ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ - บทที่ 290
ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 290
หลังจากทำเช่นนี้หลายต่อหลายครั้ง หนี่หรงที่ถูกเขย่าตัวไปมา จนทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเรี่ยวแรงเหลือเลยสักนิด ทั้งยังวิงเวียนศีรษะมากจนหมดแรงที่จะให้ความร่วมมือกับจื่ออันในการรักษาได้
จื่ออันกังวลเล็กน้อย นางหันกลับไปจะบอกบ่าวรับใช้ให้กรอกน้ำเกลือลงไปต่อไป แต่กลับเห็นมู่หรงเจี๋ยยืนอยู่ที่ด้านหลัง และท่าทางของเขาก็แลดูวิตกกังวลผิดปกติ
เขาเป็นห่วงหนี่หรงมาก
จื่ออันรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่ไร้ความรู้สึกหรือเย็นชาอะไร ยิ่งหนี่หรงเป็นคนข้างกายด้วยแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่พูด แต่ในใจก็ให้ความสำคัญมาก
“เขาจะไม่เป็นอะไร” จื่ออันกล่าวเบา ๆ
“ขอบใจเจ้ามาก!” ดวงตาของเขาแลดูสับสนเล็กน้อย เขากวาดสายตามองไปที่จื่ออันอย่างรวดเร็ว แล้วก็มองไปที่หนี่หรงด้วย
หลังจากทำให้หนี่หรงอาเจียนออกมาแล้ว จื่ออันก็รอให้ร่างกายของเขาฟื้นตัว ดังนั้นจึงให้เขากินซุปถั่วเขียว จากนั้นก็เขียนเทียบยาล้างพิษ ให้ทหารองครักษ์รีบไปเอายามาให้
หลังจากพลิกตัวไปมาเกือบสองชั่วยาม หนี่หรงก็ค่อย ๆ ได้สติขึ้นมา
มู่หรงเจี๋ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเหลือบมองไปที่จื่ออันและพูดอย่างเฉยเมย “เวลาที่เจ้าช่วยเหลือคน ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดสักเท่าไหร่นะ”
เมื่อครู่นี้ตอนที่จื่ออันช่วยชีวิตหนี่หรง ดูมีความเป็นผู้นำ เผชิญกับปัญหาอย่างใจเย็น นางในตอนนั้น ช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก
แต่ว่าคำพูดที่ออกจากปากของเขากลับไม่ค่อยน่าฟังนัก
จื่ออันปาดเหงื่อ นางไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี รู้สึกมึนงงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะถือเป็นคำชม หรือเป็นการเหยียดหยันกันแน่
จากแผนของเขาทำให้คนขุ่นเคืองได้จริง ๆ นางถอยออกมาหนึ่งก้าว แล้วปล่อยให้มู่หรงเจี๋ยนั่งลง และเขาก็กล่าวถามหนี่หรง “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? บาดแผลที่ข้อมือของเจ้าได้มาอย่างไร?”
หนี่หรงรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เขาลุกขึ้นนั่งและตอบ “บ่าวทำภารกิจเสร็จแล้วก็กลับออกนอกเมืองไปถึงหมู่บ้านฉือหลี่ จากนั้นก็หยุดพักที่แผงขายชาสมุนไพรจีน ให้ม้าพักดื่มน้ำด้วย เพิ่งจะจูงม้าไป คนยังไม่ทันได้นั่ง ก็ไม่รู้คนวิ่งตาลีตาเหลือกมาจากไหน กระโจนเข้ามากัดบ่าว กัดเสร็จก็รีบวิ่งออกไป บ่าวคิดคงจะเจอคนบ้าเข้าให้แล้ว ก็เลยใช้น้ำชาราดไปบนบาดแผล หลังจากดื่มชาไปชามนึง บ่าวก็ออกเดินทางต่อ ใครจะไปรู้ว่าเพิ่งจะออกมาได้ไม่นาน ก็รู้สึกเวียนหัวแล้ว และตรงที่โดนกัดก็มีเลือดออกด้วย บ่าวก็เลยกังวลว่าคนบ้าผู้นั้นจะมีโรคอะไรหรือเปล่า ดังนั้นจึงเก็บสมุนไพรบางชนิดที่ริมเขาเอามาเคี้ยวแล้วทาลงไปบนบาดแผล ตัดสินใจฝืนเดินทางกลับให้ได้ นึกไม่ถึงว่าระหว่างที่เดินทางกลับยิ่งเวียนหัวมากขึ้นเรื่อย ๆ กระหายน้ำ หัวใจเต้นแรงขึ้น เกือบจะร่วงตกลงที่หน้าประตูเมืองแล้ว แม่ทัพเฟยที่อยู่หน้าประตูเมือง ให้ยาเม็ดขับพิษแก่บ่าว ดังนั้นบ่าวจึงสามารถกลับมาถึงที่นี่ได้อย่างไรเล่า”
“คนบ้านั่นเป็นอย่างไรบ้าง? เขาเหมือนกับสองคนที่ จิงจ้าวหยิ่นจับมาก่อนหน้านี้หรือเปล่า?” ซูชิงถามขึ้นทันที
สีหน้าของหนี่หรงซีดขาว ดูเหมือนเขาจะกลัวอยู่บ้าง “เรื่องนี้ ข้าเองก็ไม่ได้ดูให้แน่ชัด เขากัดเสร็จวิ่งหนีไปทันที และข้าก็ไม่ทันได้เห็นหน้าของเขาด้วยซ้ำ”
“หวังว่าคงจะไม่ใช่” ซูชิงกล่าว
จู่ ๆ หนี่หรงจำขึ้นมาได้ในทันที น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ “ไม่ ไม่ ตอนที่เขากัดข้า ข้าได้กลิ่นเหมือนซากศพติดที่ตัวเขา กลิ่นเหมือนกับสองคนที่ถูกขังในคุกนั่น”
คราวนี้แม้แต่ท่าทางของมู่หรงเจี๋ยก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
จื่ออันที่เห็นว่าทั้งสามคนดูตกใจมาก ก็นึกถึงก่อนหน้านี้ที่หลิวหลิ่วพูดถึงเรื่องที่มีผีดิบอะไรสักอย่างที่พอกัดใครเข้า คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นผีดิบ
นางอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? หลิวหลิ่วเคยเล่าให้ข้าฟัง ถึงเรื่องที่ผีดิบกัดคน มันมีผีดิบจริงหรือ?”
ซูชิงพูดอย่างโกรธเคือง “ต้องโทษพ่อของเจ้าคนเดียว น่าเกลียดจริง ๆ”
“ซูชิง!” มู่หรงเจี๋ยเหลือบมองเขาเบา ๆ
ซูชิงเงยหน้าขึ้นและมองไปที่จื่ออัน “ข้าไม่ได้จะชวนท่านทะเลาะ แต่ว่าถ้ามีเรื่องผีดิบกัดคนอีก มันก็เป็นความผิดของพ่อท่าน”
จื่ออันมึนงง “พวกท่านเชื่อว่ามีผีดิบจริง ๆ งั้นหรือ? แล้วเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่?”
ซูชิงกล่าว “ในวันนั้นที่จิงจ้าวอินมารายงาน ท่านก็อยู่ด้วย แต่ว่าเรื่องนี้ท่านไม่ได้รู้เรื่องด้วย ที่หมู่บ้านศิลามีเรื่องคนกัดคนเกิดขึ้นที่นั่น หลังจากถูกคนกัด เขาก็จะสูญเสียการควบคุมไล่กัดคนอื่น ๆ ต่อ โชคดีที่สองคนนั้นพอก่อความรุนขึ้นก็ถูกชาวบ้านจับตัวไปส่งที่ศาลาว่าการ ทั้งสองคนจึงถูกกักขังไว้ที่นั่น และท่านอ๋องได้ออกคำสั่งให้ไปตามหาผู้ที่กระทำความผิดกัดผู้คนเป็นคนแรกที่หมู่บ้านนั้น”
“แล้วหาเจอแล้วหรือยัง?” จื่ออันถาม
ซูชิงกล่าวอย่างโมโห “เจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการหาตัวเจอแล้ว แต่ว่าพอพากลับมาที่ในเมือง คนผู้นั้นจู่ ๆ ก็วิ่งหนีไป ตอนที่เจ้าหน้าที่วิ่งติดตามไปก็เจอกับเกี้ยวของพ่อเจ้าเข้าพอดี และพ่อของเจ้าก็วางมาดเสียใหญ่โต สั่งคนให้สกัดเจ้าหน้าที่สองสามคนนั้นไว้ทำโทษอยู่ครู่หนึ่ง เพราะเหตุนี้ไงเล่า ผู้กระทำความผิดถึงหลบหนีไปได้”