ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ - บทที่ 113
ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 113
คำพูดนี้เมื่อเข้าหูมหาเสนาบดีเซี่ย เขาก็พูดรุนแรงออกไปไม่ได้
พระสนมเหมยเมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไร ก็พูดต่อ “เจ้าเพิ่งพูดว่าเกิดเรื่องไม่คาดคิด มันคือเรื่องอะไร?”
จื่ออานหันกลับไปมองที่พระสนมเหมย “ตอนจื่ออานไปเข้าเฝ้าหวงไท่โฮ่ว ก็ได้ผ่านพระตำหนักของพระสนมอี๋ ได้เห็นเรื่องบางอย่าง พระนางอยากทราบหรือไม่ว่าเรื่องอะไร?”
ใบหน้าของพระสนมเหมยนิ่งเฉย หายใจลำบากเล็กน้อย “เรื่องอะไรกัน?”
จื่ออานยิ้ม รอยยิ้มของนางดูแปลกมาก “พระสนมเพคะ จื่ออานบอกพระนางได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”
พระสนมเหมยหยุดคิดไปครู่นึง “เจ้ามานี่ซิ!”
จื่ออานก้าวขึ้นไปทีละขั้นทีละขั้นจนถึงตรงหน้าพระพักตร์ของพระสนมเหมย จากนั้นโน้มลงไปที่ข้างหูนาง “ตอนที่หม่อมฉันอยู่ที่พระตำหนักอี๋หลานได้เห็นองค์รัชทายาทออกมาจากห้องบรรทมของพระสนมอี๋ จากนั้นหม่อมฉันก็บอกพระสนมอี๋ว่า พระสนมเหมยให้หม่อมฉันไปที่นั่นเพคะ”
สีหน้าของพระสนมเหมยเปลี่ยนไปทันที “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
จื่ออานแสยะยิ้ม รอยยิ้มนางช่างดูมืดมนและน่าขนลุก “หม่อมฉันบอกว่า พระสนมเหมยเจาะจงให้หม่อมฉันมาในยามนี้โดยเฉพาะเพคะ”
พระสนมเหมยกัดฟันพูด “เจ้า…”
ทั่วทั้งวังมีแต่นางผู้เดียวที่รู้เรื่องของพระสนมอี๋ ทว่านางก็พูดอะไรไม่ได้ ตอนนี้ฝ่าบาททรงประชวรหนัก เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ ฮองเฮาก็ต้องปิดบัง นางเองก็อาจถูกปิดปาก
พระสนมอี๋ก็รู้ว่านางไม่เปิดเผยให้ใครรู้แน่ เพียงกล่าวเตือนนางไม่กี่คำ
แต่ว่า หากวันนี้พระสนมอี๋คิดว่านางสั่งให้เซี่ยจื่ออานคนนอกผู้นี้ไปสอดแนม พระสนมอี๋จะคิดเห็นอย่างไร?
พระสนมเหมยจำใจต้องทำ
มหาเสนาบดีเซี่ยที่เห็นจื่ออานพูดที่ข้างหูพระสนมเหมยไม่กี่คำ สีหน้าพระนางก็เปลี่ยนไปมาก เขาลุกขึ้นทันที “พระสนม เป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ?”
จื่ออานแทบจะหันขวับไปมองในทันใด จ้องมองมหาเสนาบดีเซี่ยอย่างเย็นชา “ท่านพ่อสนใจเรื่องของบุตรสาวคนนี้ด้วยหรือ?”
มหาเสนาบดีเซี่ยกล่าวเสียงเข้ม “ท่าทางของเจ้าในตอนนี้นี่มันอะไรกัน? ใช่ท่าทางที่เจ้าควรใช้พูดกับผู้ที่อาวุโสกว่าหรือไม่?”
จื่ออานยิ้มเย็นยะเยือก “ท่านพ่อที่ปฏิบัติกับบุตรสาวตนเองแบบนี้เช่นท่านน่ะเหรอ? พวกเราอย่าสร้างภาพกันอีกเลย เรื่องราวทั้งหมดจนถึงตอนนี้ไม่จำเป็นต้องมาเสแสร้งกันแล้ว ข้าพูดให้ฟังไว้เลยนะ ท่านต้องการให้ข้าตาย ข้าเองก็ไม่มีวันให้ท่านมีชีวิตที่สงบสุขหรอก”
มหาเสนาบดีเซี่ยไม่คิดมาก่อนว่านางจะมีท่าทางที่แข็งกระด้างเช่นนี้ เขากล่าวอย่างเย็นชา “ตั้งแต่เรื่องการถอนหมั้นของเจ้าที่นำความอัปยศมาให้ข้าในวันนั้น ก็น่าจะรู้ว่าเจ้าจะได้รับการลงโทษเช่นไร พยายามทำลายข้า เจ้าเองก็จะมีจุดจบที่เลวร้าย”
“ข้ายังมีทางให้ไปเสมอ ข้าคงไม่มุทะลุเช่นเจ้าแบบนี้ เจ้าผลักข้าเข้าสู่ทางตัน ข้าก็พาเจ้าไปตายด้วยกัน ไม่ปล่อยให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างสงบสุขบนโลกใบนี้โดยเด็ดขาด”
มหาเสนาบดีเซี่ยจ้องเขม็งด้วยความโกรธ หน้าอกของเขาผนึกไว้ด้วยไฟแห่งความแค้นจนแทบจะหายใจไม่ออก
พระสนมเหมยที่ได้ยินการสนทนาของทั้งสองคน ในใจก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง นี่มันเหมือนการสนทนาระหว่างพ่อลูกเสียที่ไหน? มันคือความเกลียดชังที่มันฝังรากหยั่งลึกชัด ๆ
เป็นอีกครั้งแล้วที่นางคิดว่านางโง่มากที่เข้าไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็ตะโกนออกไป “รีบไปดูหน่อยซิ ว่าเจอตัวเซี่ยหลินแล้วหรือยัง?”
พระสนมเหมยคิดว่า ตนเองไม่สามารถจะยั่วยุเซี่ยจื่ออานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้สถานการณ์ของนางในวังยังคงไม่ชัดเจน แค่คำพูดเล็กน้อย ก็ทำให้นางออกมาจากพระตำหนักของพระสนมอี๋ได้แล้ว คนไปสกัดจับมากมายขนาดนั้น แต่ก็ไม่มีใครสามารถฆ่านางได้
พระสนมอี๋ส่งคนไปฆ่านางมากมายและอาจไปทำให้ทางพระหนักซีเวยรู้เรื่อง รู้ว่าเซี่ยจื่ออานจะต้องรับรู้เรื่องพระสนมอี๋กับองค์รัชทายาท หากตอนนี้เซี่ยจื่ออานโยนเรื่องทั้งหมดมาให้นาง อีกทั้งนางยังเป็นญาติกับตระกูลเซี่ยอีก พระสนมอี๋ต้องมีความคิดอะไรอยู่ในใจแล้วอย่างแน่นอน
จื่ออานเมื่อได้ยินเซี่ยหลินสองคำนี้ ใจก็เจ็บเหมือนถูกฉีกออก นางถอยหลังหนึ่งก้าว แล้วถวายบังคมพระสนมเหมย “หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ”
มหาเสนาบดีเซี่ยยกมือขึ้นหยุดนางไว้ นึกถึงท่าทางอวดดีของนาง ในใจก็โกรธขึ้นมาทันที ยกมือขึ้นมาจะตบหน้านาง
จื่ออานจับข้อมือเขาไว้ จับไว้แน่นเหมือนเหล็กกล้าที่ยึดมือเขาไว้จนเขาขยับไม่ได้ มหาเสนาบดีรู้สึกเซี่ยประหลาดใจ “เจ้า…”
นัยน์ตาของจื่ออานแผดเผาไปด้วยไฟที่โหมกระหน่ำ นางที่อยู่เบื้องหน้าเขาเหมือนมีป้อมปราการเพลิงขวางกั้น มหาเสนาบดีเซี่ยรู้สึกว่าแทบจะมองรูปร่างหน้าตานางได้ไม่ชัดเจน หน้าตานั้นดูเหมือนอยู่ห่างไกลออกไปมาก