ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง - ตอนที่ 468 ทาสรับใช้
นั่นเป็น…..ศีรษะที่โล้นจนส่องประกาย?
ทั้งหัวคิ้ว ดวงตา จมูก ปาก กระทั่งขนตาและขนคิ้วล้วนซีดขาวราวหิมะ
ใบหน้าด้านข้างที่ขาวราวกระดาษ ปรากฏดอกพลับพลึงแดงมากมาย
ยามนี้เขากำลังใช้ดวงตาที่ไร้ซึ่งนัยตามามองดูนาง
สีหน้าปราศจากอารมณ์ใดๆ และไม่มีแม้แต่ความประหลาดใจเลยด้วยซ้ำ
กลับเป็นตู๋กูซิงหลันที่มองดูคนที่แม้ไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็งดงามอย่างลึกลับน่ากลัว ด้วยความตื่นตะลึงไปครู่หนึ่ง
คู่แค้นที่ฆ่ากันตายไปเมื่อ ‘ชาติก่อน’ …..เสินฟาง กลับมาปรากฏตัวอย่างเปิดเผยอยู่ในบ้านพักส่วนตัวของนาง?
“เยี่ย…..” สองคำหลังยังไม่ทันออกจากปาก ก็เห็นมุมปากของเขากระตุกอย่างเต็มฝืน คำที่ยังไม่ทันออกจากปากเปลี่ยนเป็น “คุณหนู….เยี่ย เจ้า…ท่านตื่นแล้ว”
ถึงกับใช้ภาษาสุภาพด้วย!
เหลือก็แต่ใบหน้าที่งดงามนั้นยังคงทำสีหน้าไร้อารมณ์ แสดงให้เห็นว่าที่จริงแล้วเขาไม่ได้เต็มอกเต็มใจสักเท่าใด
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกหนาวจนขนลุกไปทั้งร่าง
นางนวดขมับศีรษะ พิงร่างลงไปกับปากประตู จับจ้องเข้าด้วยแววตาที่พร่ามัว “เสินฟาง นี่เจ้า กินยาผิดมาหรือไง?”
นับตั้งแต่จากกันที่สระสวรรค์ในแคว้นเซอปี่ซือ นางก็คิดว่าชาตินี้ทั้งชาติจะไม่ต้องเจอกับเขาแล้ว
ไหนจะรู้ว่าคนกลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้านางอย่างโฉ่งฉ่างเช่นนี้
“ไม่ได้กินยา” เสินฟางพูดพลาง ก็ยกแขนขวาของตนเองขึ้นมา ใจกลางของมือขวาปรากฏตัวอักษร ‘ทาส’ สว่างวาบที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนขึ้นมาแวบหนึ่ง
“อ๋อ…. ข้าพึ่งจะกลับมาถึงโลกปัจจุบันนี้ ก็ถูกซื่อมั่วใช้ ‘คำสาปทาสรับใช้’ รอให้เจ้ากลับมาเมื่อไหร่ ก็ต้องเป็นทาสของเจ้าไปหมื่นปีเพื่อชดเชยความผิดต่อเจ้า”
เสินฟางพูดจบแล้ว ก็เก็บมือกลับไป
สรุปก็คือ นับตั้งแต่ที่เขากลับมาจากโลกมิติโน้นก็ต้องกลายเป็นทาสรับใช้ของตู๋กูซิงหลันไปอีกหมื่นปี
เพื่อชดใช้หนี้ชีวิตที่เขาติดค้างตู๋กูซิงหลัน
ในหมื่นปีนี้ หากนางบอกให้ไปทางตะวันออก เขาไม่อาจไปทางตะวันตก นางบอกให้ฆ่าคน เขาย่อมไม่อาจช่วยคน
ตู๋กูซิงหลันใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง พลางหัวเราะออกมา
“ช่างสมกับที่เป็นท่านอาจารย์ของข้า”
คนเป็นถึงหนึ่งในสิบยมราชแท้ๆ กลับถูกเขาจับมาบอกให้เป็นทาสรับใช้ก็ต้องเป็นทาสรับใช้
ชาติก่อน ทำไมนางถึงได้ไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าท่านอาจารย์แข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ภายใต้แสงอบอุ่นอ่อนจาง นางสวมใส่เพียงชุดนอนผ้าไหมสีแดงตัวบาง เสียงหัวเราะเมื่อครู่ดุจดั่งนางปีศาจที่เย้ายวน
ฝ่ามือที่บอบบางตบลงไปบนบ่าเย็นๆของเสินฟางเบาๆ “ต่อไป ต้องรบกวนมากแล้ว”
เสินฟาง “………”
เขาเหลือบตามองดูมือที่วางอยู่บนหัวไหล่ จากนั้นก็ถอยออกไปด้านหลังก้าวหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาไปหาผ้าห่มแคชเมียร์สีขาวมาจากไหน คลุมผ้าผืนนั้นลงไปบนร่างของนาง
เรือนร่างที่บอบบางถูกผ้าห่มผืนหนาคลุมลงไปอย่างมิดชิด
“คำสั่งแรกของซื่อมั่วต่อผู้รับใช้ ก็คือห้ามมิให้คุณหนูสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อย” พอคลุมผ้าห่มแคชเมียร์ให้นางเรียบร้อยแล้ว เสินฟางก็กล่าวต่อไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ตู๋กูซิงหลัน “หา…”
‘ชาติก่อน’ ท่านอาจารย์ไม่เห็นจะเข้มงวดกับนางเช่นนี้เลย
ชุดนอนชุดนี้ของนาง……ยาวเหนือเข่าเล็กน้อย ว่าตามจริงแล้ว ตู๋กูซิงหลันไม่เห็นว่ามันจะเปิดเผยอะไรสักเท่าไหร่
“ท่านอาจารย์ล่ะ ข้าอยากจะเจอเขา” ผ่านไปครู่หนึ่ง ตู๋กูซิงหลันถึงได้คิดถึงเรื่องสำคัญขึ้นมา
แรงงระเบิดที่ก้นทะเลนั่นรุนแรงเหนือธรรมดา……จิตวิญญาณของท่านอาจารย์สมควรจะกลับมาแล้วกระมัง?
“เข้าฌานไปแล้ว” เสินฟางยังคงกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชาต่อไป เขาล่ะอยากจะให้ซื่อมั่วตายไปเสียจริงๆ….หากตายไปคำสาปทาสที่อยู่บนร่างของเขาก็จะได้รับการปลดปล่อย
“เข้าฌานไปแล้ว?” ตู๋กูซิงหลันขมวดคิ้ว จะอย่างไรนางก็อดที่จะกังวลใจไม่ได้ “เป็นเพราะว่าได้รับบาดเจ็บหรือว่ามีสาเหตุอื่นใดหรือไม่?”
นางทางหนึ่งถาม ทางหนึ่งก็ปลดผ้าห่มแคชเมียร์นั่น ชักเท้าเดินลงไปยังชั้นล่าง
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น…..เกรงว่ามีแต่ท่านอาจารย์เท่านั้นที่รู้อย่างชัดเจน
ยังมีจีเฉวียนอีกคน……เขา……ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?
เสินฟางบิดเอวก้มลงไปเก็บผ้าห่มแคชเมียร์บนพื้นขึ้นมา พาดเอาไว้บนแขนแล้วจึงเดินตามนางไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า
ถึงแม้ว่าจะอยู่ในโลกปัจจุบันแล้ว แต่ว่าเขาก็ไม่เคยสวมใส่เสื้อผ้าแบบตะวันตกมาก่อน เขายังคงสวมใส่ชุดยาวสีน้ำเงินเข้ม ดูไปแล้วก็คล้ายดั่งปีศาจรูปงามตนหนึ่ง
“ซื่อมั่วไปเข้าฌานที่ธารน้ำพุเหลืองไม่อนุญาตให้ผู้ใดรบกวน รวมถึงคุณหนูด้วย” เสินฟางพูดแล้วก็เสริมต่ออีกประโยคหนึ่ง “พอถึงเวลา เขาก็จะกลับมาเอง”
ธารน้ำพุเหลือง ….นั่นเป็นสถานที่ที่ไม่ว่านักพรตหรือภูติผีปีศาจตนใดได้ยินเข้าก็ยังต้องหน้าเปลี่ยนสี
สถานที่ที่ผู้ที่ตายไปแล้วล้วนต้องผ่านเข้าไป ความสำคัญของธารน้ำพุเหลืองก็คือ ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ก้ำกึ่งระหว่างความเป็นและความตาย ต่อให้เป็นผู้ที่บำเพ็ญเพียรมานานจนแข็งแกร่งมากเพียงไร หากว่ารั้งอยู่ที่ธารน้ำพุเหลืองนานเกินไปก็ต้องถูกไอแห่งความตายกลืนกินอยู่ดี หากเผลอไผลไม่ทันระวังขึ้นมาก็อาจจะกลายเป็นคนตายไปจริงๆได้โดยง่าย
คนที่กล้าไปเข้าฌานที่ธารน้ำพุเหลืองเกรงว่าคงจะมีแต่ซื่อมั่วเพียงผู้เดียวแล้ว
ตู๋กูซิงหลันเดินลงไปจนถึงบันไดขั้นสุดท้ายค่อยหันศีรษะกลับมามองดูเสินฟาง
เท่าที่นางจดจำได้ ท่านอาจารย์เคยไปที่ธารน้ำพุเหลืองครั้งหนึ่ง….นั่นเป็นตอนที่เขาสละพลังทั้งหมดเพื่อรักษาชีวิตของคนทั้งเมืองเอาไว้
เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส หายตัวไปถึงหนึ่งเดือน จากนั้นนางถึงได้รู้ว่าเขาไปรักษาอาการบาดเจ็บที่ธารน้ำพุเหลืองนั่นเอง
ดังนั้นพอได้ยินว่าเขาไปที่ธารน้ำพุเหลือง ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกหนักใจขึ้นมา
ครั้งนี้ท่านอาจารย์…..คงจะได้รับบาดเจ็บมากเลยกระมัง
แรงระเบิดที่สามารถกักขังอสุรกายโลกันตร์นั้นได้ จะต้องเป็นขุมพลังของเขา
“ซื่อมั่วสั่งเอาไว้ คุณหนูไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลถึงเขา ใต้หล้านี้ไม่มียมบาลคนใดหรือนรกขุมใดกล้ารั้งตัวเขาเอาไว้” ประเด็นนี้เสินฟางเองก็ประจักษ์แก่ใจดี พวกยมราชหน้าใหม่ได้เห็นเขาแล้วก็ยังต้องอ้อมหลบไปเลย
มือของตู๋กูซิงหลันวางอยู่บนราวข้างบันได อุณหภูมิที่เย็นเฉียบของราวบันไดแล่นผ่านผิวหนังไปยังหัวใจของนาง
นางเกือบจะพุ่งออกไปตามหาอาจารย์ที่ธารน้ำพุเหลืองอยู่แล้ว
แต่ว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งที่อยู่บนโซฟาเสียก่อน คนที่ทำให้แม้แต่ลมหายใจของนางก็ยังต้องสะดุดไป
ห้องโถงที่ชั้นหนึ่งนั้นกว้างขวางมาก โซฟาก็ตัวใหญ่ ทำจากหนังแกะที่อ่อนนุ่ม
คนผู้นั้นเปลือยท่อนบน บาดเจ็บสาหัสจนต้องถูกห่อหุ้มร่างเอาไว้ด้วยผ้าพันแผลเกือบจะทั้งตัว ทั้งยังสามารถเห็นรอยเลือดที่ซึมออกมาได้อย่างชัดเจน
ชั้นหนึ่งไม่ได้เปิดไฟ มีแต่เพียงแสงจันทร์อ่อนๆที่ส่องผ่านเข้ามาจางๆ
แสงจันทร์จับอยู่บนใบหน้าที่หมดจดงดงามนั้น สะท้อนเครื่องหน้าที่คมชัดของเขาออกมา
เส้นผมที่ทั้งดกดำและยาวสลวยแผ่กระจายอยู่ใต้ร่าง หนุนนำความงดงามให้เด่นชัดกว่าเดิม
“ถูกส่งกลับมาพร้อมกับคุณหนู บาดเจ็บหนักมาก เกือบจะตายเสียแล้ว” เสินฟางกล่าวต่อไป “คนผู้นี้ช่างเก่งกาจนัก แผ่นหลังถูกเผาจนไหม้เกรียม กระดูกหักทั่วทั้งร่างก็ยังไม่ตาย ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ”
“อ้อ….ข้าช่วยทำแผลให้กับเขาแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงจะรู้สึกตัวขึ้นมา”
ตู๋กูซิงหลันมองดูคนที่นอนอยู่บนโซฟา ด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ
จีเฉวียน…..เขายังไม่ตาย แถมยังกลับมายังโลกปัจจุบันพร้อมกับนาง
ตอนที่นางสาวเท้าเร็วไปที่ข้างกายของจีเฉวียน ก็เห็นขนตาของเขากำลังกระพริบ ภายใต้แสงจันทร์ ดวงเนตรหงส์คู่นั้นลืมขึ้นมาเป็นเส้นบางๆ
เผยความเย็นยะเยือกที่อยู่ภายในออกมา
แต่พอสบตาเข้ากับดวงตาดอกท้อทั้งคู่ของตู๋กูซิงหลัน แววตาที่เย็นยะเยือกของดวงเนตรหงส์ก็ละลายหายไป เปลี่ยนเป็นอ่อนหวานอย่างที่สุดแทน
เขาอ้าปาก เอ่ยเสียงออกมาจากลำคอสองคำอย่างยากลำบาก “ซิงซิง …..”
…………………………………………………
ไรท์: จากยุคโบราณ ข้ามกลับมายุคปัจจุบัน ยังมีที่ไหนที่นิยายจีนไปไม่ถึงอีกบ้าง! หลันหลัน นี่หนูพาผู้ชายเข้าบ้านมาแล้วนะคะ รับผิดชอบพี่เต้ด้วย
ตอนต่อไป “สุดยอดราชินีจอเงิน”