านาง”
มหาเสนาบดีเซี่ยส่ายหัว “ไม่อาจลงมือที่จวนได้พ่ะย่ะค่ะ หากนางตายที่จวน ข้าจะถูกสงสัย”
“งั้นลงมือในวัง ข้าจะไม่ถูกสงสัยงั้นสิ? พระสนมอี๋ไม่ใช่คนโง่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางจะไม่เชื่อใจข้าอีก” พระสนมเหมยขุ่นเคืองพระทัยเป็นอย่างมาก มีความสัมพันธ์อันดีกับพระสนมอี๋มาตั้งหลายปี ไม่ง่ายเลยที่จะเป็นเพื่อนกับนาง กลับคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เรื่องราวต้องมาลงเอยแบบนี้
มหาเสนาบดีเซี่ยมองไปที่นาง เขาไม่เข้าใจอาการที่ทั้งนอบน้อมและระมัดระวังเช่นนั้น เขาเพียงจองหองและต่อต้าน “พระสนมพ่ะย่ะค่ะ ท่านควรติดต่อกับพระสนมอี๋ให้น้อยลงหน่อย นางน่ะซับซ้อน พระนางเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง”
พระสนมเหมยโบกมือ “พอเถอะ เจ้ากลับไปได้แล้ว”
มหาเสนาบดีเซี่ยมองไปรอบ ๆ “เซี่ยหลินล่ะ?”
พระสนมเหมยกล่าว “เจ้าเพิ่งจะไล่ให้เขาออกไปเล่นที่ด้านนอกมิใช่หรือ?”
มหาเสนาบดีเซี่ยโมโหมาก “เจ้าเด็กโง่นี่ สร้างแต่ปัญหาให้กระหม่อม”
พระสนมเหมยเรียกนางข้าหลวงเข้ามา และให้นางไปตามหาเซี่ยหลิน
นางข้าหลวงเพิ่งออกไป จื่ออานก็มาถึง
อาฟาที่เห็นจื่ออาน ดวงตาเป็นประกาย ในมือถือดาบไว้มั่น แต่กลับต้องคลายมือลง
ฆ่าคนในพระตำหนักเยว่ชิงน่ะเหรอ เขาไม่ได้โง่ขนาดนั้น
จื่ออานกวาดสายตามองไปที่ใบหน้าของเขาอย่างเฉยชา นางหันกลับไปทันทีแล้วกล่าวถามนางข้าหลวงที่อยู่ตรงประตูพระตำหนัก “โปรดไปรายงานพระสนมเหมย บอกพระนางว่า จื่ออานมากราบทูลลา”
นางข้าหลวงมองนางแล้วมองนางอีกแล้วกล่าว “ท่านรอสักครู่”
พูดจบนางข้าหลวงก็หันหลังเดินเข้าไปด้านใน
พระสนมเหมยที่ได้ยินว่าจื่ออานมา ก็รู้สึกวิตกเป็นอย่างยิ่ง มองไปที่มหาเสนาบดีเซี่ย “นางจะรู้เรื่องอะไรไหม?”
มหาเสนาบดีเซี่ย “รู้ แล้วจะยังไง?”
พระสนมเหมยลองไตร่ตรองดูมันก็จริง รู้แล้วจะยังไงล่ะ? เป็นไปได้เหรอที่นางจะก่อความวุ่นวายในวัง?
“เจ้าไปซ่อนตัวก่อนเถิด” พระสนมเหมยกล่าว
มหาเสนาบดีเซี่ยกล่าวอย่างเยือกเย็น “ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน กระหม่อมเองก็อยากรู้ว่านางจะพูดว่าอย่างไร อีกทั้งยังได้ปลอมตัวแล้ว นางจำกระหม่อมไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมเหมยกล่าวเพียงว่า “งั้นก็แล้วแต่เจ้าเลยละกัน”
นางนั่งบนเก้าอี้ เรียกตัวจื่ออานเข้ามาในพระตำหนัก
ม่านมุกดังขึ้น คนยังไม่ทันเข้ามา พระสนมเหมยก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ นางมองไปที่ม่านมุกที่ย้อมสามสี ใบหน้าที่แลดูสงบก็ปรากฎขึ้น หน้าที่ทาแป้งอ่อน ๆ มานั้น มันโปร่งแสงจนเห็นความขาวซีด คางแหลม ๆ เงยขึ้นมาเล็กน้อย แผ่รัศมีที่เด็ดเดี่ยว นางมองไปด้านบน ดวงตาราวกับบ่อน้ำโบราณ มันสงบเกินกว่าจะมองเห็นระลอกคลื่น
ในใจของพระสนมเหมยรู้สึกกลัวเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเช่นนี้มันทำให้นางหวาดหวั่น เซี่ยจื่ออานอยู่ที่จวนมหาเสนาบดีก็ไม่มีความก้าวหน้าอะไรมาโดยตลอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่วงท่าที่สง่างาม ภาวะอารมณ์ และอื่น ๆ
นิสัยของนางก็คือใจเสาะเอาเสียมาก ๆ แม้จะบอกว่าสองสามวันที่เข้าวังมานี้ดูแล้วจะไม่เหมือนตัวนางในอดีต แต่ก็ไม่เหมือนในวันนี้ แค่เพียงสายตาของนางก็ทำให้คนรู้สึกได้ถึงรัศมีที่แผ่ออกมาได้เต็ม ๆ
“จื่ออานถวายบังคมพระสนมเหมย!” นางเดินเข้าไปและค่อย ๆ ถวายบังคม
พระสนมเหมยยับยั้งอาการกลัวของตนเอง แล้วยิ้มเย้ยหยัน “จื่ออานมาแล้วเหรอ? ไม่ใช่ว่าเจ้าไปทูลลาหวงไท่โฮ่วหรอกหรือ?”
จื่ออานมองตรงไปยังนาง “เดิมทีก็เป็นเช่นนั้นเพคะ แต่เรื่องไม่คาดคิดขึ้นนิดหน่อย”
“เรื่องไม่คาดคิด?” เสียงหัวใจของพระสนมเหมยเต้นแรงดังตึกตักตึกตัก “เรื่องไม่คาดคิดอะไรเหรอ?”
จื่ออานเหลือบมองไปที่อีกด้าน ก็เห็นมหาเสนาบดีเซี่ยที่นั่งตัวตรงอยู่ แม้ว่าเขาจะปลอมตัวแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าไม่อาจปิดบังความจริงจากทุกคนได้
จื่ออานยกริมฝีปากขึ้น “ท่านพ่อก็อยู่ที่นี่ด้วย?”
มหาบดีเซี่ยนึกไม่ถึงว่านางเพียงมองแวบเดียวก็ดูออกแล้ว อดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงฮึออกมา “รู้ด้วยเหรอว่าข้าคือพ่อของเจ้า?”
น้ำเสียงจื่ออานห่างจากความเป็นธรรมชาติมาก “ท่านเป็นท่านพ่อของเซี่ยจื่ออานเสมอมา”