ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 300 นึกว่าเป็นขบวนส่งพระศพเสียอีก
ที่ด้านนอกของพระตำหนักของฝ่าบาท สีหน้าของหลี่กงกงย่ำแย่อย่างที่สุด เขาเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าพระตำหนักบรรทมของฝ่าบาท ในใจมีแต่ความร้อนรน แต่ก็ไม่กล้ารบกวน
มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ เขากำลังคิดถึงสีพระพักตร์ของฝ่าบาทยามที่เสด็จกลับมาในตอนนั้น ในใจของเขาก็ยังคงรู้สึกหวาดหวั่นไม่หาย
ฉลองพระองค์และพระเกศารุ่ยร่าย ตลอดพระองค์มีแต่รอยเลือด ดวงพักตร์ที่เคยงดงามมีหนวดเครารุงรัง พระเนตรลึกโหลและดำคล้ำ
ฝ่าบาททรงเสด็จเข้ามาโดยพระบาทจากนอกวัง
ที่ด้านหลังของพระองค์ คือโลงทองแดงหลังใหญ่มหึมา
บนโลงมีโซ่เหล็กร้อยรัดเอาไว้มากมาย ฝาโลงด้านบนฉีกขาดออก เหล่าองครักษ์ นักพรต และทหาร ล้วนแต่งกายด้วยชุดสีดำตลอดร่าง ติดตามมาด้านหลัง
ภาพที่เห็น หากใครไม่รู้คงจะนึกว่ามีฮ่องเต้พระองค์ใดสิ้นพระชนม์ จึงมีการจัดขบวนส่งพระศพ
วันนั้น…..ท้องฟ้ามืดครึ้ม แถมยังมีฝนตกลงมา
ทั้งรองพระบาทและพระสนับเพลาของฝ่าบาทมีแต่โคลน ดูราวกับคนที่ถูกคุมขังรับทรมานอยู่ในคุกมานานนับเดือน
ใครจะไปคิดว่า ฮ่องเต้ที่ยามเสด็จไปนั้นดูองอาจสง่างาม แต่ตอนกลับมาจะดูราวกับเป็นผู้พ่ายแพ้ ที่สูญเสียญาติมิตรไปจนหมด
วันนั้นถนนตะวันออกในเมืองหลวงทั้งเส้นถูกปิด ฮ่องเต้ทรงเสด็จนำโลงทองแดงหลังนั้นมาตั้งแต่ประตูเมือง ผ่านถนนตะวันออกไปจนถึงเข้าวัง
ตามแต่โบราณมามีแต่ขบวนส่งพระศพออกไป แต่การขนโลงศพเข้าเมืองมาเขาก็พึ่งจะเคยได้เห็นเป็นครั้งแรก
หลังจากนั้นค่อยได้ยินคนเล่าลือกันว่า…..โลงพระศพหลังนั้นเป็นขุมสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือ เป็นสมบัติล้ำค่ามากมายมหาศาล
คราวนี้ชาวต้าโจวถึงค่อยสามารถถอนหายใจออกมาได้ พวกเขาได้ยินมาตั้งแต่แรกแล้วว่าแคว้นต่างๆ พากันส่งขุมกำลังเข้าไปแย่งชิงสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือ แต่คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายแล้วจะถูกฝ่าบาทของตนเองยกกลับมาทั้งโลงศพเสียอย่างนั้น
ราชวงศ์โจวทั้งสามรัชสมัยมีแต่ความรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ
ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ถึงแม้จะท่าทางเย็นชาไปบ้าง แต่ก็ปกครองประเทศได้เป็นอย่างดี นับตั้งแต่ที่พระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ ก็ลดการจัดเก็บภาษี สนับสนุนให้เกิดการค้าขาย ประชาชนมีกินมีใช้ไม่ขาดมือ
ตอนนี้ก็ยังนำสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือกลับมาอีก เห็นได้ชัดเลยว่าแคว้นต้าโจวภายใต้พระหัตถ์ของพระองค์จะต้องเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
ประกอบกับเรื่องการแก้ไขอุทกภัยในลี่โจว ยิ่งทำให้เห็นชัดเจนเลยว่าโอรสสวรรค์ได้รับการคุ้มครองจากทวยเทพ
ถึงตอนนี้ ผู้คนต่างก็กล่าวขานไปตามๆ กันว่าจีเฉวียนทรงเป็นผู้ที่สวรรค์เลือกสรรเอาไว้แล้ว
เพีงแต่ว่าทั้งหมดนี้ ฝ่าบาทหาได้ทรงใส่พระทัยจะฟังแม้แต่น้อย
หลังจากกลับมาถึงวัง ฝ่าบาททรงงดว่าราชการถึงเจ็ดวันเต็มๆ
นับตั้งแต่ที่ฝ่าบาททรงครองราชย์เป็นต้นมา พระองค์ก็ไม่เคยงดเว้นการว่าราชการเลยสักครั้ง พอตอนนี้จะงด ก็งดถึงเจ็ดวัน ผู้คนต่างก็พากันประหลาดใจ
แต่พอคิดถึงท่าทีของฝ่าบาทยามเสด็จกลับมา หรือจะเป็นเพราะว่าได้รับบาดเจ็บจากการไปชิงสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือ ถึงจะเป็นโอรสสวรรค์ แต่ก็ยังเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ย่อมสามารถได้รับบาดเจ็บ จำเป็นต้องพักผ่อนบ้าง
งดว่าราชการสักหลายวันล้วนเป็นที่เข้าใจได้
เหตุการณ์เฉพาะหน้าช่วงสั้นๆ นี้ ในเมืองหลวงแคว้นโจวค่อนข้างสงบเงียบ ไม่มีผู้ใดกล้าไถ่ถามถึงฝ่าบาทให้มากความ
ผ่านไปหนึ่งเดือน ได้ยินว่าขนาดเหล่าพระสนมในวังหลังยังไม่มีผู้ใดได้เห็นฝ่าบาทแม้แต่เงาเลย ดังนั้นแต่ละคนก็ชักจะร้อนรนขึ้นมาแล้ว ร้อนรนไปก็เฝ้ามองหากันไป แต่ว่าไม่มีผู้ใดเห็นพระองค์ของฝ่าบาทเลย
แม้แต่ซูหวงกุ้ยเฟยที่ทรงพระครรภ์ได้หกเดือนกว่า ก็ยังไม่ได้เห็นพระพักตร์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสนมคนอื่นๆ แล้ว
ในสถานการณ์เช่นนี้ สายตาของสนมทั้งหลายจึงพากันจับจ้องไปที่พระตำหนักเฟิ่งหมิงกง
ฝ่าบาททรงให้ความ ‘เคารพรัก’ ไทเฮามาโดยตลอด ในเวลาเช่นนี้ ผู้ที่เป็นถึง ‘พระมารดา’ นางไม่สมควรจะเสด็จไปเยี่ยมเยียนสักหน่อยหรือ?
เสียทีที่ยามปกติฝ่าบาททรงปกป้องนางอยู่เสมอ
เหล่าพระสนมต่างก็ไม่สบายใจ พากันไปขอคำชี้แนะที่ตำหนักเฟิ่งหมิงทีละคนสองคน ตอนไม่ไปยังพอว่า พอไปถึงกลับได้เห็น…..
ในพระตำหนักเฟิ่งหมิง ทั้งๆ ที่เป็นต้นฤดูใบไม้ผลิแท้ๆ แต่ต้นไห่ถางที่เคยมีอยู่ทั่วทั้งตำหนักกลับเปลี่ยนเป็นเ**่ยวเฉาไปทั้งแถบ?
ฟังว่าต้นไห่ถางเหล่านี้ปฐมฮ่องเต้ทรงนำกลับมาจากป่าลึกลับแห่งหนึ่ง ทุกต้นฤดูใบไม้ผลิจะผลิบานครั้งหนึ่ง
เดิมทีเมื่อถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ ต้นไห่ถางในตำหนักเฟิ่งหมิงจะพากันผลิบานอย่างขันแข็ง ตอนนี้ทำไมถึงได้เปลี่ยนเป็นเ**่ยวเฉาเสียแล้ว?
ราวกับว่าทั้งหมดพากันเ**่ยวเฉาไปภายในคืนเดียว
เหล่าพระสนมเห็นคุณชายตู๋กูสองพี่น้องยืนอยู่ใต้ต้นไห่ถ่างที่เ**่ยวเฉา สีหน้าประหนึ่งจะกินคน ก็พากันค่อยๆ ถอยออกไป
………………………..
ด้านนอกของพระตำหนักตี้หัวกง หลี่กงกงต้องพยายามรวบรวมความกล้าเข้าไว้เพื่อจะเข้าไปกราบทูลรายงาน
“ต้นไห่ถางที่เฟิ่งหมิงกง เ**่ยวเฉาหมดแล้วหรือ?”
ภายในพระตำหนักตี้หัวกง จีเฉวียนทรงประทับยืนอยู่หน้าโลงทองแดงแต่เพียงลำพัง ทอดพระเนตรมองดูพระองค์เองในกระจกทองแดง
เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เขาผ่ายผอมลงไปมาก
พระวรกายท่อนบนเดิมที่ถูกแทงทะลุทั้งช่วงหัวไหล่และหน้าท้อง แต่ตอนนี้กลับไม่มีร่องรอยบาดแผลใดๆ ทั้งสิ้น ผิวพรรณบริเวณนั้นเรียบเนียนเหมือนปกติ ไม่มีร่องรอยว่าเคยได้รับบาดเจ็บมาแม้แต่น้อย
ตอนนี้ ผู้ที่เข้ามายืนอยู่ข้างพระวรกายคือท่านราชครู
เปรียบเทียบกับร่างอวบอ้วนที่ก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ใดคิดจะมอง เขาผ่ายผอมไปมาก
สีหน้าของเขาซีดขาว ดวงตาราวสายน้ำฤดูใบไม้ร่วงนั้นมีแต่ความเจ็บปวด
“ฝ่าบาท โปรดถนอมพระวรกายด้วย” เห็นจีเฉวียนมีท่าทางทุกข์ตรมเช่นนี้ สีหน้าของฉางซุนซิ่วก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
เขาประคองสองมือขึ้นมา ถวายบังคมให้กับจีเฉวียน “แคว้นต้าโจวยังต้องการพระองค์ ประชาชนชาวต้าโจวต่างก็รอพึ่งพระองค์”
ทูลแล้ว ฉางซุนซิ่วก็ไอออกมาสองครั้งติดๆ กัน พอเขาไอครั้งหนึ่งก็มีรอยเลือดสดใหม่ติดที่มุมปาก
จีเฉวียนกวาดพระเนตรมองมาทางเขาแวบหนึ่ง เห็นบริเวณช่วงท้องของเขายังมีรอยเลือด ค่อยยอมกล่าวออกมาอีกประโยค “อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี กลับไปพักผ่อนเถอะ”
แค่ประโยคเดียว ฉางซุนซิ่วก็รีบคุกเข่าลงไปที่เบื้องหน้าพระองค์
“ฝ่าบาท วันนั้นตอนที่อยู่ที่สระสวรรค์ กระหม่อมกระทำความผิดใหญ่หลวง ฝ่าบาททรงยอมอภัยให้กระหม่อมแล้วหรือพะยะค่ะ?”
“เจ้ารับเอาอาการบาดเจ็บทั้งหมดของเราไปไว้ที่ตนเอง เราติดค้างเจ้าอีกแล้ว” จีเฉวียนตรัสอย่างเรียบๆ น้ำเสียงของพระองค์กดต่ำ จึงฟังไม่ออกว่าตรัสอย่างจริงใจหรือว่ากำลังเสแสร้งกัน
“ฝ่าบาท พระองค์ก็ทรงทราบดี กระหม่อมทำได้ทุกอย่างเพื่อพระองค์”
ฉางซุนซิ่วยังคงกราบทูลต่อไป อย่าว่าแต่เพียงแต่แลกเปลี่ยนอาการบาดเจ็บกับพระองค์ ต่อให้ต้องการชีวิตของกระหม่อม กระหม่อมก็พร้อมจะส่งมอบออกไป”
เขากราบทูลพลาง ในใจก็หัวเราะเสียงเย็นไปพลางๆ
ตู๋กูซิงหลันได้ส่งของขวัญชิ้นใหญ่มาให้เขาแล้วจริงๆ
ไม่เพียงแต่สามารถเด็ดหนามตำตาชิ้นนี้ออกไปได้ตลอดกาล แต่ว่ายังสามารถดึงเอาความดีความชอบจากการ ‘แลกเปลี่ยนอาการบาดเจ็บของนาง มาไว้ที่ตัวเขาได้อีกด้วย
ตอนนั้นพระทัยของฮ่องเต้กำลังเย็นยะเยือก จึงไม่ทันได้สังเกตว่าอาการบาดเจ็บของพระองค์ถูกแลกเปลี่ยนกันไปก่อนแล้ว
เขาฉวยโอกาสนี้ ชิงเปิดเผยตัวตนออกมา ทั้งยังใช้ ‘ยันต์แลกเปลี่ยนอาการ’ แบบเดียวกัน ‘สับเปลี่ยน’ อาการบาดเจ็บทั้งหมดของพระองค์มาไว้ที่ตัวเขา ต่อหน้าต่อตาของจีเฉวียน
จีเฉวียนถูกตู๋กูซิงหลันละทิ้งไปอย่างไม่เหลือเยี่อใย และในขณะเดียวกันนี้เอง มีแต่เขาที่ก้าวออกมายืนอยู่เคียงข้างพระองค์ และพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อพระองค์
ต่อให้ฐานะ ‘บุรุษชุดม่วงในหน้ากาก’ ของเขาได้ทำลายความใกล้ชิดสนิทสนมของพวกเขาลงไป
แต่ว่าเจอกับลูกเล่นเช่นนี้ จีเฉวียนมีหรือจะไม่รู้สึกซาบซึ้งได้กัน?
ลองถามดูสิ ใต้หล้านี้ยังจะมีใครที่จะยินยอมรับความเจ็บปวดทรมานจนถึงกระดูกเพื่อผู้อื่นโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ ได้อีก?
ในยามนั้นเอง ฉางซุนซิ่วก็กราบทูลอีกว่า “ฝ่าบาททรงสังเกตออกแต่แรกว่าคนใต้หน้ากากก็คือกระหม่อม แต่กลับมิได้ทรงเปิดโปงกระหม่อมต่อหน้าผู้คน กระหม่อมทราบดีว่าฝ่าบาททรงปรารถนาในสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือ จึงคิดจะหาทางเข้าไปชิงมาแทนพระองค์ จึงไม่อาจเปิดเผยฐานะออกไป กระตุ้นให้พระองค์ทรงไม่พอพระทัย แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การแสดงเท่านั้นพะยะค่ะ”
ทูลแล้ว เขาก็ไอติดๆ กันออกมาอีกครั้ง มุมปากมีเลือดซึมออกมาอีก
ฉางซุนซิ่วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเลือดที่มุมปาก จึงเปิดเผยแหวนวงใหญ่บนนิ้วมือออกมาพอดี
——
คุยกินนิดนึง:
ไรท์ : ไม่นะ! จะมาขโมยผลงานอาหลันกันง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง