ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 253 คนสำคัญ
กระโจมของจีเฉวียนกว้างใหญ่ แต่เป็นกระโจมสีดำ ดังนั้นแสงสว่างจึงน้อย
บนพื้นปูพรมขนแกะหนาๆ บนพรมยังมีแท่นบรรทมทรงกลม และโต๊ะสี่เหลี่ยมทรงยาว
และตกแต่งด้วยเครื่องใช้ประจำวันหลายชิ้น พื้นที่กว้างขวางเพียงพอจะรองรับคนได้นับสิบคน
ดังนั้นยามที่อ๋องสิบแปดของแคว้นต้าฉินเสด็จมา จึงไม่อึดอัดแม้แต่น้อย
เมื่อผ้าม่านแง้มออก ก็เห็นคุณชายชุดดำในเสื้อผ้าที่งดงามผู้หนึ่งก้าวเข้ามา
อิ๋งฉี คาดเดาโดยประมาณสมควรมีพระชนมายุสามสิบกว่าปี
เขาคงดูแลตนเองอย่างยอดเยี่ยม ดูไปแล้วคล้ายคนหนุ่มที่อายุยี่สิบห้ายี่สิบหกปีเท่านั้น
เขารูปร่างสูงโปร่ง มีดวงเนตรที่งดงามคู่หนึ่ง
เป็นประกายระยิบระยับราวกับดวงดารายามค่ำคืน ทั้งยังสุกสกาวและสดใส
น่าเสียดายที่ใต้ดวงเนตรข้างขวามีรอยแผลเป็นลึกขวางครึ่งใบหน้าอยู่รอยหนึ่ง ทำให้ดวงพักตร์ที่งดงามไร้ที่ตินั้นถูกทำลายไป
ราวกับศิลปวัตถุที่งดงามถูกคนที่ไร้หัวใจทำลาย ไม่มีทางจะฟื้นฟูกลับมาได้อีก
ทันทีที่เขาเห็นจีเฉวียน ก็คลี่ยิ้มให้ จากนั้นก็ถวายคำนับครั้งหนึ่ง “กระหม่อมคุณชายฉีแห่งแคว้นฉิน [1] ขอถวายพระพรฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าโจว”
“ฉีอ๋องมิต้องมากมารยาท” จีเฉวียนพยักพักตร์ให้กับเขา “ท่านและข้าเคยได้พบหน้ากันมาหลายครั้ง นับเป็นคนคุ้นเคย”
ตรัสแล้ว จีเฉวียนก็ให้หลงเซียวยกเบาะนั่งเข้ามา เชื้อเชิญอิ๋งฉีให้นั่งลง
อิ๋งฉีนำผู้ติดตามมาด้วย เพียงแต่ทิ้งผู้ติดตามเหล่านั้นเอาไว้ด้านนอก เสด็จเข้ามาเพียงคนเดียว
เขามิได้บ่ายเบี่ยง แต่เสด็จเข้ามาประทับนั่งลงที่ข้างกายจีเฉวียน สองเนตรไม่เหลือบแลด้านข้าง
จีเฉวียนประทานน้ำชาให้เขาถ้วยหนึ่งด้วยพระองค์เอง อิ๋งฉีก็รีบรับไว้ “ฝ่าบาท ขนบธรรมเนียมล้วนมีอยู่ อิ๋งฉีได้รับพระเมตตาเช่นนี้รู้สึกละอายอยู่บ้าง”
“ก็แค่น้ำชาถ้วยหนึ่งเท่านั้น ท่านอย่าได้ถือมารยาทมากไป” ชายฉลองพระองค์ของจีเฉวียนกวาดผ่านโต๊ะช้าๆ สายพระเนตรจับจ้องอยู่ที่เขา
“ครั้งก่อนที่ได้พบกับท่าน ยังคงเป็นรูปโฉมที่หมดจดงดงาม เป็นผู้ใดในแคว้นฉินถึงกับกล้าบังอาจ ทำร้ายใบหน้าของคุณชายฉี [2] ท่านได้?”
องค์เต้ทรงตรัสอย่างตรงไปตรงมา ราวกับมิได้เกรงว่าอิ๋งฉีจะขุ่นเคืองแม้แต่น้อย
อิ๋งฉี ประคองถ้วยน้ำชาเอาไว้ ปลายดรรชนีเคาะเบาๆ รอบๆ ถ้วยน้ำชา จากนั้นค่อยคลี่ยิ้มจางๆ ให้กับจีเฉวียน “พูดไปแล้วเรื่องมันยาว เป็นเพียงอุบัติเหตุครั้งหนึ่งเท่านั้น ยังดีที่เป็นข้าที่บาดเจ็บ มิเช่นนั้นหากว่าดาบนี้แทงเข้าที่พระอุระของพระเชษฐา ข้าคงต้องเสียใจไปชั่วชีวิต”
แม้อิ๋งฉีจะมิได้เล่าออกมา ตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนต่างก็ฟังเข้าใจ เรื่องคงเพราะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ฮ่องเต้แคว้นฉินตกอยู่ในอันตราย อิ๋งฉีรับดาบแทนเขาครั้งหนึ่ง จึงเสียโฉมไป
ตู๋กูซิงหลันอดจะแอบมองเขาอีกสองรอบไม่ได้ เห็นอิ๋งฉีแย้มยิ้มอย่างจริงใจ คำพูดนี้ของเขามิใช่เพื่อจะอวดอ้างความดีความชอบว่าตนเองได้ช่วยชีวิตฮ่องเต้เอาไว้ ความรู้สึกโชคดีที่ปรากฏในดวงเนตรคู่นั้นมีความจริงใจอย่างแท้จริง
ไม่รอให้จีเฉวียนเอ่ยพระโอษฐ์ ก็ได้ยินอิ๋งฉีทูลว่า “ฝ่าบาท พระองค์ก็ทรงทราบ แต่ไหนแต่ไรตัวข้าก็ไม่ชอบการพูดจาอ้อมค้อม”
“เรื่องที่เสด็จมาแคว้นเซอปี่ซือด้วยพระองค์เอง พวกเราได้ทราบข่าวคราวมาตั้งแต่แรกแล้ว สิ่งที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ก็คือทรัพย์สมบัติของแคว้นเซอปี่ซือ สิ่งที่พวกเราต้องการพระองค์ก็ทรงทราบ คือยาอายุวัฒนะของแคว้นเซอปี่ซือ”
“แคว้นต้าฉินและแคว้นต้าโจว ต่างก็เป็นยอดแคว้นในแผ่นดินนี้ ข้าไม่ต้องการเป็นศัตรูกับฝ่าบาท เพียงแต่เรื่องราวระหว่างสองแคว้น ยากจะไม่มีข้อขัดแย้งกันได้ ที่ข้ามาเข้าเฝ้าในวันนี้ เพื่อขอให้ฝ่าบาทอย่าได้ทรงแย่งชิงยาอายุวัฒนะกับพวกเรา ส่วนสิ่งของอื่นๆ ล้วนแล้วแต่ฝ่าบาทจะทรงโปรด”
“ขอเพียงฝ่าบาททรงเต็มพระทัย หลังจากยินยอมให้พวกเราได้รับยาอายุวัฒนะ พวกเราอาจพอจะเป็นกำลังให้พระองค์ได้บ้าง หรือมีส่วนช่วยให้พระองค์ได้รับในสิ่งที่ทรงมีพระประสงค์”
อิ๋งฉีตรัสอย่างจริงใจ นำเสียงของเขานุ่มนวล ทำให้คนฟังรู้สึกสบายใจขึ้นมา
ตู๋กูซิงหลันมองดูคุณชายสูงศักดิ์รูปงามตรงหน้า ….ก็ยิ่งรู้สึกเสียดายที่ใบหน้าของเขามีบาดแผลลึกเช่นนี้
จากน้ำเสียงและคำพูดของเขาก็สามารถฟังออกว่า เขาและจีเฉวียนเป็นสหายเก่า ทั้งยังให้ความเคารพจีเฉวียน
คำพูดเหล่านี้มิใช่ข้อต่อรอง แต่ว่าเป็นการขอร้อง
ขอร้องให้จีเฉวียนยอมถอยห่างออกจากยาอายุวัฒนะ
มิว่าอย่างไร ในวันนี้แคว้นต้าฉินก็คือแคว้นใหญ่อันดับหนึ่งของแผ่นดินนี้ ตัวเขาที่เป็นถึงอ๋องสิบแปดที่ฮ่องเต้ทรงเลี้ยงดูมาด้วยพระองค์เอง ถึงกับเอ่ยปากขอร้องต่อจีเฉวียน ฟังดูแล้วออกจะเหลือเชื่ออยู่บ้าง
เช่นนั้นแล้วจีเฉวียนครอบครองพลังเช่นใดอยู่กันแน่ ถึงทำให้เขายินยอมศิโรราบได้ถึงเพียงนี้?
จีเฉวียนรับฟังเขาแล้ว ก็ปล่อยให้เขาดื่มชาเข้าไปเสียก่อน ก็ค่อยเติมน้ำชาให้เขาอีกครั้ง
จากนั้นค่อยเอ่ยขึ้นมาอย่างช้าๆ “คุณชายฉี ท่านคิดว่า ในโลกนี้จะมียาอายุวัฒนะอยู่จริงๆ หรือ?”
อิ๋งฉีตะลึงไปเล็กน้อย เขาลูบถ้วยชาในมืออย่างแผ่วเบา “ข้าเชื่อว่ามี”
“สมมติว่ามีจริง ฮ่องเต้แคว้นฉินทรงเป็นอมตะ มีชีวิตยืนยาวนับพันนับหมื่นปี ท่านคิดว่าพระองค์จะมีความสุขหรือ?” สีพระพักตร์ของจีเฉวียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “อีกร้อยปีให้หลัง ตัวท่านก็ตายลงกลายเป็นผี พระองค์และท่านก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ อีก มันคุ้มหรือ?”
อิ๋งฉีรับฟังอย่างตั้งใจ เขาหลุบเนตรลง จนขนตายาวเป็นแพสั่นน้อยๆ ถ้อยรับสั่งของจีเฉวียนกระแทกเข้าสู่หัวใจของเขา ผ่านไปอีกพักใหญ่เขาถึงได้เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง มองดูจีเฉวียน “มิทราบว่าในชีวิตนี้ของฝ่าบาท เคยได้พบพานคนสำคัญแล้วหรือไม่?”
“ตัวข้าสูญเสียมารดา วัยเด็กได้ผ่านชีวิตที่เหมือนอยู่มิสู้ตายมา หากมิใช่ว่าพระเชษฐาทรงชุบเลี้ยงข้าด้วยพระองค์เอง เกรงว่าก็คงจะตายไปตั้งแต่แรกแล้ว”
พอเขาพูดถึงการสูญเสียมารดาไปตั้งแต่เด็กขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันก็สังเกตเห็นว่าในพระเนตรของจีเฉวียนก็มีประกายความขมขื่นอยู่เช่นกัน
ในยามนั้นเอง นางถึงได้เข้าใจ ว่าทำไมพระองค์ถึงได้ใจกว้างต่ออ๋องสิบแปดของแคว้นฉินผู้นี้เป็นพิเศษ
“ในใจของข้า พระเชษฐามิเพียงเป็นพี่ชาย แต่เปรียบประดุจบิดาแท้ๆ ข้าเคารพรักเขา ชีวิตนี้อุทิศให้แก่เขา ด้วยพระอุตสาหะตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ จะนำพาแคว้นฉินไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง แต่น่าเสียดายชีวิตมนุษย์ขอบเขตจำกัด ข้าไม่อาจทนเห็นพระองค์ต้องเสด็จจากไปก่อนที่พระประสงค์จะสำเร็จสมดั่งความตั้งพระทัย”
“พันปี หมื่นปี ท่ามกลางวันคืนที่ยาวนาน พระองค์จะทรงพบพาผู้คนอีกมากมาย ข้าเชื่อว่า สักวันหนึ่งพระองค์ก็จะได้ทรงพบกับผู้ที่จริงใจต่อกันอย่างแท้จริง” ตรัสจบแล้วก็เห็นเขายิ้มแย้มอย่างเศร้าสร้อย “หากว่าหาไม่พบ ชาติหน้า ชาติต่อไป และทุกชาตินับจากนี้ ข้าก็ยินดีจะกลับมาเกิดใหม่ เพื่ออยู่เคียงข้างพระเชษฐาในทุกชาติไป”
ตู๋กูซิงหลันรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ หัวใจของนางเหมือนดั่งถูกคลื่นกระแทกซ้ำๆ
จนไม่อาจจะทนดูเช่นนี้อีกต่อไป
เพราะถูกความผูกพันระหว่างพี่น้องที่ลึกล้ำเช่นนี้ทำเอาต้องหลั่งน้ำตาออกมาแล้ว
เปรียบเทียบกันแล้ว ฮ่องเต้ทรงสงบนิ่งกว่ามาก พระองค์เพียงแต่หมุนถ้วยชาเบาๆ ด้วยปลายดรรชนี จากนั้นก็ทอดพระเนตรมองดูอิ๋งฉีอย่างสงบนิ่ง “คุณชายฉี ท่านเองก็ทราบว่าเรามีแผนการอันยิ่งใหญ่ ที่มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าพระเชษฐาของท่านเท่าไร แล้วไยเราจะต้องทิ้งปัญหาเอาไว้ จนก่อให้เกิดเภทภัยในภายหลังด้วย?”
ได้ฟังแล้ว อิ๋งฉีก็หัวเราะออกมาในทันที “ฝ่าบาท มีหรือที่กระหม่อมจะไม่เข้าใจในตัวของพระองค์?”
“บนโลกใบนี้ พระองค์เคยเกรงกลัวผู้ใดบ้าง? ต่อให้พระเชษฐาของข้าได้รับยาอายุวัฒนะไป พระองค์ก็จะทรงยอมล่าถอยหรือ?” อิ๋งฉีทางหนึ่งหัวเราะทางหนึ่งส่ายศีรษะ “ที่กระหม่อมต้องการ ก็คือให้พระเชษฐามีพระชนมายุยืนยาว ส่วนเรื่องที่ในอนาคตแผ่นดินทั้งหมดนี้จะตกเป็นของแคว้นต้าฉินหรือแคว้นต้าโจว ก็ถือเป็นการละเล่นระหว่างพระเชษฐาและพระองค์แล้ว กระหม่อมจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยแม้แต่น้อย”
ว่าแล้ว เขาก็ยกน้ำชาขึ้นมาคำนับจีเฉวียน “แต่ไหนแต่ไรพระองค์ทรงเป็นผู้ที่เชื่อมั่นในตนเองมาโดยตลอด ย่อมไม่มีทางมาวิตกกังวลเพราะเรื่องนี้เป็นเหตุอย่างแน่นอน ใช่หรือไม่พะยะค่ะ?”
——
[1] 秦国公子祈: ฉีอ๋องเรียกตัวเองเป็นคุณชายฉีแห่งแคว้นฉิน (แสดงถึงความถ่อมตัว)
[2] 公子祈: จีเฉวียนเรียกอิ๋งฉีเป็นคุณชายฉี เรียกชื่อตัว ไม่ได้เรียกตามแซ่ (แสดงถึงการให้ความสนิทสนม เป็นกันเอง)
——
คุยกันนิดนึง:ว่าด้วยสรรพนามแทนตัวของตัวละคร
ไรท์ : ในฐานะผู้แปลจะยึดถือต้นฉบับเป็นอันดับแรกต้นฉบับเรียกยังไง ก็ขออนุญาตเดินตามต้นฉบับไปนะเจ้าคะ ในส่วนของการเรียกขานแบบทั่วไป โดยมากเราจะเห็นการเรียกขานบุคคลด้วยแซ่หรือชื่อสกุล เช่น คุณชายมู่ คุณหนูมู่ แสดงว่าทั้งสองมาจากตระกูลมู่ โดยเฉพาะเมื่อเป็นการเรียกขานโดยบุคคลภายนอกที่ไม่ได้รู้จักมักจี่กันดี แต่ในกรณีที่ในเรื่องมีผู้ใช้แซ่เดียวกันหลายคน เช่นมีพี่น้องแซ่เดียวกัน คนภายนอกมักจะเรียกตามศักดิ์ หรือลำดับในครอบครัว เช่น คุณหนูใหญ่มู่ หรือคุณหนูสี่มู่ แต่ถ้าเป็นคนที่สนิทกันภายในบ้าน ก็จะเรียกชื่อเล่น หรือชื่อตัว หรืออาจเป็นชื่อกลาง (หรือชื่อตามภาษาถิ่น เช่น ภาษาแมนจู) ก็ได้ทั้งนั้น (เช่น หลันเอ๋อร์ หลันหลัน)
อิ๋งฉี: พระอนุชาองค์ที่สิบแปดของฮ่องเต้แคว้นฉิน จะเห็นว่าตอนที่ขอเข้าเฝ้า หรือตอนที่จีเฉวียนเรียกเขา ก็จะเป็นคุณชายฉีอยู่ตลอด แสดงถึงความเป็นสหาย ให้ความสนิทสนมขนาดเรียกชื่อตัวได้ หรืออิ๋งฉีเองก็แสดงความอ่อนน้อมต่อจีเฉวียน เป็นอ๋องแต่เรียกตัวเองเป็นแค่คุณชายนั่นเอง
เหยียนหยุน: หยิ่งๆ อย่างหยุนหยุน รัชทายาท ก็จะเรียกตัวเองเป็น ข้า/กระหม่อม (หรือ เปิ่นกง =ผู้เป็นเจ้าวัง)
ตอนต่อไป “ที่ผ่านมาเราปฏิบัติต่อผู้ที่เป็นดั่งดวงใจเช่นนี้อยู่ตลอด” อร๊าย เขิลล