ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 347 ต้องรักเขาอย่างคลั่งไคล้หลงใหลอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ซูเม่ยยังมาหานางแต่เช้าก่อนพวกพี่ชายเสียอีก
จีเฉวียนเคยบอกนางว่า ซูเม่ยเป็นบุรุษ
แต่ช่วงหลายวันนี้ นางมองซ้ายมองขวาอย่างไรก็ยังมองไม่ออกว่าซูเม่ยคนงามจะเป็นบุรุษไปได้อย่างไร
ยิ่งดูท้องนั่น ก็กลมดั่งลูกบอล …..หากว่าท้องอยู่จริงๆ ดูท่าอีกไม่เกินสองเดือนก็คงจะคลอดแล้วกระมัง
ซูเม่ยมาปรากฏตัวอย่างถืออภิสิทธิ์ อยู่ใกล้ชิดตู๋กูซิงหลันมากที่สุด กอดแขนตู๋กูซิงหลันเอาไว้ไม่ยอมวางมือราวกับว่าตนเองคือคนโปรด
“อาหลัน เจ้าเองก็คิดถึงข้าเหมือนกันใช่ไหม?”
ทำถึงขั้นนี้ สองพี่ชายตระกูลตู๋กูก็ทนดูไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
ซูเม่ยออดอ้อนเสียจนไม่สนใจขอบเขต ยังคงกอดแขนของนางเอาไว้ “เจ้าอย่าได้เอาแต่คิดถึงหยวนเฟยนะ เจ้าต้องคิดถึงข้าด้วย ข้าคิดถึงเจ้าจนจะขาดใจตายอยู่แล้ว”
ผู้คนทั้งหลาย “……”
ไม่รู้ว่าทำไมตอนนี้พวกเขาถึงได้รู้สึกว่าตู๋กูซิงหลันก็คือฮ่องเต้
ส่วนพวกเขาก็เป็นเหล่านางสนมที่มาแย่งชิงความโปรดปราน
โดยเฉพาะซูเม่ยนั้นทำเกินหน้าไปแล้ว!
นางถือว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ ยิ่งต้องแย่งความโปรดปรานอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
ตู๋กูซิงหลันไหนเลยจะเคยปฏิเสธคนงามมาก่อน แค่พูดว่าตนก็คิดถึงนาง ไม่ได้จะตายสักหน่อย
นางตบหลังมือของซูเม่ยเบาๆ หัวเราะเฮฮาตอบไปว่า “น่ารัก คิดถึงสิ คิดถึงทุกคน!”
ดูผิวที่ออกจะนุ่มละมุนถึงเพียงนี้สิ แล้วจะเป็นบุรุษไปได้อย่างไร?
คงจะต้องเป็นเพราะว่าฮ่องเต้สุนัขนั่นคิดจะหาทางออกให้กับความเจ้าชู้ของตนเอง ถึงได้คิดหาเหตุผลมั่วๆ เช่นนี้ขึ้นมา
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดเช่นนี้อยู่ในใจ นางย่อมไม่มีทางทำถึงขั้นจับซูเม่ยมาถอดเสื้อผ้าเพื่อพิสูจน์ร่างกายอยู่แล้ว
หากว่าซูเม่ยเป็นหญิง แล้วขณะที่นางกำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น ก็ถูกคน ‘แย่งชิง’ สามี ตู๋กูซิงหลันคิดแล้วก็รู้สึกละอายใจกว่าเดิม
หากให้ถอยออกมาคิดดู สมมติว่าเขาเป็นบุรุษจริงๆ แล้วยังอุตส่าห์คิดหาหนทางร้อยพันวิธีเพื่อแต่งให้กับจีเฉวียน ก็ต้องเป็นเพราะว่ารักเขาอย่างหลงใหลคลั่งไคล้อย่างแน่นอน
จะคิดกลับไปกลับมาอย่างไรก็เป็นตนเองที่แย่งชิงความรักของผู้อื่นมา
ตู๋กูซิงหลันตัดสินใจแล้วว่าต่อไปจะต้องชดเชยให้กับซูเม่ยให้มากๆ
ดูสิคนก็งามขนาดนี้ หากไม่ทนุถนอมเอาไว้ในมือ คงต้องผิดคุณธรรมในใจจนจิตใจไม่สงบสุขแน่นอน
“น้องเล็ก เป็นสตรีหากสนิทสนมใกล้ชิดกันมากไปจะไม่ค่อยดี” ตู๋กูเจวี๋ยถูกบีบให้ออกจากวงไป ทั้งๆ ที่นั่นเป็นน้องสาวของตนเองแท้ๆ แต่ตอนนี้เขากระทั่งตัวเองก็ยังแทรกเข้าไปไม่ได้เลย
พอได้เห็นซูหวงกุ้ยเฟยกับน้องสาวสนิทสนมใกล้ชิดกัน ก็คิดถึงใบหน้าแข็งทื่อของจีเฉวียนขึ้นมา
ทำให้เขาอดที่จะหนาวสั่นขึ้นมาไม่ได้ ฮ่องเต้ทรงมีเป้าหมายที่ไม่ถูกไม่ควรบางประการในตัวน้องเล็กอย่างแน่นอน
หากว่าพระองค์เสด็จมาเห็นภาพในยามนี้ เกรงว่าพระพักตร์คงจะดำทะมึนเสียยิ่งกว่าที่เขาคาดคิดไว้เสียอีก
พระสนมของพระองค์ แต่ละคนแต่ละองค์ล้วนเอนเอียงมาทางน้องเล็กทั้งนั้น…..
ช่างบังเอิญโดยแท้ เขาพึ่งจะพูดจบไป อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าแผ่นหลังเย็นวาบขึ้นมา
“ตำหนักเฟิ่งหมิงกงช่างครึกครื้นดีจริงๆ” ฮ่องเต้เสด็จเข้ามาดั่งสายลม ยามเสด็จมาก็หอบเอาลมหนาวจากด้านนอกเข้ามาด้วย
ผู้คนมองออกไป ก็เห็นว่าเส้นพระเกศาและพระอังสะมีละอองหิมะ ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมา พระองค์ยังคงเย็นชาเสียยิ่งกว่าเกล็ดหิมะที่ขาวๆ ฟูๆ เหล่านั้นเสียอีก
จีเฉวียนก้าวพระบาทเพียงไม่กี่ก้าวก็เสด็จถึงข้างกายตู๋กูซิงหลัน สายพระเนตรเย็นชากวาดมองไปยังร่างของซูเม่ยและหยวนเฟย
หยวนเฟยนับว่ารู้ตัวดี นางรีบถอยออกไปข้างๆ
นางเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เรื่องระหว่างฝ่าบาทและไทเฮานั้น ต้องเรียกว่าแจ่มแจ้งชัดเจนจนไม่ต้องพูดอะไรออกมาอีกแล้ว
ซูเม่ยนั้นไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เขาหันหน้ามาสบตากับจีเฉวียนครั้งหนึ่ง มือก็ลูบลงไปบนหน้าท้องที่กลมเป็นลูกบอลของตนเอง “ฝ่าบาท พระนัดดาทรงคิดถึงไทเฮามาก ต้องให้ไทเฮาทรงลูบบ่อยๆ จะได้เติบโตและแข็งแรงนะเพคะ”
เขาพูดออกมาอย่างมีความหมายให้จีเฉวียนเข้าใจโดยเฉพาะ มือข้างหนึ่งก็คว้ามือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ แอ่นท้องจนปูดขึ้นมา ทั้งยังทำสีหน้าเหมือนไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างเพียงพอ แต่ข้างในกลับลอบสะใจ ที่จีเฉวียนทำลงไปมิเท่ากับว่าขุดหลุมฝังตนเองหรอกหรือ?
ตอนนี้ตนทำตามพระประสงค์แล้ว แบกท้องโตแล้วไง ก็ยิ่งสามารถมาเกาะหนึบอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลันได้อย่างเปิดเผย
หากว่าพระองค์กล้าขับไล่เขาออกไป ก็มีแต่จะหาเรื่องให้เป็นขี้ปากผู้คนเท่านั้น
หากว่าเขากล้าทำท่าทำท่างโหดร้ายกับหวงกุ้ยเฟยที่กำลังท้องโต มิเท่ากับว่ามอบโอกาสให้ผู้อื่นที่กำลังมีแผนการอยู่แล้วออกมาต่อต้านเขาหรอกหรือ?
ดวงเนตรของจีเฉวียนหรี่ลงเป็นเส้นบาง นับตั้งแต่ที่พระองค์นำซิงซิงกลับมา คนที่มาคอยเกาะติดหนึบอยู่ข้างกายนางยิ่งทียิ่งเพิ่มขึ้นทุกวันจนนับไม่ไหว
สองพี่น้องตู๋กูนั่นก็แล้วไปเถอะ อย่างไรเสียก็เป็นพี่ชายของนาง
แต่ว่าซูเม่ยผู้นี้เหมือนดั่งก้อนอึที่ติดหนึบ ทั้งวี่ทั้งวันเอาแต่เกาะติดอยู่กับตู๋กูซิงหลัน ไม่รู้สำนึกตนบ้างเลยสักนิด
เสี่ยวซิงซิงพระองค์เป็นผู้พากลับมา คิดว่าพระองค์จะยอมให้เขาแย่งไปง่ายๆ หรือ?
ฮ่องเต้ทรงพระสรวลเสียงเย็นชาออกมาครั้งหนึ่ง แต่มิได้จัดการกับซูเม่ยอย่างแจ่มชัด พระองค์ประทับยืนอยู่ด้านข้าง สายพระเนตรทอดลงไปบนร่างของตู๋กูซิงหลัน
แม้แต่น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมา “อากาศหนาวมากแล้ว เราไปล่าสัตว์มา โชคดีได้จิ้งจอกมาตัวหนึ่ง จึงให้ถลกหนังทำเป็นเสื้อคลุมมาให้เจ้า”
ตรัสแล้ว หลี่กงกงก็นำเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวนั้นเข้ามาถวาย
ขนจิ้งจอกเป็นสีแดงราวกองเพลิง ทั้งยังเป็นประกายมันวาว แสดงให้เห็นว่ายามปกตินั้นเจ้าจิ้งจอกตัวนี้อยู่ดีกินดีเพียงไร
“ปกติเจ้าชอบสวมใส่แต่เสื้อผ้าธรรมดา เราคิดว่า สีแดงราวอาทิตย์ยามพลบค่ำเช่นนี้เหมาะสมกับเจ้ามากนัก” จีเฉวียนตรัสแล้วก็หยิบเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวนั้นขึ้นมา
ส่งถึงตรงหน้าตู๋กูซิงหลัน น้ำเสียงของพระองค์ยิ่งอ่อนโยนกว่าเดิม “ลองลุกขึ้นมาสวมดูหน่อยไหม?”
ที่จริงแล้วตัดขึ้นมาเพื่อนางโดยเฉพาะ ย่อมต้องพอดีตัวอยู่แล้ว
จีเฉวียนจงใจส่งเสื้อคลุมจิ้งจอกไปตรงหน้าซูเม่ย
สีแดงเพลิงนั้นบาดตาอย่างยิ่ง ซูเม่ยมองดูอยู่สองรอบในสมองพลันเจ็บจี๊ดขึ้นมา ในใจบังเกิดความหวาดกลัวอย่างไร้สาเหตุ
ภาพมากมายไหลผ่านเข้ามาในสมอง เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เป็นภาพของจิ้งจอกสีแดงตัวหนึ่งที่ถูกโยนลงไปในวงล้อวัฏสังขาร
เขาเห็นชัดเลยว่า…คนที่โยนเขาลงไปนั้น มีสายตาที่เย็นชาแบบเดียวกันกับจีเฉวียน
ซูเม่ยรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาในทันที
ตอนที่เขาเกิดมานั้น เหล่าสรรพสัตว์ต่างก็พากันมาคำนับถึงตำหนักหย่งเฉิงอ๋อง บรรพชนของตนก็เป็นจิ้งจอก
เรื่องนี้เล่าลือกันไปทั่วเมืองหลวง จนไม่มีอะไรน่าแปลกใจ ทั้งยังมีคนเคยพูดว่าเขาเป็นเซียนจิ้งจอกกลับชาติมาเกิด แม้แต่บิดามารดาของตนก็มิได้ปฏิเสธ
ที่จีเฉวียนเอาหนังจิ้งจอกมายื่นใส่เขาตรงหน้าเขา ก็เพื่อตักเตือน และเพราะขยะแขยงเขา
ขณะที่ซูเม่ยกำลังจิตใจเลื่อนลอยอยู่นั้น จีเฉวียนก็เบียดบังเข้ามานั่งลงตรงข้างกายตู๋กูซิงหลันอย่างคุ้นเคย
ยื่นพระหัตถ์ออกมาคลุมเสื้อหนังจิ้งจอกนั้นให้กับนาง
สีหน้าของตู๋กูซิงหลันกลับไม่ดีเท่าไร พอมองเห็นหนังจิ้งจอกสีแดงเพลิง นางก็หวนนึกไปถึงจิ้งจอกน้อยที่เคยเลี้ยงเอาไว้ในโลกก่อนทันที
นางเฝ้าดูจิ้งจอกน้อยตัวนั้นฝึกฝนและสั่งสมตบะมาโดยตลอด…..ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามันอาจจะถูกคนจับไปถลกหนังกลายเป็นเสื้อผ้าไปได้
แต่ไหนแต่ไรตู๋กูซิงหลันก็ไม่เคยสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากขนหรือหนังของสัตว์
ไม่ใช่เพราะนางเป็นพวกยอดมารดาแสนดีอะไร แต่เพราะว่าการทำเสื้อผ้าจากขนสัตว์เช่นนี้มันโหดร้ายเกินไป
พวกนางอยู่ในสำนักหุบเขาภูติเร้นลับเป็นสำนักที่ให้ความเคารพต่อชีวิต กฏของสำนักคือห้ามไม่ให้สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำขึ้นมาจากขนหนังของสัตว์
พอจีเฉวียนคลุมเสื้อหนังจิ้งจอกลงมา ตู๋กูซิงหลันส่งเสียงอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก็อาเจียนออกไป
อาเจียนใส่จีเฉวียนทั้งตัว
พระองค์พึ่งจะเลิกว่าราชการ ทรงฉลองพระองค์ชุดมังกร ทั้งหัวมังกรและเล็บมังกรล้วนถูกตู๋กูซิงหลันอาเจียนใส่อย่างเต็มที่ ล้วนเป็นขาหมูที่กินเข้าไปแล้วยังไม่ทันย่อย
ผู้คนทั้งหมดตื่นตะลึงไป
หยวนเฟยและองค์หญิงใหญ่ต่างก็ตื่นตัวขึ้นมา
พวกนางต่างก็รู้ว่าฮ่องเต้ทรงรักความสะอาดมากเพียงไร ต้องเรียกว่ารักความสะอาดอย่างบ้าคลั่งจนคนต้องหวาดหวั่นขวัญผวาไปเลยดีเดียว
หลี่กงกงยิ่งตื่นตระหนกจนแทบจะขาดใจตายลงไปตรงนี้แล้ว เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งขันทีน้อยไม่ทันระมัดระวัง ขณะที่คีบอาหารถวายฝ่าบาท ไม่ทันระวังทำน้ำแกงกระเด็นใส่ฝ่าบาท…….
ถูกฝ่าบาทลงโทษให้ไปอยู่โรงซักล้าง ทำความสะอาดเสื้อผ้าอยู่ถึงสามเดือน
นี่ถึงขนาดอ้วกใส่ชุดมังกรเลยรึ ท่านตู๋กูซิงหลันช่างโหดเ**้ยมต่อผู้คนเสียจริงๆ
…………………………………..
ตอนต่อไป “นางมารที่ล้มชาติล้างเมือง”