ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 296 ฮ่องเต้ผู้ทรงถูกทอดทิ้ง
“เราเป็นโอรสสวรรค์ ตรัสแล้วไม่คืนคำ [1] ไม่มีทางหลอกลวงเจ้า”
มุมปากของเขามีเลือดเย็นชื้นไหลออกมา หยาดหยดลงไปบนหน้าผากของตู๋กูซิงหลัน
นางถูกเลือดที่เย็นชื้นนั่นชโลมจนแข็งข้างไปทั้งร่าง
ในหัวใจคล้ายกับมีเสียงของบางสิ่งปริแตก ทำลายพันธนาการออกมา แต่ขณะเดียวกันก็ยังถูกบางอย่างบีบรัด กักขังเอาไว้อย่างแน่นหนา จนอึดอัดไปหมด
“เย่วซิงหลัน!” อีกด้านหนึ่ง เสินฟางโทสะพวยพุ่งขึ้นฟ้า เขาคิดไม่ถึงเลยว่า สตรีที่ไร้หัวจิตหัวใจผู้นี้จะหวั่นไหวขึ้นมาแล้ว
เขาคำรามออกมาครั้งหนึ่ง ดอกพลับพลึงบนร่างฟุ้งกระจายออกไปดุจโลหิตพวยพุ่ง คิดจะพันธนาการคนทั้งสองเอาไว้
แต่ยังไม่ทันจะได้สัมผัสถูกจีเฉวียนและนาง ก็เห็นรอบกายของตู๋กูซิงหลันเกิดเป็นหมอกสีทองเปล่งประกายออกมา
แสงจากหมอกนั้นขวางกั้นพลังของเสินฟางเอาไว้ จากนั้นก็ถ่ายเทเข้าไปในโลงทองแดง
ทันใดนั้นดวงดาวแต่ละดวงบนแผนที่ดวงดาวก็สว่างเป็นประกายขึ้นมา
เกิดเป็นเส้นทางสีทองจากดวงดาวสีน้ำเงินราวกับหยดน้ำที่อยู่ใกล้กับพวกเขาที่สุดพุ่งตรงไปยังดวงดาวสีน้ำเงินแสนสวยงามที่อยู่ไกลออกไป
“ครื่น!” พอได้ยินเสียงระเบิด ก็เห็นว่าใต้ร่างของเสินฟางเกิดเป็นหมอกแสงสีทองจำนวนมากพวยพุ่งขึ้นมา
ภาพรอบกายของเขาเปลี่ยนเป็นพร่าเลือนไป
เห็นเพียงแต่ตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนที่ยืนอยู่เคียงข้างกัน ในมือของนางมียันต์สีแดงใบหนึ่ง บนยันต์สีแดงนั้นมีแสงสีแดงเปล่งประกายออกมาราวกับมีเส้นโลหิตไหลเวียน
ทันทีที่ยันต์สีชาดเคลื่อนไหว ก็ถูกนางผนึกลงไปบนปากแผลของจีเฉวียนอย่างรวดเร็ว
ตู๋กูซิงหลันไม่เคยใช้ยันต์สีชาดง่ายๆ และยันต์สีชาดแผ่นนี้ คือยันต์แลกอาการบาดเจ็บ ที่ใช้พลังชีวิตของนางเป็นข้อแลกเปลี่ยน มันจะรักษาและฟื้นฟูอาการบาดเจ็บทั้งหมดของจีเฉวียนด้วยความเร็วสูงสุด
และอาการบาดเจ็บทั้งหมดนั้นจะย้ายมาอยู่บนร่างของนางแทน
ทันทีที่ยันต์สีชาดสำแดงฤทธิ์ ไม่ว่าจีเฉวียนจะแข็งแกร่งเพียงไร มันก็จะกักตัวเขาเอาไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะกลับไปโลกปัจจุบัน ยันต์รักษาจิตคืนชีพ นางรู้แล้วว่าเมื่อมียันต์นี้อยู่ในร่างจะก่อให้เกิดผลเช่นไร
ยิ่งนางอยู่ในโลกนี้นานเพียงไร ก็จะยิ่งมีผลกระทบต่ออายุขัยของอาจารย์มากขึ้นเรื่อยๆ
นางเป็นเพียงทารกกำพร้า ที่เกือบจะแข็งตายอยู่บนท้องถนน ท่านอาจารย์เก็บนางกลับมายังหุบเขาภูติ ช่วยเช็ดอึเช็ดฉี่เลี้ยงดูมาจนโต
เขาเป็นอาจารย์ยิ่งเป็นเสมือนบิดา เป็นญาติสนิทของนาง
ถึงแม้ว่าในโลกใบนี้นางจะมีคนมากมายที่ไม่อาจทอดทิ้ง…..แต่ว่าตอนนี้ก็ได้แต่ต้องปล่อยวางแล้ว
สิ่งที่นางสามารถทำได้ในตอนนี้ ก็คือจากไปโดยไม่ติดค้างจีเฉวียน
หากนางนำพาร่างกายที่บาดเจ็บกลับไปยังโลกปัจจุบัน ที่นั่นย่อมต้องมีหมอที่เก่งกาจที่สามารถรักษานางได้
แต่หากจีเฉวียนได้รับบาดเจ็บหนัก นั่นก็ไม่แน่แล้ว
ชั่วขณะนั้น จีเฉวียนถูกกักขังอยู่กับที่ไม่อาจเคลื่อนไหว
พระองค์ทรงขมวดพระขนงแนบแน่น เห็นมือของตู๋กูซิงหลันหลุดออกไปจากอุ้งพระหัตถ์
นางก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองดูพระองค์ด้วยสายตาที่ลึกล้ำ จากนั้นทั่วทั้งร่างก็ไหววูบ กลายเป็นยืนอยู่ข้างกายเสินฟาง
ในตอนนั้นเอง ไอสังหารจากร่างของเสินฟางถึงได้ลดทอนลงไป
“เป็นเช่นนี้แต่แรกไม่ดีกว่าหรือ?” เขาหัวเราะเสียงเย็น “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เจ้าก็จงถือเสียว่าเป็นความฝันตื่นหนึ่ง เมื่อกลับไปโลกปัจจุบัน เจ้าก็คือสุดยอดปรมจารย์นักพรต เป็นสุดยอดนักแสดงระดับชาติที่ผู้คนชื่นชม ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายกว่าที่นี่มากนัก”
ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ตอบคำ นางหันหน้าหนี ปิดตาลง
และพระทัยของจีเฉวียนก็เหมือนกับถูกแผ่นน้ำแข็งในฤดูหนาวเกาะกุมจนสิ้น
ความอบอุ่นที่เคยมี ถูกความหนาวเย็นเป็นน้ำแข็งเข้าแทนที่ในทันที
เพราะฉะนั้น….ไม่ว่าพระองค์จะตรัสอะไร ทำอะไร นางก็ยังจะไปจากพระองค์ เพื่อบุรุษที่ชื่อซื่อมั่วผู้นั้น นางถึงกับไม่ยอมให้โอกาสพระองค์เลยสักนิด
คนบนโลกต่างก็กล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นคนใจดำที่ไร้ความรู้สึก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับนางแล้ว คนใจดำเช่นพระองค์นับเป็นอะไรไปได้?
ดวงเนตรของฮ่องเต้เปียกชื้น น้ำตาไหลออกมาจากดวงเนตร
ทุกสิ่งภายในโลงทองแดงกลายเป็นน้ำแข็ง น้ำตาหยดหนึ่งหล่นลงไปบนรองพระบาทกระจายกลายเป็นละออง น้ำตาอีกหยดค้างอยู่บนพระพักตร์ของผู้ที่กลายเป็นมนุษย์น้ำแข็งไปแล้ว
ในช่วงเวลานั้น จีเฉวียนเหมือนกับสัตว์ตัวน้อยๆ ที่ถูกทอดทิ้ง ไม่มีบ้านให้กลับอีกต่อไป
โลงทองแดงสั่นไหวอย่างรุนแรง กระทั่งฝ่าโลงก็ปิดไม่อยู่อีกต่อไป โซ่เหล็กที่ถูกล่ามเอาไว้แทบจะขาดสะบั้น
ในขณะที่หัวใจของทุกผู้คนกำลังตกอยู่ในความตื่นตระหนกนั้น ก็เห็นโลงทองแดงทอประกายแสงสีทองสวยงามสว่างไสวออกมา
ยามนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว อยู่ๆ แสงจันทร์บนทองฟ้าก็ส่องแสงเข้มข้นลงไปที่น้ำในทะเลสาบ สาดลงไปจนถึงโลงทองแดงใบนั้น
จากนั้นครู่เดียวก็เกิดเป็นแสงสีเงินยวงสุกสว่างที่งดงามบาดตา
ผู้คนทั้งหมดได้แต่ปิดตาลง
ภายในโลงทองแดง ตู๋กูซิงหลันและเสินฟางยืนอยู่เคียงข้างกัน เงาของคนทั้งสองกำลังเลือนหายไปท่ามกลางแสงสว่าง
ขณะที่เห็นอยู่ว่าเงาร่างของตู๋กูซิงหลันกำลังจะเลือนหายไปนั้น
ก็มีผีเสื้อสีดำมากมายปรากฏตัวขึ้นภายในโลง ผีเสื้อสีดำเหล่านั้นพุ่งเข้าไปในกลุ่มแสง และกลายเป็นมือขนาดใหญ่มือหนึ่ง ซัดฝ่ามือลงไปบนร่างของตู๋กูซิงหลันอย่างรุนแรง
ตู๋กูซิงหลันนับว่ามีปฏิกริยาว่องไวปานเทพเซียน ขยับตัววูบหนึ่งก็หลบพ้นตำแหน่งปลิดชีพไปได้ ฝ่ามือนั้นกระแทกลงมาบนเอวของนาง ทำลายกระดูกสะโพกของนางแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
นางพึ่งจะใช้ยันต์แลกอาการบาดเจ็บไป อาการบาดเจ็บทั้งมวลของจีเฉวียนเปลี่ยนมาอยู่บนร่างของตนเอง ตอนนี้อยู่ๆ ก็รับเข้าอีกหนึ่งฝ่ามือ แทบจะถูกเด็ดชีวิตไปครึ่งหนึ่ง
มือสีดำนั้นยังไม่ยอมหยุด มันคว้าลำคอของนางเอาไว้ กำลังจะบีบนางทิ้งให้แหลกลาญ
วิญญาณทมิฬส่งเสียงคำรามออกมาครั้งหนึ่ง เปลี่ยนร่างกายเป็นสุขันป่า พุ่งเข้ากัดในทันที
ทันทีที่มันกัดลงไป มือสีดำข้างนั้นก็สลายกลายเป็นผีเสื้อสีดำบินหนีไปทุกทิศทาง หลังจากนั้นก็รวมตัวกันที่มุมหนึ่งกลายเป็นมือสีดำอีกครั้ง เตรียมจะจัดการตู๋กูซิงหลันให้ดับดิ้นคาที่
เงาร่างของเสินฟางเลือนหายไปจนหมดแล้ว
ผีเสื้อสีดำเหล่านั้นรอคอยจนเสินฟางเลือนหายไปแล้วถึงได้ลงมือ
มิติทางกาลเวลานี้ทั้งลึกลับและเปราะบาง หากว่าระหว่างขั้นตอนเดินทางไม่ทันระมัดระวังเกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะถูกช่องว่างของมิติดึงดูดเข้าไป จากนั้นก็สูญหายไปยังที่ที่ไม่อาจหวนคืน
ดังนั้นยามที่ตู๋กูซิงหลันปะทะกับมือสีดำนั่นจึงไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด ประกอบกับตัวนางเองก็ได้รับบาดเจ็บ
หลังจากประมือกันหลายรอบ บนร่างของตู๋กูซิงหลันก็มีบาดแผลใหม่ๆ เพิ่มเติม
อีกทั้งมิติกาลเวลาก็ยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว
น่าตายนัก! นางคาดไม่ถึงว่าจะมีคนแอบลงมือลับหลัง คนผู้นี้ช่างรู้จักอดกลั้นรอคอย
มิติกาลเวลายุบตัวลงอย่างรุนแรง เกิดเป็นแรงกดดันที่บดขยี้จนกระดูกทั่วร่างของนางส่งเสียงรวดร้าวออกมา
ผิวหนังของนางใกล้จะฉีกขาด กระดูกกระเดี้ยวก็ถูกบิดจนโค้ง
ผีเสื้อสีดำเหล่านั้นก็รับแรงกดดันจากมิติแห่งกาลเวลาไม่ไหว ถูกบดขยี้ไปเช่นกัน
ถึงตอนนี้ องค์ชายน้อยที่อยู่ด้านหลังฝูงชนในมุมมืดมุมหนึ่งค่อยพึงพอใจขึ้นมาบ้าง
ไม่ว่าตู๋กูซิงหลันคือใครก็ตาม นับจากวันนี้ไป โลกใบนี้ก็จะไม่มีนางอีกแล้ว
โลกของจีเฉวียน ยิ่งไม่มีคนผู้นี้อยู่อีก
เขามองดูโลงทองแดงอีกครั้ง หมอกสีดำบนร่างก็กระจายตัวออกมาอีก และกลายเป็นผีเสื้อนับไม่ถ้วนอีกครั้ง จากนั้นก็พากันบินเข้าไป
ภายใต้สิ่งของร่วมกลบฝังมากมายก่ายกอง พวกมันเจอกล่องไม้ที่ดูไม่ค่อยเตะตาใบหนึ่ง จึงนำออกมา
ภายในโลง ทันทีที่จีเฉวียนหลุดออกมาจากการควบคุมของยันต์สีชาดได้ หมอกสีทองทั้งหมดนั้นก็ได้มลายหายไปจนสิ้นเสียแล้ว
พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกไป คว้าแสงสีทองกลุ่มหนึ่งเอาไว้
แต่ในพระหัตถ์กลับว่างเปล่า ดวงพระทัยเหมือนถูกคว้านออกไปจนมีแต่เลือดหยาดหยด
นางหายตัวไปในชั่วพริบตา
ไวจนพระองค์คว้านางเอาไว้ไม่ทัน
ทั่วทั้งโลงมีแต่ความว่างเปล่า เหลือเพียงแค่พระศพของฮ่องเต้แคว้นเซอปี่ซือและข้าวของร่วมกลบฝัง
แม้แต่ภาพแผนที่ดวงดาวก็ยังหมองลงไป
ทุกอย่างมีแต่ความสงบเงียบ
ครู่ต่อมา พระศพของฮ่องเต้แคว้นเซอปี่ซือก็กลายเป็นผุยผงกองหนึ่ง
ในกองผุยผงนั้นปรากฏไข่มุกสีดำลูกหนึ่ง ไข่มุกเม็ดนั้นกลิ้งออกมาอยู่ที่ข้างกายจีเฉวียน
——
[1] 一言九鼎 [yī yán jiǔ dǐng] : คำพูดหนักแน่นเสมือนติ่ง (ภาชนะบรรจุน้ำ) ทั้งเก้าใบรวมกัน