ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ - บทที่ 277
ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 277
หลิวหลิ่วกับเซียวท่า “เมื่อได้พบหน้าอย่างเป็นทางการครั้งแรกนั้น” นางกลับไม่ค่อยพอใจ
เมื่อกลับจวนมหาเสนาบดีกับจื่ออันแล้วจึงเริ่มเอ่ยถึงสาเหตุ
ตอนที่แม่นมหยางนำชาเข้ามานั้น พบว่าบนมือของจื่ออันมีบาดแผล จึงขมวดคิ้วเอ่ยถาม “คุณหนูใหญ่ เกิดอะไรขึ้นกับมือของท่าน?”
หลิวหลิ่วจึงได้พบว่า “มือเจ้าได้รับบาดเจ็บ?”
“ไม่ทันระวังโดนน้ำชาร้อนลวกเข้า มิเป็นอะไร!” จื่ออันเอ่ยเบา ๆ
แม่นมหยางจ้องมองยังนาง พูดเสียงจริงจัง “ต่อไปคุณหนูใหญ่ก็ระมัดระวังหน่อยนะเจ้าคะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว!” จื่ออันเอ่ยตอบรับคำ
อาหารเย็นเป็นอาหารจานง่าย ๆ หนึ่งจานเป็นเนื้อ สองจานเป็นผัก ทั้งสี่นั่งนั่งกันรวมบนโต๊ะกินข้าวร่วมกัน ก่อนที่หยวนซื่อจะกินข้าวนั้น แม่นมหยางได้คอยรับใช้ให้นางกินข้าวก่อน
หลิวหลิ่วกินข้าวทั้งยังพูดคุยกับจื่ออัน “ข้าเก็บสัมภาระข้าวของมาเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็มาอยู่กับเจ้าที่นี่แล้ว”
จื่ออันเอ่ยยิ้ม “ที่นี่น้ำชาไม่เลิศรส กับข้าวรสชาติอ่อน หากคุณหนูใหญ่คุ้นชินก็ไม่เป็นไร”
“มีอะไรไม่คุ้นชินกัน? ข้ากินข้าวปกติแล้วมักมีคนถุยน้ำลายใส่ มิสู้มากินข้าวดื่มชาที่นี่รึ?”
“เหตุใดเรื่องนี้เจ้าถึงไม่เอ่ยกับพี่ชายเจ้า?” จื่ออันรู้ว่าพี่สะใภ้ของนางใจร้ายมาก ช่างไร้เหตุผลซะจริง ไม่น่าเชื่อว่าคุณหนูตระกูลเฉิน จะมีความเป็นอยู่เยี่ยงนี้
“พูดไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด? กลับไปเขาก็ดุด่าผู้หญิงเหล่านั้น ผ่านไปยังจะหาเรื่องลำบากมาให้ข้าอีก? อีกทั้งข้าก็ไม่อาจที่จะเข้าไปบอกท่านย่าได้ สองปีมานี้ร่างกายของท่านเยี่ยงของเก่าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก หากโมโหเข้าไปอีก โมโหจนเป็นอะไรไป ก็ไม่คุ้มค่าแล้ว!”
เสี่ยวซุนเบิกตากว้างมองเฉินหลิวหลิ่ว “คุณหนูเฉิน ท่านทำไมถึงได้เรียกท่านย่าของตนว่าของเก่าเล่า? ท่านได้ยินแล้วจะมิโกรธเอาหรือเจ้าคะ?”
หลิวหลิ่วคิดว่าไม่มีอะไรผิด “ท่านเองก็เรียกตนเช่นนี้เหมือนกัน”
“ท่านสามารถเรียกตนได้ แต่ว่าท่านที่เป็นหลานสาว เรียกท่านว่าของเก่าค่อนข้างจะดูเหมือนไม่ให้ความเคารพ?”
หลิวหลิ่วหันข้างคิด “ใช่หรือ? แต่ท่านเองก็เรียกนายพลทหารผ่านศึกเหล่านั้นว่าของเก่าเช่นกัน แต่ใจของท่านเองก็รักเคารพพวกเขาเช่นกัน”
จืออันหันมองเสี่ยวซุน “เจ้าไม่ต้องถกเถียงกับนางในเรื่องนี้ นางไม่เข้าใจหรอก”
แม่นมหยางเอ่ยยิ้ม “ใช่แล้ว เสี่ยวซุน เจ้ามาจุกจิกกับคุณหนูเฉินในเรื่องนี้ นางจะตีเจ้าเอา อีกอย่างนางก็ถูกเหล่าไท่จวินเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก ในตอนนั้นเหล่าไท่จวินยังคงอยู่ในค่ายทหาร แม้ว่าจะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่ฝ่าบาทก็มักจะให้นางไปฝึกอยู่ในค่ายทหาร คุณหนูเฉินเองก็อยู่รวมกันกับเหล่าทหารนั้นทุกวัน เพียงแค่คิดก็รู้ได้ว่านางจะเปลี่ยนไปเป็นแบบนั้น”
เสี่ยวซุนตกใจไปชั่วขณะ “แต่ว่าสตรีเรามิใช่ว่าควรจะมีท่าทางอย่างสตรีหน่อยหรือ?”
เฉินหลิวหลิ่วก็เองก็มีปัญหากับปัญหานี้เช่นกัน “เสี่ยวซุน เจ้าหุบปาก ไม่งั้นข้าจะโยนเจ้าเข้าไปในหมู่บ้านหิน ให้ไปอยู่กับผีดิบเหล่านั้น”
“ผีดิบ?” เสี่ยวซุนตกใจจนตัวสั่น “ไม่อาจพูดมั่วซั่วได้ ที่ไหนมีผีดิบกัน?”
“เป็นซูชิงวันนี้ที่พูดขึ้น จิงจ้าวหยินวันนี้ไปยังจวนอ๋อง บอกว่าหมู่บ้านหินมีผีดิบอยู่” หลิวหลิ่วเอ่ย
จื่ออันนึกขึ้นได้ว่าวันนี้จิงจ้าวหยินมายังจวนอ๋อง มาพูดถึงเรื่องผีดิบ?
“เกิดอะไรขึ้น?” จื่ออันไม่เชื่อว่าจะมีผีดิบอะไรกัน แต่หลังจากที่รักษาบาดแผลให้แก่มู่หรงเจี๋ยแล้ว อ๋องเหลียงก็กลับจวนไปแล้ว นางคงต้องกลับไปยังจวนอ๋องอีกรอบ
“เจ้าไม่รู้เรื่องรึ? ท่านอ๋องไม่ได้พูดกับเจ้า? เจ้าอยู่ในห้องท่านอ๋องตั้งครึ่งค่อนวัน ท่านไม่ได้บอกอะไรเจ้าเลย? ท่านอ๋องช่างจริง ๆ เลย เรื่องน่าสนใจที่เพิ่งจะเกิดขึ้นแบบนี้ยังจะอดทนห้ามปากไม่พูดออกมา”
“อยู่ครึ่งค่อนวันหรือ?” แม่นมหยางมองจื่ออันแล้วมองอีก “รักษาบาดแผลจำต้องอยู่ครึ่งค่อนวันเลยรึเจ้าคะ?”