ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ - บทที่ 125
ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 125
ณ เวลานี้ มีผู้มาเยือนคนหนึ่ง แต่งกายด้วยชุดหมังผาวสีดำ ทรงมงกุฎ คาดเอวด้วยเข็มขัดหยก บนหน้าผากมีรอยแผลเป็นลากยาวไปจนถึงกลางคิ้วข้างซ้าย ใบหน้าน่ารักที่ดูเด็ดเดี่ยว นัยน์ตามราวกับประกายไฟ
หลังจากที่เขาและองค์ชายอานผลัดเปลี่ยนกันส่งสายตาให้แล้ว เขาก็ยืนอยู่ข้าง ๆ จื่ออานไม่ทันสังเกตว่าเขานั้นใจจดใจจ่ออยู่กับการเย็บด้ายทีละเส้นทีละเส้นบนร่างกายของมู่หรงเจี๋ย
หัวของเธอนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ มู่หรงจ้วงจ้วงจึงซับออกให้เธอ ราวกับว่าเป็นภรรยาคนหนึ่งที่คอยดูแลอยู่ข้าง ๆ
การเย็บแผลต่อเนื่องกันเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ไม่ว่าจะมีฝีมือชำนาญมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถต้านทานความล้าหลังของเครื่องมือได้
เมื่อจื่ออานยืนขึ้น ร่างกายก็ไม่สามารถประคองตัวได้ ตรงหน้ามืดสนิท จนแทบจะเป็นลมล้มพับไปกับพื้น
คนที่เพิ่งมายื่นมือออกมาพยุงตัวจื่ออานเอาไว้ และกล่าวเรียบ ๆ “ระวังหน่อย”
จื่ออานเย็บแผลจนมือทั้งสองข้างนั้นสั่นไปหมด พอวางไว้บนข้อมือของเขาคนนั้น ก็หยุดสั่นไม่ได้
ใบหน้าของเธอนั้นเป็นประเภทที่ว่าหมองมัวและซีดขาว เมื่อเหลือบมองเขา ก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าการที่ชายหญิงถูกเนื้อต้องตัวกันเป็นเรื่องที่ไม่ดี เธอจึงรีบปล่อยตัวเขาทันที
มู่หรงจ้วงจ้วงยกเก้าอี้มาให้จื่ออานนั่ง และยังส่งน้ำมาให้เธอดื่มอย่างรู้ใจ จากนั้นก็มองจื่ออานด้วยน้ำตา “เจ้าเจ็ดเป็นอย่างไรบ้าง?”
จื่ออานดื่มน้ำในแก้วจนหมด จากนั้นก็วางแก้วลงแล้วผสานมือทั้งสองข้างไว้ เพื่อควบคุมความสั่น เมื่อได้ฟังคำถามของมู่หรงจ้วงจ้วง ทุกคนต่างพากันรอคำตอบจากเธอ
เขาเป็นยังไงบ้าง?
เธอเองก็ไม่รู้เลย
เธอหันกลับไปมองเขาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เขาแน่นิ่งราวกับตุ๊กตาที่พังไปแล้ว ถึงขนาดนั้นว่าแม้แต่ลมหายใจก็มองไม่เห็น
“หลังจากเวลาครึ่งชั่วยาม ข้าจะลงเข็มบนจุดฝังเข็มให้เขา” เธอไม่อยากอธิบายว่าจะแทงเข้าไปที่ไขกระดูกด้านหลังของเขา เพื่อไปกระตุ้นเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดให้สร้างเลือด เมื่อบอกพวกเขาไปว่าจะลงเข็มบนจุดฝังเข็ม พวกเขาจะได้ไม่มาซักไซ้อีก
มู่หรงจ้วงจ้วงถามด้วยเสียงอันสั่นเครือว่า “เจ้าเจ็ดจะตายไหม?”
จื่ออานมองมาที่นาง พอจะเปิดปากพูด กลับไม่รู้ว่าจะตอบนางอย่างไรดี
เป็นไปได้ มีโอกาสสูงมากที่เขาจะตาย
แต่ว่าเธอพูดไม่ได้ เธอไม่กล้าพูด และก็ไม่กล้ามีความศรัทธา
เธออยากจะบอกตัวเองว่า แม้ว่ามู่หรงเจี๋ยจะเป็นสามีของเธอในอนาคต แต่ก็ยังไม่มีคำบัญชาลงมา เรื่องนี้จึงยังไม่ได้รับการยืนยัน คนสองคนซึ่งไม่มีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน ความเป็นความตายของมู่หรงเจี๋ยไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอแม้แต่น้อย
อย่างมากก็แค่เสียที่พึ่งคนหนึ่งไป แต่เธอก็ยังสามารถต่อสู้กับมหาเสนาบดีเซี่ยได้ เธอมีความมั่นใจมากพอที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
“เซียวท่า คราที่แล้วที่เจ้ารบชนะกลับมา องค์จักรพรรดิตบรางวัลให้เจ้าด้วยโสมพันปีไม่ใช่รึ?” องค์ชายอานเห็นว่าจื่ออานไม่ได้ตอบคำถามมู่หรงจ้วงจ้วงกลับไป เลยถามเขาขึ้นมาทันที
เซียวท่าก็คือ ชายหนุ่มผู้สวมชุดหมังผาวที่เพิ่งมาเมื่อสักครู่
พอองค์ชายอานพูดมาแบบนี้ เขาก็เงยหน้าขึ้นมาทันที “มี อยู่ที่จวน ข้ายังไม่ได้กิน”
จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินออกไป พลางกล่าว “ข้าจะให้คนไปเอามา”
ซูชิงกล่าว “กระหม่อมจะขี่ม้าไปเอาพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบ ก็ออกไปด้วยกันเลย
มู่รงจ้วงจ้วงเอ่ยถามจื่ออานว่า “โสมใช้ได้งั้นรึ? ที่ตำหนักข้ามีโสมอยู่เป็นกอง แล้วก็บัวหิมะ และก็ยังมีสมุนไพรหายากอีกมากมายเลย”
จื่ออานกล่าว “โสมใช้ได้ ช่วยเติมเลือดลม”
ทางที่ดีที่สุดคือถ่ายเลือด หากถ่ายเลือดไม่ได้ ก็ทำได้เพียงแต่ใช้ยา
เซียวท่ากลับมาแล้ว เขามายืนอยู่ข้างเตียง แล้วมองมู่หรงเจี๋ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม รอยแผลเป็นบนหน้าผากที่ลากยาวไปจนถึงระหว่างคิ้วนั้นบิดเบี้ยว เรียกให้คนที่มองดูแล้วไม่ได้รู้สึกโหดร้าย แต่กลับเพิ่มความน่าเกรงขามเข้าไปอีก
“มีคนบาดเจ็บกี่คน? มีคนตายไหม?” องค์ชายอานก้าวเข้ามาถาม
เซียวท่ากล่าว “ตายไปหกคน ส่วนที่เหลือก็บาดเจ็บกันหมด ตอนที่ข้ารีบไปถึง พวกเขาก็ถูกซุ่มโจมตีแล้ว”
“ช่างเป็นแผนการที่ชั่วร้ายนัก!” องค์ชายอานกล่าวไปพลางกัดฟันแน่น