ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ - บทที่ 149
ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 149
เขาเริ่มจัดวางกำลังป้องกันและระดมกำลังทหารมาที่นี่
มู่หรงจ้วงจ้วงเดินออกมา ปาดน้ำตาแล้วถามว่า “ระดมกำลังทหารมาที่นี่ มันจะไม่ดูมีพิรุธหรอกหรือ?”
“อาการบาดเจ็บของอาเจี๋ย พวกเขาก็รู้เรื่องอยู่พอสมควรแล้ว ยอมให้พวกเขารู้แค่นี้ ดีกว่าให้พวกเขามั่นใจเรื่องอาเจี๋ยแล้วแพร่ข่าวออกไปทั่วหล้า” อ๋องอันมองไปข้างหน้า ตลอดมาเขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับงานบ้านงานเมืองเลย ทุกคนคิดว่าเขาไร้ประโยชน์ แต่ว่าจะต้องไม่มีใครสามารถเข้ามาแทรกแซงอำนาจการบริหารของตระกูลมู่หรงของเขาได้ ในร่างกายของเขา ยังมีสายพระโลหิตขององค์จักรพรรดิไหลเวียนอยู่
มู่หรงจ้วงจ้วงถาม “เชิญหวงจู่มู่มาดีหรือไม่”
อ๋องอันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัวอย่างช้า ๆ “ไม่ต้องช่วงนี้อย่าไปรบกวนท่านเลย และตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่านางอยู่ที่ไหนกันแน่ ในใจข้า…”
อ๋องอันอยากจะบอกว่าในใจเขายังคงมีความหวังอยู่ และความหวังนั้นคือการฝังเข็มของจื่ออานที่แข่งกับเวลาในจวนแม่ทัพตอนนั้น
เขามักจะรู้สึกว่า ที่จื่ออานทำแบบนั้นจะต้องรออะไรสักอย่างแน่
แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาของเขา ถ้าจื่ออานไม่ได้รออะไร งั้นหลังจากนี้ก็ต้องทำให้เสี่ยวกูกูผิดหวังอีกแล้ว
มู่หรงจ้วงจ้วงที่เศร้าอยู่ แต่ก็รู้สึกสงสัยอยู่เต็มเปี่ยม’ทำไมกุ้ยไท่เฟยถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้? ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่าตนเองจะรู้สึกว่านางไม่ค่อยพอใจหวงไท่โฮ่ว แต่ว่า นางไม่เคยแสดงความไม่พอใจเหล่านี้ออกมา นางถือว่าเป็นคนที่มองการณ์ไกล ทำไมถึงทำเรื่องเช่นนี้ได้? นอกจากนี้นางยังเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป เรื่องนี้จะเป็นภัยต่อการบริหารงานบ้านงานเมือง นางจะไม่รู้ได้เช่นไร? ”
ประเด็นนี้ก็ทำให้อ๋องอันงงมากเหมือนกัน แม้จะบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่เถาเต๋อจะถูกมอบหมายให้มาอยู่ข้างกายนาง และช่วยนางเรื่องพิธีกรรมสาปแช่งแต่ว่า ดูตามวิธีการที่ละเอียดรอบคอบก่อนก่อนหน้านี้ของนาง ไม่มีทางจะเชื่อใจใครโดยไม่รู้สึกสงสัยแบบนี้แน่
ยิ่งกว่านั้น นางยังมาถึงอาเจี๋ยในช่วงที่วิกฤติที่สุด แถมยังให้เถาเต๋อผู้นั้นวางค่ายกลอะไรนั่นอีก ช่างเป็นการกระทำที่เหลวไหลสิ้นดี
เมื่อดูจากการปฏิบัติของนางแล้ว พูดได้เพียงสองคำเลยว่า โง่เขลา
แต่ว่ากุ้ยไท่เฟยนั้นไม่ใช่คนที่โง่เขลา ตรงกันข้าม นางนั้นฉลาดมาก
ด้วยความสงสัยมากมายภายในใจ อ๋องอันรู้สึกว่าควรต้องตรวจสอบเถาเต๋อผู้นั้นให้ดีสักหน่อย และควรเริ่มจากคนข้างกายกุ้ยไท่เฟย ถามเกี่ยวกับพฤติกรรมในช่วงนี้ของกุ้ยไท่เฟยที่แลดูไม่ปกติ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็พูดกับจ้วงจ้วงว่า “เสี่ยวกูกู เจ้าลองคิดเรื่องไท่เฟยหน่อยสิ ช่วยติดต่อคนที่คอยรับใช้กุ้ยไท่เฟยอย่างใกล้ชิด แล้วถามว่าช่วงนี้นางมีความผิดปกติอะไรบ้าง”
จ้วงจ้วงเหลือบตามองอย่างสงสัย “ท่านสงสัยอะไร?”
“ไปถามก่อน จากนั้นเราค่อยมาพูดคุยกัน!”อ๋องอันกล่าว
“อย่างนั้นก็ได้! จ้วงจ้วงพยักหน้า พอนึกถึงเรื่องการตายของมู๋หรงเจี๋ยอีกครั้ง ความเศร้าโศกก็ถาโถมเข้ามาในใจทันที
รถม้าที่พาจื่ออานมารีบขับเคลื่อนออกจากเมืองไปยังภูเขาเฟยเทียนที่อยู่นอกเมือง
ภูเขาเฟยเทียนชื่อนี้ฟังดูไพเราะมาก หากไม่รู้คงคิดว่ามีเทพเซียนองค์ใดมาบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่เป็นแน่ แต่คนที่รู้เรื่องราวภายใน กลับรู้ว่าครึ่งหนึ่งของภูเขาเฟยเทียนแห่งนี้ มีสุสานขนาดใหญ่อยู่
ผู้คนในบริเวณใกล้เคียงจะไม่ไปที่ภูเขาเฟยเทียนเพราะที่นั่นไม่มีแสงแดดตลอดทั้งปี พลังยินมีมากเกินไป แม้ว่าระหว่างทางที่มาที่นี่ จะเต็มไปด้วยแสงแดดสาดส่อง แต่พอมาถึงสุสานแล้ว แสงแดดได้มลายหายไป
รถม้าหยุดที่ใต้เขา องครักษ์ทั้งสองลากจื่ออานลงมา
ใต้ภูเขามีแสงแดดส่องถึงอย่างเต็มที และดวงอาทิตย์ก็แผดเผาอย่างโหดร้าย แม้ว่าจื่ออานจะถูกมัด แต่นางก็ยังสามารถใช้การเสียดสีของนิ้วทั้งสองเพื่อหมุนปุ่มชาร์จของแหวนแห่งจิตวิญญาณ
เส้นทางบนภูเขาขรุขระ จื่ออานแสร้งทำว่ายังเวียนหัว จะเป็นหรือตายก็ไม่ยอมใช้กำลัง ดังนั้นนางจึงถูกลากไปเกือบครึ่งทาง
นางให้วิเคราะห์สภาพท้องที่บริเวณใกล้เคียงโดยรอบอย่างละเอียด บนภูเขามีป่าทึบมากมาย ซึ่งหมายความว่าเมื่อขึ้นไปบนภูเขาแล้ว ดวงอาทิตย์จะส่องแสงไปไม่ถึง แม้ว่าจะมีแสงแดดประปรายก็ตาม แต่ว่าก็ไม่เพียงพอ แหวนแห่งจิตวิญญาณก็ไม่อาจดูดซับพลังงานได้มากเกินไป ดังนั้นแม้การถูกลากไปแบบนี้จะรู้สึกทรมานมาก แต่ว่านางหวังให้พวกเขาลากนานอีกสักหน่อย