ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ - บทที่ 7
ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 7
ผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิกลับค่อย ๆ เบะริมฝีปากหัวเราะเยาะเซี่ยจื่ออัน แม้ว่าเจ้าจะฉลาด แต่ก็กลับอวดฉลาดด้วยเช่นกัน เจ้าคิดว่าที่เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นหมันนั้น แล้วฮองเฮาจะยอมแพ้และลงโทษมหาเสนาบดีหรอกหรือ ไม่เลยนั่นเป็นข้อห้ามของอ๋องเหลียง ดังนั้นหยุดเสียเถอะ ไม่เช่นนั้นเขาจะคิดว่าที่เจ้าบอกว่าตนเองเป็นหมันคือ การกำลังตีวัวกระทบคราด
อ๋องเหลียงจ้องมายังจื่ออันอย่างดุร้าย “หากหมอหลวงตรวจพบว่าเจ้าโกหก ข้าจะแทงเจ้าด้วยมีดพันเล่มทีเดียว”
ผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิส่ายหัวเล็กน้อย มองไปยังใบหน้าที่ตกใจอย่างเฉียบพลัน ดูท่าชีวิตของหญิงสาวผู้นี้คงจบสิ้นแล้วกระมัง
อ๋องเหลียงเริ่มมีท่าทีแปลก ๆ เขาตัวสั่นเทา เริ่มจากปากไปถึงร่ายกายที่ค่อย ๆ สั่นขึ้น ๆ สีหน้าเริ่มเปลี่ยนจากซีดเป็นเขียว ริมฝีปากเริ่มม่วง
ทันใดนั้น เขาก็ล้มลงกับพื้น ร่างกายแข็งทื่อ เท้าพยายามถีบไปข้างหน้า ใบหน้าชักกระตุก ร่างกายกระตุกและเกร็ง
มู่หรงเจี๋ยพร้อมกับฮองเฮาล้วนตกใจกับเหตการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ฮองเฮารีบวิ่งพรวดเข้าไป ตะโกนด้วยความตกใจสุดขีด “หมอหลวง เร็วเข้า!”
จื่ออันเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ก็รู้ทันทีว่าอาการลมชักของเขากำเริบ เห็นปากของเขาเบี้ยว หากกัดลิ้นขึ้นมา เกรงว่าโทษฐานนี้คงจะอยู่บนหัวนางอย่างแน่นอน
หมอหลวงยังไม่ทันได้คิดสิ่งใด เธอก็รีบปรี่วิ่งเขาไปบีบขากรรไกร และนำมือไว้ในปากของเขา จากนั้นใช้มือแยกฟันและลิ้นออกจากกัน แล้วนั่งลงที่พื้นทันที หลังจากนั้นจึงใช้มืออีกข้างยกศีรษะเขาวางบนตังเบา ๆ อาการปวดเกิดขึ้นที่มือของเขาอย่างฉับพลัน เจ็บปวดจนรูขุมขนทั้งร่างกายเปิดออกทันที
เธอรู้ว่าการใช้มือยับยั้งลิ้นของเขาช่างไร้เหตุผลเสียจริง แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่น
เลือดไหลออกจากปากอ๋องเหลียง จื่ออันจับศีรษะของเขาเอียงไปข้าง ๆ เล็กน้อย เพื่อให้เลือดและน้ำลายไหลออกมาให้หมด
มู่หรงเจี๋ยก็แสดงท่าทีเข้าไปดูเช่นกัน เขาไปช่วยด้านหน้าและเห็นนิ้วมือของนางถูกกัดจนเลือดไหลออกมา ช่วยไม่ได้ที่จะตกใจเล็กน้อยและมองนางด้วยความประหลาดใจ
ฮองเฮารีบคิดพยายามคลายตะคริวที่ขาทั้งสองข้างของท่านอ๋องเหลียงจื่ออันรีบพูดว่า “ฮองเฮา อย่าทำแบบนั้นเลยเพคะ หากใช้กำลัง ฝ่าบาทอาจได้รับบาดเจ็บ”
ฮองเฮาเงยหน้าขึ้นและมองไปยังจื่ออัน สายตาแสดงความรู้สึกซับซ้อน มือทั้งสองค่อย ๆ ปล่อย เพียงโอบกอดร่างท่านอ๋องเหลียงอย่างอ่อนโยน นัยต์ตามีน้ำตาไหลออกมาทันที
ตอนที่หมอหลวงมาถึง อาการลมชักของอ๋องเหลียงก็หยุดแล้ว มีเพียงอาการชักกระตุกเล็กน้อย
จื่ออันดึงมือออก นิ้วทั้งสามเลือดไหลออกมาเป็นหยด
อ๋องเหลียงหมดสติไป จากนั้นจึงถูกย้ายไปนอนที่เตียงในตำหนัก หมอหลวงช่วยรักษาและให้ข้าราชบริพารไปต้มสมุนไพรจีน
ฮองเฮานั่งอยู่ข้างกายของท่านอ๋องเหลียงไม่สามารถกล่าวโทษอันใดได้อีกแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลและความหวาดกลัว
จื่ออันก้มศีรษะลง ภายในใจคิดใคร่ครวญต่อ
เธอเขาวังในวันนี้ ตอนแรกตัดสินใจเข้ามาเพื่อทำร้ายอ๋องเหลียง แต่เธอดันยื่นมือไปช่วยชีวิตเขาเสียได้ ด้วยคุณความดีนี้ที่เธอได้ช่วยชีวิตเขา แม้ว่าฮองเฮาต้องการจะประหารเธอ ความคิดนั้นก็อาจจะหยุดลงชั่วขณะ
กลับนึกไม่ถึงว่า อาการลมชักที่กำเริบของท่านอ๋องเหลียงและความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่ กับการที่อ๋องเหลียงเป็นแบบนี้ สาเหตุก็เพราะได้ยินว่าเธอเป็นหมัน
ภายใต้การดูแลรักษาของหมอหลวง อาการของอ๋องเหลียงเริ่มฟื้นคืนเป็นปกติ
เขาจับศีรษะที่ปวดเมื่อย ใบหน้าทั้งใบอันซีดเซียว และร่างกายที่อ่อนแรง เขามองไปที่ฮองเฮา “เสด็จแม่ เกิดอะไรขึ้นกับลูกหรือ”
ฮองเฮาใช้มือจับเขา ปลอบโยนเขาเบา ๆ “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะ”
จื่ออันเลิกคิ้วขึ้น เห็นมือของฮองเฮาสั่นเทา นางรักโอรสองค์นี้มาก และหวังไว้มากที่จะให้เขาสืบสกุล
หมอหลวงยืนขึ้นและกราบทูลฮองเฮา “ฮองเฮาจัดการได้ดีมากพ่ะย่ะค่ะ หากไม่ได้อุดปากของท่านอ๋องเหลียงเอาไว้ ฝ่าบาทจะต้องกัดลิ้นตัวเองจนขาดเป็นแน่ โชคดีจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
หากกัดลิ้นจนขาด เขาก็จะกลายเป็นใบ้ อ๋องเหลียงร่างกายไม่สมบูรณ์ แถมยังเป็นใบ้ เขาจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร
ฮองเฮาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองหน้าจื่ออัน แล้วทำท่าบอกให้จื่ออันออกไปก่อน จากนั้นจึงหันไปถามหมอหลวง “เหตุใดอ๋องเหลียงถึงเป็นเช่นนี้”
จื่ออันได้ยินคำถามดังกล่าว ก็รู้แจ้งว่าอ๋องเหลียงไม่เคยมีอาการลมชักมาก่อน ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้นมู่หรงเจี๋ยและฮองเฮาจึงวุ่นวายจนทำอะไรไม่ถูก
เธอเดินออกไป ยืนอยู่ที่ห้องโถงภายในตำหนัก มู่หรงเจี๋ยไม่ได้เดินไปด้วย เขานั่งลงบนตั่งไม้ และมองนางอย่างเฉยเมย
จื่ออันไม่กล้าเงยหน้า ผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดิคนนี้ แม้ว่าจะดูสบาย ๆ ทว่าพลังที่ออกมาจากตัวเขาดูรุนแรงและดุดัน บังคับให้เธอไม่กล้าแม้แต่จะสบตา
“เจ้ารู้วิชาการแพทย์หรือไม่” มู่หรงเจี๋ยถามออกมาทันที
จื่ออันตอบอย่างรอบคอบ “หากเกี่ยวกับท่านอ๋องเหลียง ข้าพอรู้เพียงเล็กน้อย”
มู่หรงเจี๋ยไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่นั่งพินิจพิเคราะห์นางอย่างละเอียด สายตาอันเชียบคมที่จ้องมา ทำให้จื่ออันรู้สึกอึดอัดมากทีเดียว
ครู่หนึ่งฮองเฮาและหมอหลวงก็ออกมา ฮองเฮาบุ้ยปากกับหมอหลวง หมอหลวงก็คำนับและเดินตรงมายังจื่ออัน
จื่ออันรู้ดีว่าเขามาเพื่อพิสูจน์อาการหมันของเธอ เธอจึงค่อย ๆ ยื่นมือออกมา หมอหลวงยังคงสงสัย จึงแตะไปที่ชีพจรโดยตรง
จากความคิดของหมอหลวง เห็นว่าฮองเฮายังคงคิดไม่เปลี่ยน
หลังจากตรวจชีพจร หมอหลวงก็ซักถามอาการต่าง ๆ นา ๆ อย่างละเอียด
จื่ออันทำตัวไม่ถูก ได้แต่ตอบคำถามไปทีละข้อ
หลังหมอหลวงตรวจเสร็จสิ้น ก็เดินไปหาฮองเฮา พร้อมคำนับเล็กน้อย
ฮองเฮาทำเสียงสงสัย และพูดว่า “เจ้าเข้าไปดูอาการอ๋องเหลียงก่อน ทางราชสำนักจะดูแลเจ้าเอง หากเกิดสิ่งใดขึ้น”
หมอหลวงตอบรับ “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอตัว”
หมอหลวงก้มลงเปิดมูลี่ และเข้าไปในห้องโถงข้าง ๆ จู่ ๆ จื่ออันก็บอกให้เขาหยุด “หมอหลวง ฝ่าบาททรงประชวรหนัก พระองค์จะง่วงซึม อาการอาจกำเริบอีกได้ ฉะนั้นหมอหลวงสามารถฝังเข็มที่หูของพระองค์ให้เลือดไหล ภายในครึ่งเดือนก็จะไม่มีอาการอีก”
หมอหลวงตกใจเล็กน้อย “ฝังเข็มให้เลือดออกรึ”
“ถูกต้อง ถ้าจะให้ได้ผลดีที่สุด ควรทำทุกสามวัน มิเช่นนั้น จากอาการของท่านอ๋องเหลียง ณ เวลานี้ เป็นไปได้ที่จะกลับมาประชวรอีกภายในสิบวัน แต่ไม่ทราบว่า นี่คืออาการครั้งแรกของฝ่าบาทใช่หรือไม่?” จื่ออันยื่นมืออกมาปัดผมที่ยุ่งเหยิงของเธอ เผยให้เห็นแววตาที่เก่งกาจของเธอ
ฮองเฮาถาม “เจ้ารู้วิธีฝังเข็มรึ?”
จื่ออันตอบอย่างเคารพและรอบคอบ “กราบทูลฮองเฮา หม่อมฉันพอรู้เล็กน้อยเพคะ”
จื่ออันรู้ดีว่าการฝังเข็มมีมาตั้งแต่สมัยจ้านกวั๋อ ในสมัยนั้นจักรพรรดิหวังตี้ได้บันทึกวิธีการฝังเข็มเอาไว้
ทว่าจื่ออันใช้ความรู้และศิลปวิทยาการจากเจ้าของเดิมที่ทิ้งไว้ให้ ทำให้เธอรู้ดีว่าวิทยาการฝังเข็มสมัยนี้ล้าหลังมาก คนที่รู้วิธีฝังเข็ม ส่วนมากครึ่งหนึ่งเป็นหมอหลวงและพวกหมอพื้นบ้านที่มีชื่อเสียง แต่มีน้อยคนนักที่จะเชี่ยวชาญ
จื่ออันเรียนรู้วิธีการฝังเข็มกับศาสตราจารย์หยางในสมัยปัจจุบัน ใช้เวลาเล่าเรียนห้าปีเศษ แม้ว่ายังไม่มีเวลาคนคว้าให้ลึกกว่านี้ แต่ด้วยทักษะการฝังเข็มตอนนี้ของเธอก็พอสามารถรักษาท่านอ๋องเหลียงได้
หมอหลวงพูดว่า “เจ้ารู้วิธีการฝังเข็มไม่มาก เหตุใดจึงกล้าดีบอกว่าการฝังเข็มที่หูให้เลือดไหลสามารถรักษาฝ่าบาทได้ หรือว่าเจ้ารู้มากกว่าหมอหลวงอย่างนั้นรึ”
จื่ออันตื่นตระหนกเล็กน้อย “มิได้ มิได้ ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น ข้าแค่เสนอความเห็น โดยปกติแล้วหมอหลวงควรจะมีวิธีอื่น ๆ ในการรักษาฝ่าบาท ข้า…ข้าแค่ไม่ต้องการเห็นฝ่าบาทอาการกำเริบหรือร่างกายบาดเจ็บอีกต่างหาก ข้ามิได้หมายความเป็นอื่นเลย…”
เธออธิบายอย่างติดขัด ทั้งยังเหลือบมองฮองเฮาด้วยความตื่นตระหนก น้ำตาเกือบไหลจากตาทั้งสองข้าง
มู่หรงเจี๋ยเงยหน้าขึ้น ทำมุมปากโค้ง หน้ามองจื่ออันอย่างครุ่นคิด
ฮองเฮาขมวดคิ้ว “หมอหลวง ที่นางว่ามาพอจะฟังขึ้นหรือไม่”