ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ - บทที่ 38
ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 38
หวงไท่โฮ่วขมวดคื้ว “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้กับอาซิน เหตุใดถึงไม่มีใครไปรายงานข้า?”
ฮองเฮาอธิบาย “เสด็จแม่เพคะ หม่อมฉันเพียงแค่เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงตื่นตระหนก และจะทรงเป็นกังวลนะเพคะ”
“อาการหนักถึงเพียงนี้ ข้าจะไม่กังวลได้อย่างไร?” ไทเฮาเดินไปอย่างรวดเร็ว และเดินขึ้นบันได ไม่ได้มองจื่ออานที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น เปิดเสื่อเย็นแล้วเดินเข้าไป
เมื่อเห็นหลานชายที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวา หวงไท่โฮ่วก็หลั่งน้ำตา “ไหนว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี แล้วกลายเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร? เมื่อครู่ข้าได้ยินจากข้าหลวงรับใช้ที่เข้ามารายงาน บอกว่าเขารอดแล้ว นี่มันโรคอะไรกันแน่?”
หยวนพ่านก้าวไปข้างหน้า “หม่อมฉันขอกราบบังคมทูลหวงไท่โฮ่ว ฝ่าบาททรงเป็นโรคลมชัก พระอาการกำเริบหนักมากพ่ะย่ะค่ะ!”
หวงไท่โฮ่วโกรธจัด “บังอาจ เขาเป็นผู้สืบสายโลหิตของราชวงศ์ จะเป็นโรคร้ายนี้ได้อย่างไร วินิจฉัยผิดหรือเปล่า?”
หยวนพ่านที่เห็นหวงไท่โฮ่วทรงพิโรธ ก็รีบคุกเข่าลง“หวงไท่โฮ่วโปรดระงับโทสะ หม่อมฉันกับหมอหลวงทุกคนได้ทำการวินิจฉัยร่วมกันแล้ว แน่ใจว่านี่คือ โรคลมชักพ่ะย่ะค่ะ”
กุ้ยไท่เฟยเดินไปด้วยใบหน้าที่เย็นชา กวาดสายตามองไปรอบ ๆ และถามอย่างเยือกเย็น “ผู้ใดคือเซี่ยจื่ออาน?”
จื่ออานหัวใจเต้นแรง คุกเข่าตอบ “กราบบังคมทูลกุ้ยไท่เฟย หม่อมฉันคือ เซี่ยจืออานเพคะ!”
ดูเหมือนว่า มีคนพูดไม่ดีเกี่ยวกับตัวเองต่อหน้าหวงไท่โฮ่ว และกุ้ยไท่เฟย ใครทำแบบนี้กันนะ? ตามความทรงจำบางส่วนของเจ้าของร่างเดิมที่ยังอยู่ในตัวจื่ออาน ก็ทำให้รู้ว่ากุ้ยไท่เฟยคือ มารดาของ มู่หรงเจี๋ย ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จักรพรรดิ นางพำนักอยู่ที่จวนของบุตรชาย อีกทั้งหวงไท่โฮ่วกับกุ้ยไท่เฟยก็เป็นพี่น้องกัน มีพระสวามีคนเดียวกัน ไม่กี่ปีมานี้หวงไท่โฮ่วไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในวังเท่าไหร่ เรื่องของวังหลังทั้งหมดยกให้ฮองเฮาเป็นคนจัดการ ดังนั้นนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ฮองเฮามีอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว
หากเป้าหมายที่พวกนางมาที่นี่เพื่อต่อต้านตนเองแล้วล่ะก็ เห็นท่าจะไม่ดีแล้วเป็นแน่
กุ้ยไท่เฟยพูดเสียงดัง “เงยหน้าขึ้นมาพูด!”
จื่ออานค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น สายตาได้ไปบรรจบกับดวงตาคู่หนึ่งที่ดูเฉียบแหลมมาก ใบหน้าของนางแลดูสงบและสง่างาม หว่างคิ้วมีรอยย่นเป็นเส้น ๆ ไม่ใช่เพราะนางทำหน้าบึ้ง แต่หลายปีมานี้นางไม่มีความสุขเลย เป็นเหตุทำให้นางต้องขมวดคิ้ว
จื่ออานรู้สึกว่านางได้ไปลูบคมฮูบคมกุ้ยไท่เฟยเข้าอย่างจัง แม้ว่าใบหน้าของกุ้ยไท่เฟยจะดูเย็นชา แต่พอได้ยืนอยู่ข้าง ๆ กลับทำให้รู้ได้ว่าความกรุณา และความเมตตาของนางนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา
“เจ้าใช่ไหมที่ย้ายองค์จักรพรรดิเหลียงมาที่นี่?” กุ้ยไท่เฟยกล่าวถามอย่างฉุนเฉียว
จื่ออานกล่าว “กราบบังคมทูลกุ้ยไท่เฟย เป็นความคิดของหม่อมฉันเองเพคะ”
กุ้ยไท่เฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ความคิดของเจ้า? ความคิดของเจ้าจะไปมีอิทธิพลอะไรต่อฮองเฮา? เจ้าเป็นคนสำคัญมาจากไหน?”
ฮองเฮาตอบในทันที “กุ้ยไท่เฟย หม่อมฉันไม่ได้เห็นด้วยนะเพคะ แต่ท่านอ๋องยืนกรานที่จะทำเช่นนั้น”
ท่าทางของฮองเฮาไม่ได้ดีมากนัก ความหมายก็คือ บุตรชายของท่านกระทำการโดยพละการ ทั้งที่ไม่ได้รับการอนุญาตจากฮองเฮา
มู่หรงเจี๋ยพูดอย่างเฉยเมย “เสด็จแม่ มันเป็นความคิดลูกเอง”
ในแววตาของนางแสดงออกถึงความผิดหวัง “ความคิดของเจ้า? คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะสิ้นคิดได้ถึงเพียงนี้?”
มู่หรงเจี๋ยกล่าวต่อ “ลูกเชื่อใจเซี่ยจื่ออาน”
“เชื่อใจนาง?” กุ้ยไท่เฟยอดไม่ได้ที่จะขำออกมา “พวกหมอหลวงยอมย้ายมาที่นี่ไหม? คนที่ป่วยนอนในที่ที่มีอากาศถ่ายเทรอบทิศทางแบบนี้ อีกทั้งลมก็ยังแรงขนาดนี้ คนสุขภาพดียังป่วยได้ ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงคนที่ป่วยอยู่แล้วเลย”
จื่ออานที่ได้ยินลักษณะของการพูด ก็รู้ได้เลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกของพวกเขานั้นไม่ดี อดไม่ได้ที่จะปวดหัวสุด ๆ ความสัมพันธ์ในวังนี้ช่างยุ่งเหยิงเสียจริง เป็นแม่แต่ชังลูกชายตนเอง พี่น้องโกรธเกลียดกันจนอยากจะเข่นฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย น้ำในวังแห่งนี้ยังลึกยิ่งกว่าน้ำในจวนมหาเสนาบดีเสียอีก