ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ - บทที่ 201
ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 201
ทุกคนต่างมองไปที่มู่หรงเจี๋ย การยั่วยุขององค์รัชทายาทเห็นได้ชัดว่าจงใจยั่วโมโหเขา แม้ว่าเขาจะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ จึงสามารถดุและสั่งสอนองค์รัชทายาทได้ แต่ที่กล่าวว่าไม่รู้ว่าเขาจะสามารถนั่งบนตำแหน่งรัชทายาทได้อีกนานแค่ไหนนั้น คำพูดพวกนี้ดูออกจะทำเกินอำนาจไปสักหน่อย อันที่จริงแล้วคำพูดนี้มีเพียงองค์จักรพรรดิเท่านั้นที่จะสามารถพูดได้
เขาวางท่าเป็นองค์จักรพรรดิใช้อำนาจจัดการงานราชกิจ แต่ยังไงเขาก็ไม่ใช่องค์จักรพรรดิอยู่ดี
มู่หรงเจี๋ยก็ไม่ได้โกรธเคืองแม้แต่น้อย เขาเพิ่งสั่งให้คนไปเชิญตัวเปากงกงผู้ซึ่งเป็นข้ารับใช้ของฝ่าบาทกลับมา เปากงกงปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทมานานหลายปี ทั้งยังเคยปรนนิบัติรับใช้องค์จักรพรรดิพระองค์ก่อน เป็นผู้อาวุโสในวัง ขนาดหวงไท่โฮ่วยังต้องไว้หน้าเขาหลายส่วน
เปากงกงมาถึงก็โค้งตัวคำนับแล้วกล่าว “ถวายบังคมฮองเฮา ถวายบังคมท่านอ๋อง”
“ลุกขึ้น!” ฮองเฮามองมู่หรงเจี๋ยอย่างไม่พอใจ “เปากงกงกำลังถวายการปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทอยู่ เจ้าให้เขามาทำไม?”
มู่หรงเจี๋ยไม่ได้ตอบกลับฮองเฮา เพียงแต่กล่าวว่า “เปากงกง อัญเชิญพระราชโองการฉบับที่สองของฝ่าบาท”
ดูเหมือนว่าเปากงกงได้เตรียมการไว้อยู่แล้ว ตอบรับแล้วกล่าว “เร็วเข้า อัญเชิญพระราชโองการฉบับที่สองของฝ่าบาท”
พระราชโองการฉบับแรกของฝ่าบาทก็คือ ประกาศให้มู่หรงเจี๋ยเป็นผู้ดูแลปกครองบ้านเมืองแทน และมอบหมายงานบางเรื่องให้ไปทำ แต่ทุกคนก็ไม่รู้ว่ามีพระราชโองการฉบับที่สองนี้ด้วย
ทุกคนต่างมองหน้ากัน แม้กระทั่งเหลียงไท่ฟู่ก็มองไปที่ฮองเฮาโดยไม่รู้ตัว ใบหน้านางแลดูว่างเปล่า จากนั้นก็ถามมู่หรงเจี๋ย “พระราชโองการฉบับที่สองคืออะไร? ฝ่าบาทยังมีพระราชโองการฉบับที่สองอีกหรือ?”
มู่หรงเจี๋ยกล่าวอย่างเฉยเมย “ไม่ได้เป็นแค่ฉบับที่สอง?”
ทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ สีพระพักตร์ของฮองเฮาก็ซีดเผือด และนางก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ พระราชโองการฉบับนี้จะกล่าวถึงเรื่องอะไร นางแทบจะคาดเดาได้
เป็นอย่างที่คาดไว้ เปากงกงประกาศพระราชโองการ “ด้วยโองการแห่งฟ้า องค์จักรพรรดิทรงมีพระบัญชาว่า ข้าพเจ้าป่วยไข้เรื้อรังมาเป็นเวลานาน ไม่วี่แววว่าอาการจะดีขึ้น จึงมอบหมายให้มู่หรงเจี๋ยบริหารบ้านเมือง เป็นผู้สำเร็จราชการดูแลปกครองบ้านเมือง บริหารงานบ้านเมืองเป็นการชั่วคราว หากข้าสิ้นชีพิตักษัย ก็ให้ผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิช่วยส่งเสริมให้องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ ข้าเป็นห่วงแต่ว่าองค์รัชทายาทยังอ่อนเยาว์ทั้งยังดื้อรั้นไม่ฟังคำสั่งสอน และในเวลานี้ข้าพเจ้าไม่อาจอบรมสั่งสอนเขาได้ เป็นเหตุให้เขาดื้อรั้นทำตัวเหลวไหล เพื่อแผ่นดินต้าโจว จึงแจ้งให้เหล่าขุนนางทราบว่าหากองค์รัชทายาทประพฤติชั่ว กระทำละเมิดต่อกฎหมายของบ้านเมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่มีการปรับปรุงแก้ไขตนเอง ข้าพเจ้าก็มิอาจทนได้ หากเป็นเช่นนั้นผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิสามารถลิดรอนอำนาจขององค์รัชทายาทได้…”
องค์รัชทายาททรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ พูดพึมพำ ๆ “เป็นไปไม่ได้ เสด็จพ่อไม่มีทางออกพระราชโองการเช่นนี้”
มู่หรงเจี๋ยมีทีท่าเย็นชา หลังจากเปากงกงอ่านพระราชโองการเสร็จแล้ว ก็ได้เชิญตัวเขากลับไป
เซี่ยหว่านเอ๋อชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคว้าตัวฮูหยินหลิงหลงไว้แน่น “นี่มันเรื่องอะไรกัน? จะปลดเขาออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาทหรือ? ไม่ ไม่ได้นะ”
ถ้าเขาถูกปลด นางก็จะไม่ใช่พระชายาขององค์รัชทายาทอีก และตอนนี้นางกับองค์รัชทายาทก็
…
เมื่อมหาเสนาบดีเซี่ยได้ยินคำพูดนั้น เขาก็มองดูเซี่ยหว่านเอ๋อด้วยสายตาที่ดุร้าย แล้วตวาดขึ้นด้วยน้ําเสียงที่เดือดดาล “หุบปาก!”
เมื่อมีพระราชโองการนี้ออกมา หัวใจของมหาเสนาบดีเซี่ยก็หนาวสั่น มู่หรงเจี๋ยมีอำนาจที่จะปลดองค์รัชทายาท ซึ่งมันก็หมายความว่า แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะสิ้นพระชนม์ องค์รัชทายาทก็อาจจะไม่ถูกเลือกให้เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์
หลังจากที่องค์รัชทายาทได้รู้สึกผิดไปแล้วนั้น เขาก็กล่าวอย่างแข็งกร้าวว่า “ในพระราชโองการเสด็จพ่อตรัสว่าหากข้าฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมือง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่ปรับปรุงแก้ไขตนเองถึงจะสามารถลิดรอนอำนาจข้าได้ ท่านอัญเชิญพระราชโองการมาในตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์ แม้ว่าข้าจะไม่ปรีชาสามารถ แต่ก็ไม่ได้ละเมิดต่อกฎหมายบ้านเมือง”
มู่หรงเจี๋ยกล่าวด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์ “เจ้ากับไป๋เย่ลักลอบระดมทหารและม้าโดยพละการ และเจ้ายังไม่ใช่คนของกองทัพ ข้าจึงสั่งโบยเจ้าสามสิบที ส่วนไป๋เย่นั่น…”
เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เหลียงไท่ฟู่ รัศมีความโหดร้ายแผ่ออกจากดวงตาเขา “สังหารให้สิ้นซาก!”
ซูชิงที่ยืนอยู่ตรงนั้นตลอด รับคำสั่งและจากไป
ริมฝีปากของเหลียงไท่ฟู่ขยับอยู่สองสามครั้ง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่พูดอะไร เพียงแค่ถอยหลังกลับไป ใบหน้าแลดูหม่นหมอง