ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 434 “ชีวิตที่เรียบง่ายที่สุดนั่นคือความสุขที่สุดแล้ว”
- Home
- ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง
- ตอนที่ 434 “ชีวิตที่เรียบง่ายที่สุดนั่นคือความสุขที่สุดแล้ว”
ครั้งนี้เขากางสองแขนเข้ามาอย่างช้าๆ โอบกอดนางเอาไว้อย่างแผ่วเบา
กอดร่างที่ผอมบางของนางจนรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นภายในร่างของนาง มือของเขาลูบลงไปบนเส้นผม กระซิบเบาๆที่ริมหู “จากกันไปหลายปี เจ้าตัวน้อยเติบโตขึ้นมากแล้ว…..”
น้ำเสียงนั้นรักใคร่อย่างยิ่ง
รูปลักษณ์ของเขาคล้ายดั่งคนที่มีอายุไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ คนทั้งสองจึงดูคล้ายคู่พี่น้องมากกว่า
“ตอนนั้นที่ส่งเจ้าออกไป เจ้ายังเป็นเพียงทารกอยู่เลย” มืออีกข้างหนึ่งของเขาตบลงบนบ่าของตู๋กูซิงหลันเบาๆ “ตอนนั้น ตัวน้อยนิดเดียว ทั้งขาวทั้งนุ่ม งดงามเหมือนดังตุ๊กตา….
จากกันไปนานปี เขาไม่อาจได้เห็นนางยามที่เติบโตขึ้นมา
ได้แต่อาศัยมือคลำดูเท่านั้น แม้แต่จิตวิญญาณที่อยู่ภายในร่างนั้น เขาก็ต้องใช้จิตมังกรของตนสัมผัส
ยามที่เขาเอ่ยถึง ‘ตอนนั้นที่ส่งเจ้าออกไป’ ตู๋กูซิงหลันกลับไม่ทันได้ฟังอย่างชัดเจน นางกำลังตกตะลึงกับการที่ทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้งในที่เช่นนี้
ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล คนที่สมควรจะได้พบกันจะอย่างไรก็ต้องได้เจอกันสินะ……
ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ผลักเขาออกไป ปล่อยให้เขากอดเอาไว้ ทั้งร่างกายและจิตใจไม่อาจต่อต้านบุรุษผู้นี้
ไม่ว่าเขาจะใช่บิดาของไทเฮาน้อยจริงๆหรือไม่ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าอ้อมกอดนี้ช่างดูคุ้นเคย ทำให้นางอยากเข้าไปใกล้เขา
นางยังไม่รู้เลยว่าตกลงแล้วเขามีฐานะเป็นใครกันแน่
บนศีรษะมีเขามังกร….ก็ต้องเป็นเผ่ามังกรอย่างแน่นอนแล้ว
ผู้ที่สามารถอยู่ในหุบเหวไร้ก้นที่ดูดกลืนทุกชีวิตได้อย่างสุขสบาย …..จะต้องเป็นคนสำคัญของเผ่ามังกรอย่างแน่นอน
“ยังไม่ได้แนะนำตัวให้ดีเลย….” กอดอยู่เนิ่นนาน เขาก็ค่อยยอมปล่อยนาง มือที่ใหญ่โตปัดเถาวัลย์ที่รายล้อมตู๋กูซิงหลันไว้ออกไป
เขาจูงมือของตู๋กูซิงหลัน ไปนั่งอยู่บนกิ่งก้านขนาดใหญ่ของต้นไม้
“พ่อของเจ้าชื่อว่า เยี่ยจ้าน” เขาแนะนำตนเองออกมา “เป็นราชาของเผ่ามังกรทมิฬ”
ได้ฟังข้อสรุปเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันเพียงแต่แปลกใจอยู่บ้างเท่านั้น นางสมควรคิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว…
ตั้งแต่ที่ได้เห็นดวงตาทั้งสองของเยี่ยอิง ก็สมควรจะคิดถึงฐานะของไทเฮาน้อยออกแล้ว
เพียงแต่ตอนนั้นเลือกที่จะยังไม่ไปคิดถึงมัน
ตอนนี้เมื่อความจริงปรากฏตรงหน้า….ต่อให้นางไม่อยากจะเชื่อก็ไม่มีหนทาง
“เจ้าไม่ประหลาดใจหรือ?” เยี่ยจ้านเอ่ยพลางก็คว้ามือของนางไว้แนบแน่นกว่าเดิม
พอคิดๆดูแล้ว….ตั้งแต่ที่นางได้เจอเขาจนถึงตอนนี้ก็ดูสงบนิ่งอย่างมาก ราวกับว่าถึงอยู่ๆจะมีคนมาบอกว่าเป็นบิดา ก็ได้มีผลกระทบอะไรต่อนางเลย
“ดวงตาของท่าน มองไม่เห็นหรือ?” ตู๋กูซิงหลันมิได้ตอบคำถามเขาตรงๆ เพียงแต่ยื่นมือข้างหนึ่งมาโบกไปมาอยู่ตรงหน้าเขา
เยี่ยจ้านมิได้มีปฏิกริยา เพียงคว้ามือที่วุ่นวายของนางเอาไว้ “บอดแล้ว บอดมายี่สิบปีแล้ว”
ยี่สิบปี …..คือช่วงเวลาที่ไทเฮาน้อยสูญเสียบิดามารดาไปพอดี
“ทำไม….ถึงตาบอดเล่า?” ที่จริงตู๋กูซิงหลันคิดจะถามว่ามารดาของไทเฮาน้อยยังมีชีวิตอยู่หรือไม่มากกว่า…..
แต่ว่าพอคำพูดมาถึงริมฝีปาก นางก็ได้แต่กลืนกลับลงไป
หลายปีก่อนนั้นศพของมารดาไทเฮาน้อยถูกพบที่ริมทะเลตะวันตก….ตอนที่เจอ นางตายอย่างอนาถ ถึงกับไม่อาจแยกแยะจากรูปโฉมได้
เรื่องราวในตอนนั้น แม้แต่ท่านตาก็ยังไม่อยากจะเอ่ยถึง
แต่ว่าตู๋กูซิงหลันยังคงกอดความหวังที่เรือนลางเอาไว้ วาดฝันไปว่าบางทีตู๋กูชิงชิงอาจจะยังไม่ตายก็เป็นได้
อาจจะได้มีโอกาสกลับมาอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้า
ถึงแม้ว่านางจะใช้ร่างของไทเฮาน้อย แต่ก็ถือว่าตระกูลตู๋กูเป็นครอบครัวของตนเองแต่แรกอยู่แล้ว
เรื่องบางเรื่อง ตอนที่ยังไม่รู้คำตอบก็ครุ่นคิดไปเป็นร้อยเป็นพันหนทางให้ได้รู้
แต่ว่ารอจนคำตอนนั้นมาอยู่ตรงหน้า กลับอยากจะยืดเวลาออกไป…..
กลัวว่าจะได้ยินคำตอบที่ไม่อยากจะได้ยินเข้า
“ดวงตาคู่นี้ เป็นเพราะว่าข้าติดค้างมารดาของเจ้า….” มือของเยี่ยจ้านสั่นเทาน้อยๆ
ตลอดหลายปีมานี้ ไม่มีวันใดที่ผ่านไปอย่างไม่ต้องอดทนกล้ำกลืน….
“ตอนนั้น….. ท่านแม่ไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของท่านใช่หรือไม่?” ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่ข้างเขา ที่จริงนางก็คิดว่าตนเข้าใจดี คนหนึ่งเป็นสาวน้อยชาวมนุษย์ อีกคนเป็นราชาเผ่ามังกรทมิฬ
การมาพบกันของทั้งสอง ….จะต้องไม่บังเกิดผลดี โดยเฉพาะกับเผ่ามังกรทมิฬที่เป็นเผ่ากระหายเลือดอยู่แล้ว…..
อย่าได้เห็นว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเยี่ยจ้านสูงศักดิ์งามสง่า โลหิตที่ไหลอยู่ในกายจะอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นอยู่ดี
“ตอนนั้น…..” เยี่ยจ้านเบือนหน้าออกไป ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่แง้มเป็นเส้นบางๆ จึงทำให้เห็นว่าในนั้นเป็นช่องสีดำที่ว่างเปล่า
ดวงตาดอกท้อที่เคยงดงามคู่นั้น ไม่มีลูกตาอีกแล้ว
ขนตาที่หนาเป็นแพทาบทับลงมา ภายใต้แสงสลัวของแมลงกินวิญญาณ เกิดเป็นเงาจางๆ
ช่วยปิดบังความว่างเปล่าใต้ดวงตาคู่นั้นเอาไว้
“นั่นเป็นเรื่องเมื่อสามสิบปีมาแล้ว….” เขาเอ่ยขึ้นมา แล้วก็ถอนหายใจยาวๆ “เจ้าสามารถมาถึงที่นี่ได้ ย่อมต้องรู้ว่า ที่นี่คือก้นทะเลลึก คือที่อยู่ของเผ่ามังกรทมิฬ คือเผ่าที่ถูกเหล่าเทพเจ้ากดเอาไว้ให้อยู่แต่ในความมืดมิดไปตลอดกาล
“ในเมื่อข้าเป็นถึงราชาของเผ่ามังกรทมิฬ แต่ไหนแต่ไรย่อมไม่อาจทนรับการกดขี่เช่นนี้ หลายปีที่ผ่านมาจึงไม่เคยถอดใจที่จะทะลวงผ่านการคุมขังนี้ออกไปให้ได้” เยี่ยจ้านพูดไป หัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันน้อยๆ “ครั้งนั้น หลังจากที่ถูกกักขังมานานนับพันปี ในที่สุดข้าก็สามารถทะลวงออกไปจากการกักขังได้สำเร็จ….ราคาที่ต้องแลกไปก็คือการบาดเจ็บหนัก จนสูญเสียความทรงจำ”
“แล้วท่านแม่ก็ช่วยท่านเอาไว้?”
เยี่ยจ้านพยักหน้า “ตอนที่ชิงชิงอยู่ในวัยสาว นางชมชอบท่องเที่ยวไปทั่ว ตอนนั้นนางอยู่ที่ทะเลตะวันตกพอดี จึงช่วยข้าขึ้นมาจากริมทะเล แล้วก็พาข้ากลับไป”
“ตอนนั้น ข้าไม่รู้ว่าตนเองคือใคร แม้แต่ชื่อของตนเองก็ยังไม่รู้….”
ตู๋กูซิงหลันเองก็ถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง
จะว่าอย่างไรดี….นี่อาจเป็นชะตากรรมหรือฟ้าดินกำหนดไว้
ไม่เช่นนั้นใยจึงจะต้องเป็นมารดาที่ไปช่วยเหลือเขาอย่างพอดิบพอดี?
เรื่องราวภายหลังจากนั้นมิต้องให้เยี่ยจ้านพูดออกมา ตู๋กูซิงหลันก็เดาได้อยู่แล้ว
ด้วยรูปลักษณ์ระดับราชามังกรทมิฬ ไม่ต้องพูดว่าเป็นตู๋กูชิงชิง ต่อให้เป็นหญิงสาวอื่นๆในใต้หล้าหากได้พบเห็นก็เป็นต้องหลงรักจนถึงแก่นกระดูก
การพบกันของพวกเขานั้นแสนจะธรรมดา และพวกเขาก็ตกหลุมรักกันอย่างเรียบง่าย
“นางพาข้ากลับไปยังแคว้นต้าโจว ตั้งชื่อใหม่ให้กับข้า จากนั้นพวกเราก็รักกัน ท่านผู้เฒ่าจึงอนุญาต ให้ข้าแต่งเข้าไปเป็นเขย ตลอดหลายปีที่อยู่ในตระกูลตู๋กูนั้น ข้ากับชิงชิงรักใคร่กลมเกลียว พวกเรามีบุตรชายสองคน….”
ตอนที่เยี่ยจ้านเล่าเรื่องเล่านี้ออกมา สีหน้าทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน นั่นเป็นความทรงจำที่แสนหวาน ทุกวันนี้แม้นึกถึงขึ้นมา ก็ยังรู้สึกหวานล้ำเข้าไปถึงกระดูก
เขาเคยเป็นราชามังกรทมิฬที่เหล่าทวยเทพต่างก็ยำเกรง คือผู้ที่มีชื่อเสียงในเรื่องความน่าหวาดกลัวไปทั่วทั้งหกภพภูมิเทียบเท่ากับราชันย์ของเผ่าหมิง
เขาเคยเลือดเย็น ไร้รักไร้ความผูกพัน
เขาก็เคยดูถูกพวกมนุษย์ว่าต่ำต้อยไร้ค่า เป็นทาสของเจ็ดอารมณ์และหกปรารถนา
จนกระทั่งเขาได้พบกับตู๋กูชิงชิง….ถึงได้รู้ว่า ความเรียบง่ายนั้น จึงจะเป็นความสุขที่แท้จริง
ตอนนั้นเขาคิดแต่จะอยู่เคียงข้างนางเพียงผู้เดียวจนกระทั่งผมขาว มองดูลูกมีหลาน หลานมีเหลน ไปกับนางจนแก่เฒ่า
แต่ทุกอย่างกลับสิ้นสุดลงเมื่อซิงหลันถือกำเนิดขึ้นมา
นางได้รับพลังอันแข็งแรงของเผ่ามังกรทมิฬมาแต่กำเนิด…..
ในคืนนั้น คืนที่นางถือกำเนิดออกมา แม้แต่พระจันทร์ก็กลายเป็นสีแดง คลื่นในทะเลบ้าคลั่ง ….เหล่าสรรพสัตว์พากันเคลื่อนไหว
พลังที่แข็งแกร่งนั้นได้ปลุกพลังมังกรภายในร่างของเขาขึ้นมา เขาจึงค่อยจดจำเรื่องราวทั้งหมดได้
รวมถึงตัวตนที่แท้จริงของตนเองด้วย……
………………………………
ตอนต่อไป “ข้าจะรักเอ็นดูนาง เหมือนดั่งเป็นบุตรสาวของตนเอง”